7 มิ.ย. 2020 เวลา 10:27 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
จิตวิทยาเบื้องหลังการเหยียดที่คนที่ต่างจากเรา ตอนที่ 3
Henri Tajfel
หมายเหตุ: เนื้อหาย่อและเรียบเรียงมาจาก หนังสือ 500 ล้านปีของความรัก เล่ม 2 นะครับ
พอดีเห็นว่าเข้ากับสถานการณ์ในอเมริกาช่วงนี้ เลยเอามาลงเผื่อท่านใดยังไม่เคยอ่าน
1.
อองรี ทาจเฟล (Henri Tajfel) กำลังรู้สึกสับสนว่าเขาเป็นใครกันแน่?
เดิมที่เดียวเขาเป็นชาวโปแลนด์เชื้อสายยิว ที่เดินทางไปเรียนต่อทางด้านเคมีที่ประเทศฝรั่งเศส
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 อุบัติขึ้นเขาจึงอาสาเข้าร่วมรบในฐานะทหารของกองทัพฝรั่งเศส
ขณะนี้เขาเป็นเชลยศึกของทหารเยอรมัน และเป็นช่วงนี้เองที่ทำให้เขาต้องคิดเกี่ยวกับความเป็นตัวตนของเขาอย่างมาก เพราะการเป็นใครของเขาอาจหมายถึงความเป็นความตายของชีวิตเลย
ถ้าทหารเยอรมันมองว่าเขาเป็นทหารฝรั่งเศส เขาก็จะเป็นแค่ทหารคู่สงครามที่อาจจะถูกจับคุมขัง
ถ้าทหารเยอรมันค้นพบว่าเขาเป็นชาวยิว เขาอาจจะถูกทรมาน หรืออาจจะโดนฆ่าทิ้ง
แต่ถ้าทหารเยอรมันค้นพบว่าเขาเป็นชาวโปแลนด์เชื้อสายยิว ซึ่งนาซีเกลียดมากที่สุดในชาวยิวทั้งหลาย เขาคงจะถูกทรมานและสังหารอย่างโหดเหี้ยม
หรือเขาจะยอมรับไปแต่แรกเลยว่าเขาเป็นชาวยิว ถ้ายอมรับเองแต่แรก เขาอาจจะถูกส่งเข้าค่ายกักกันรวมกับชาวยิวอื่นๆ
ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจที่จะบอกกับทหารนาซีว่าเขาเป็นชาวฝรั่งเศสเชื้อสายยิว
ทาจเฟล ยังไม่รู้ แต่เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ประสบการณ์ครั้งนี้จะทำให้เขาคิดเกี่ยวกับความเป็นตัวตนของคนๆนึงมากขึ้น
ทำไมแค่การที่คนๆหนึ่งจะมีเชื้อชาติอะไร เป็นคนประเทศอะไร ถึงได้มีผลต่อชีวิตของเขามากขึ้นเพียงนี้ ? และความสงสัยนี้จะนำไปสู่งานวิจัยที่สำคัญที่สุดงานหนึ่งของตัวเขาเอง
ตลอดช่วงเวลาที่เหลือของสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาต้องกลายเป็นเชลยศึกที่ถูกส่งไปคุมขังตามที่ต่างๆอีกหลายที่ แต่สุดท้ายเขาก็รอดชีวิตมาได้
เมื่อสงครามจบลง เขาก็เดินทางกลับไปยังบ้านเกิดในประเทศโปแลนด์และค้นพบว่าญาติพี่น้อง เพื่อนสนิทชาวยิวของเขาทั้งหมดเสียชีวิตในค่ายกักกันไปเกือบหมด
เขาเกิดคำถามหนึ่งขึ้นมาว่า อะไรคือต้นตอที่ทำให้คนกลุ่มหนึ่งเกิดความรู้สึกเกลียดคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน ถึงขนาดทำการทารุณกรรมต่อคนกลุ่มนั้นได้
ทาจเฟลค้นพบว่าความสนใจในวิชาเคมีของเขาหมดสิ้นไปเสียแล้ว ตอนนี้สิ่งที่เขาอยากเข้าใจมากกว่าคือ จิตใจของมนุษย์ เขาจึงตัดสินใจที่จะศึกษาต่อด้านจิตวิทยา
หลายปีต่อมาชะตาชีวิตก็พาให้เขาไปปักหลักในอังกฤษและกลายเป็นศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาชาวอังกฤษ พร้อมๆกับการเปลี่ยนการออกเสียงชื่อของเขา จากอองรี ทาจเฟล เป็น เฮนรี่ ทาจเฟล ให้ฟังดูอังกฤษมากขึ้น
2.
วันหนึ่งขณะที่นั่งคุยเรื่องราวต่างๆกับเพื่อนร่วมงานชาวสโลเวเนีย
หัวข้อการคุยก็วนมาถึงปัญหาการเหยียดเชื้อชาติบอสเนียในประเทศสโลเวเนีย เขาจึงคิดขึ้นมาว่า ปัญหาการเหยียดเชื้อชาติ เป็นสิ่งที่พบได้ทั่วไปจริงๆ แม้แต่ในอังกฤษเอง ลูกหลานของชาวอพยพแม้ว่าจะเป็น เจเนอเรชั่นที่ 2 หรือ 3 ซึ่งมีความเป็นคนอังกฤษมากแล้ว ก็ยังถูกรังเกียจและมองว่าเป็นคนต่างชาติที่ดูต่ำต้อยกว่า
ดังนั้นก่อนที่จะไปศึกษาว่าทำไมคนจึงโหดร้ายต่อกัน คงต้องเข้าใจให้ได้ก่อนว่าอะไรบ้างที่ทำให้คนแบ่งแยกตัวเองออกเป็นกลุ่มๆ แล้วบอกว่าฉันอยู่กลุ่มนี้ เธออยู่กลุ่มนั้น?
สิ่งที่เชื่อกันโดยทั่วไปในยุคนั้นคือ ปัจจัยที่จะทำให้คนแตกแยกได้จะต้องเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดหรือรู้สึกได้ชัดเจน เช่น สีผิวต่างกันจนรู้สึกว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่ต่างกัน ใช้ภาษาต่างกันจนสื่อสารกันยาก หรือมีความเชื่อทางศาสนาหรือการเมืองที่ต่างกันจนคุยกันไม่รู้เรื่อง
และเพราะความต่างที่เข้ากันได้ยากนี้ค่อยนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงอีกต่อหนึ่ง
แต่จากประสบการณ์ของตัวเขาเอง เขาพบว่ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะความเกลียดชังที่เขาได้รับในช่วงสงครามนั้นมันเริ่มต้นมาจากคนที่รู้จักคุ้นเคยกัน คนที่เป็นเพื่อนบ้านกันมานานตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย คนที่แต่เดิมไม่เคยรู้สึกว่าเป็นคนอื่นมาก่อน
แต่เมื่อสงครามเกิดขึ้นและมีคนชี้ให้เห็นความต่าง ความเป็นเพื่อนที่มีมานานก็หายไปแล้วเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังได้ในชั่วข้ามคืน เกลียดกันในระดับที่สามารถเห็นครอบครัวของเขาถูกจับไปฆ่าทั้งครอบครัวได้โดยไม่ให้ความช่วยเหลือ
เขาเชื่อว่าปัจจัยที่ทำให้มนุษย์เรารู้สึกแปลกแยกว่านี่เป็นพวกฉัน นั่นเป็นพวกเธอ มันน่าจะเล็กน้อยและเห็นได้ไม่ชัด
แต่คำถามคืออะไรคือปัจจัยที่เล็กน้อยที่สุด ไร้สาระที่สุด ที่พอจะทำให้คนรู้สึกว่าฉันไม่ใช่พวกเดียวกับพวกเธอแล้วเลือกปฏิบัติต่อกันได้?
ความเข้าใจอันนี้จะเป็นบันไดขั้นแรกซึ่งนำไปสู่คำตอบว่าทำไมการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จึงเกิดขึ้นได้?
ฟังดูแล้วไม่น่าจะเป็นการทดลองที่ทำได้ยากใช่ไหมครับ?
แต่การทดลองนี้สุดท้ายแล้ว... ล้มเหลวครับ
ทาจเฟลออกแบบการทดลองโดยนำเด็กนักเรียนชายวัย 14 - 15 ปีจากโรงเรียนเดียวกัน (เพื่อลดความแตกต่าง) มากลุ่มหนึ่ง
จากนั้นก็ให้เด็กแต่ละคนยืนดูภาพวาดแอบสแตรกต์ชุดหนึ่งแล้วให้บอกว่าชอบภาพไหนบ้าง หลังจากนั้นก็นำคำตอบของเด็กมาวิเคราะห์แล้วแยกเด็กออกเป็นสองกลุ่ม คือเด็กกลุ่ม Klee และเด็กกลุ่ม Kandinsky
สงสัยว่าชื่อนี้คืออะไรอยู่หรือเปล่าครับ ?
ถ้าใช่ นั่นก็คือเหตุผลว่าทำไมทาจเฟลเลือกภาพของจิตกรแนว abstract สองคนที่ชื่อ Paul Klee และ Vassily Vassilyevich Kandinsky มาใช้ เพราะถ้าคุณไม่ใช่คอศิลปะจริงๆ คุณคงไม่คุ้นกับชื่อนี้
Klee vs Kandinsky
เขาจงใจที่จะให้พวกเด็กๆ ไม่รู้ว่า ตัวเองชอบผลงานของใคร
จริงๆแล้วภาพที่ให้เด็กดูก็ไม่ใช่ภาพที่ศิลปินทั้งสองวาด ส่วนการจัดกลุ่มก็สุ่มจัดไปมั่วๆ เท่านั้น
1
แต่ทันทีที่เด็กได้รับการบอกว่าเธอมีรสนิยมแบบ Klee หรือเธอมีรสนิยมแบบ Kandinsky นะ
ความเป็น Klee หรือ Kandinsky ในตัวของเด็กก็เกิดขึ้นทันที ซึ่งเห็นได้จากการทดลองขั้นที่สอง
เมื่อให้เด็กเล่นเกมต่างๆ ที่ออกแบบมาเพื่อให้เด็กมีโอกาสช่วยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นพิเศษ เด็กมีแนวโน้มจะเข้าข้างหรือช่วยกลุ่มที่มีรสนิยมคล้ายตัวเองมากกว่า
อย่างไรก็ตามในการทดลองนี้เด็กถูกแบ่งโดยทำให้เชื่อว่าตัวเองมีรสนิยมเช่นนั้นจริงๆ ทำให้เด็กรู้สึกว่าตัวเองเป็นกลุ่มนั้น
การทดลองต่อๆ มาทาจเฟลจึงออกแบบให้วิธีการแบ่งกลุ่มดูไร้สาระมากขึ้นไปอีก เช่น แบ่งกลุ่มด้วยการโยนเหรียญหัวก้อย
และที่น่าสนใจมากคือ แม้ว่าเด็กที่เข้าร่วมการทดลองจะรู้ตัวเองถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มด้วยการโยนหัวโยนก้อย แต่เมื่อให้ทำกิจกรรมต่างๆ เด็กกลุ่มหัวก็มีแนวโน้มจะช่วยกลุ่มหัว เด็กกลุ่มก้อยก็มีแนวโน้มจะช่วยกลุ่มก้อย
พอจะเห็นไหมครับว่าการทดลองนี้มันล้มเหลวยังไง?
เดิมทีเดียวทาจเฟลต้องการจะหาปัจจัยที่ไร้สาระที่สุดที่พอจะแบ่งคนออกเป็นสองกลุ่มได้ ซึ่งเขาและคนอื่นๆ ในยุคนั้นเชื่อว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผล การแบ่งกลุ่มที่ไร้สาระเช่นการโยนเหรียญไม่มีทางที่จะทำให้คนแยกเป็นสองกลุ่มได้หรอก
สุดท้ายการทดลองของทาจเฟลก็ล้มเหลวเพราะเขาหาปัจจัยที่ไร้สาระนั้นไม่พบ แต่เป็นการล้มเหลวที่เกิดประโยชน์ ที่เรียกว่าเป็น negative finding
เพราะสิ่งที่เขาพบมันเปลี่ยนความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์เสียใหม่ นั่นคือมนุษย์เรามีธรรมชาติที่จะถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มต่างๆ ได้ง่ายมากๆ ถึงแม้ว่าปัจจัยที่ใช้ในการแบ่งจะไร้สาระแค่ไหนก็ตาม
3.
การทดลองของทาจเฟลนี้มีชื่อเป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า minimal group paradigm studies ซึ่งความหมายก็ตรงตัวคือ หาลักษณะที่น้อยหรือ minimum ที่สุดที่จะทำให้คนรู้สึกว่าเป็นคนละกลุ่มหรือเป็นกลุ่มเดียวกัน
และด้วยความเข้าใจจากการทดลองนี้เองจึงนำไปสู่การพัฒนาเป็นทฤษฎีสำคัญอีกทฤษฎี ซึ่งทาจเฟลเสนอร่วมกับเพื่อนที่ชื่อจอห์น เทอร์เนอร์ (John Turner) ในปี ค.ศ. 1979
ทฤษฎีนี้มีชื่อ social identity theory ซึ่งสรุปใจความสั้นๆ ได้ว่าเมื่อเราจะประเมินคุณค่าของใครสักคนหนึ่ง (รวมถึงตัวเราเองด้วย) สมองของมนุษย์มีแนวโน้มประเมินด้วยกระบวนการทั้งหมดสามขั้นตอนด้วยกัน และเป็นการทำงานในระดับที่เราไม่รู้ตัว
ขั้นแรกสุด
เราจะจัดกลุ่มของเขาก่อน ซึ่งจะช่วยให้เรามีความคิดหรือพอจะนึกออกว่าจะมีปฏิสัมพันธ์กับเขาอย่างไรดี เช่น คนนี้จบดอกเตอร์จากอังกฤษ คนนี้เป็นภารโรง คนนี้ขับรถเบนซ์ คนนี้เป็นแรงงานต่างชาติ
เรายังใช้การจัดกลุ่มนี้กับตัวเราเองด้วย คือเราจะบอกกับตัวเราเองว่าเป็นเราเป็นใคร เราอยู่ระดับไหน คนไหนระดับเดียวกับเรา
ขั้นที่สอง
เมื่อเรารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มไหนแล้ว ความเป็นตัวตนของเราจะถ่ายทอดไปที่กลุ่มนั้น หมายความว่า เราจะรู้สึกดีหรือไม่ดีกับตัวเอง รู้สึกภูมิใจหรือมั่นใจในตัวเองหรือไม่นั้นมันขึ้นกับว่ากลุ่มของเราเป็นอย่างไร เช่น ถ้ากลุ่มที่เรารู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกับเราทำอะไรดี เป็นข่าวดัง เราจะภูมิใจไปด้วย เราจะหัวใจพองโต แต่ถ้าเขาทำอะไรไม่ดี เราอาจจะรู้สึกอายแทน ทั้งๆที่ตัวเราไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเหตุการณ์นั้นเลย
ขั้นตอนที่สาม
เป็นผลมาจากความจริงที่ว่ามนุษย์มีความต้องการที่จะรู้สึกดีกับตัวเอง ต้องการรู้สึกมั่นใจ ดังนั้นเมื่อความมั่นใจของตัวเราไปผูกอยู่กับกลุ่ม เราจึงอยากให้กลุ่มของเราดูดีขึ้น เก่งขึ้น ชนะบ่อยขึ้น
ดังนั้นเราจึงอดไม่ได้ที่จะเทียบว่ากลุ่มของเราเป็นอย่างไรบ้างเมื่อ ‘เทียบกับกลุ่มอื่น’
วิธีที่จะทำให้กลุ่มของตัวเองดีขึ้น ‘เมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น’ นั้นทำได้สองวิธีคือ
1. ทำให้กลุ่มตัวเองดูดีขึ้น
2. กดให้กลุ่มอื่นต่ำต้อยลงไปกว่าความเป็นจริง ซึ่งอาจทำโดยมองหาข้อผิด มองหาข้อด้อย หรือทำบางอย่างให้พวกเขาดูแย่ลง
และนั่นคือที่มาว่าทำไม มนุษย์เรามีแนวโน้มจะตัดสินหรือดูถูกคนกลุ่มอื่น (แบบเหมารวม) แม้ว่าเราจะไม่ได้รู้จักเขาจริงๆ หรือที่เรียกว่า prejudice และ discrimination
ก่อนที่จะจบเนื้อหาในซีรีส์นี้นะครับ เนื่องจากว่าเนื้อหาถูกแยกเป็นสามตอน
ผมเลยอยากจะขอสรุปเนื้อหาที่เขียนมาทั้งหมดเป็นภาพใหญ่ให้เห็นได้ชัดขึ้นอีกสักครั้ง
4.
การทดลองที่ชื่อว่า minimal study ของทาจเฟลทำให้เราเห็นว่ามนุษย์เราแบ่งกลุ่มกันได้ง่ายมากๆ ขอให้มีอะไรต่างกันเล็กๆ น้อยๆ เราก็พร้อมจะแบ่งกลุ่มแบ่งพวกแล้ว
ซึ่งสัญชาตญานี้มีข้อดีคือ ทำให้มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความยืดหยุ่นในการที่เปลี่ยนกลุ่มไปร่วมมือกับใครก็ได้ เช่น ย้ายเผ่า ย้ายประเทศ ย้ายทีม ย้ายที่ทำงาน ซึ่งลักษณะนี้พบในสิ่งมีชีวิตอื่นได้น้อยมากๆ
ในทางตรงกันข้ามมันก็เป็นข้อเสีย เพราะมันก็ทำให้เราพร้อมที่จะมองคนอื่นเป็นศัตรูได้ตลอดเวลาเช่นกัน
ทฤษฎี social identity theory ทำให้เราเข้าใจว่าทำไมเมื่อเราจัดตัวเองและคนอื่นๆ เข้ากลุ่มหรือแบ่ง ‘พวกเรา vs พวกเขา’ แล้วสิ่งที่จะเกิดตามมาอย่างอัตโนมัติคือ
1.สมองจะทำให้เราเห็นความต่างระหว่างกลุ่มมากกว่าที่เป็นจริง คือโฟกัสว่าเราต่างกันอย่างไรมากกว่าที่จะมองว่าเรามีอะไรเหมือนกัน
2.เราจะมองกลุ่มอื่นที่ไม่ใช่พวกเราว่า ‘พวกเขาเหมือนๆ กันหมด’ (out group homogeneity) ดังนั้นเมื่อเราเจอคนแปลกหน้า เราจะตัดสินเขาหรือใส่คุณค่าบางอย่างให้กับเขา แม้ว่าเราจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลยก็ตาม (หลายครั้งจะตัดสินเขาในแง่ลบที่เรียกว่า prejudice)
3.เรามีแนวโน้มจะมองว่ากลุ่มของเราดีกว่า เก่งกว่า เจ๋งกว่า (in group bias) และมองเห็นความด้อย ความผิดของกลุ่มอื่นง่ายกว่า (เห็นแต่ความผิดของคนอื่น แต่พอตัวเองผิดจะมีข้อแก้ตัวที่เชื่อกันเองในพวกเดียวกัน)
ในการทดลองที่ชื่อว่า Robber cave experiment ของมูซาเฟอร์ เชอรีฟ แสดงให้เห็นว่าเมื่อเกิดความรู้สึกเป็นพวกฉันและพวกเธอขึ้นมาแล้ว เราจะเลือกปฏิบัติต่อพวกเราต่างไปจากพวกอื่น
เราช่วยเหลือพวกตัวเองมากกว่า เราหวังดีกับพวกตัวเองมากกว่า
เมื่อมีความขัดแย้ง การแข่งขัน หรือการแก่งแย่งเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างกลุ่มเกิดขึ้น ความรู้สึกนี้จะถูกขยายให้เพิ่มมากขึ้นไปอีก จนเราอาจจะโฟกัสที่จะทำเพื่อพวกของตัวเองโดยไม่สนใจว่ามันจะมีผลต่อคนกลุ่มอื่นๆอย่างไรบ้าง
เราจะมองกลุ่มที่เป็นศัตรูกับพวกของเราว่ามีราคาต่ำกว่าการเป็นคน (dehumanization) หมายความว่าเราจะไม่คิดว่าเขาเจ็บ เศร้า รัก หรือเสียใจได้เท่ากับเรา
เราจะรู้สึกว่าเราสามารถทนเห็นเขาตาย เจ็บ หรือทรมานได้ โดยที่ไม่ค่อยรู้สึกสงสาร (เท่าภาวะปกติของเรา)
5.
โดยสรุปจะเห็นว่า
มนุษย์เราแต่ละคนมีสัญชาตญาตหลายๆอย่างที่พร้อมจะนำเราไปสู่การแบ่งกลุ่ม การเหยียด
สัญชาตญานเล็กๆ เหล่านี้ด้วยตัวมันเองไม่มีอันตราย และไม่ได้นำไปสู่ความขัดแย้ง
แต่เมื่อสภาวะหนึ่งเกิดขึ้นแล้วโอกาสที่จะไหลไปสู่สภาวะอื่นๆ เหมือนตัวโดมิโนที่ล้มทับกันไปเรื่อยๆ ก็มากขึ้น ซึ่งในสถานการณ์บางสถานการณ์หรือสิ่งแวดล้อมบางอย่าง ที่ทำให้ปัจจัยหรือสัญชาตญานต่างๆเหล่านี้ทำงานพร้อมกัน มนุษย์ก็สามารถที่จะทำทารุณกรรม หรือฆ่ากันอย่างโหดร้าย โดยที่คนๆนั้นไม่จำเป็นต้องมีความผิดปกติของจิตใจแต่อย่างใด
แม้บางครั้งเราจะไม่ได้เป็นคนลงมือเอง แต่เราก็สามารถรู้สึกเห็นดีเห็นงาม หรือรู้สึกสะใจกับความโหดร้ายนั้นได้
แต่เมื่อคุณอ่านมาจนถึงตรงนี้ และพอจะเห็นภาพคร่าวๆว่า กลไกภายในจิตใจหรือสมองของเรานั้นทำงานอย่างไร
คุณก็จะมีเครื่องมือสำหรับช่วยเตือนสติเพิ่มขึ้นอีกอย่าง
ที่จะช่วยป้องกันไม่ให้คุณเผลอดำดิ่ง
ลงไปในทิศทางที่คุณไม่ต้องการจะไปได้ ....
ถ้าไม่อยากพลาดเรื่องที่ผมจะเขียนจะแอดไลน์ Line ไว้เลยก็ได้ครับ
เมื่อผมเขียนบทความ ทำpodcast หรือคลิปวีดีโอ ที่ไหนจะไลน์ไปแจ้งเตือนให้ครับ คลิกที่นี่เลยครับ https://lin.ee/3ZtoH06
(ปิดท้ายด้วยโฆษณา)
ถ้าชอบวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับจิตวิทยาและร่างกายแบบนี้
แนะนำอ่านเพิ่มเติมได้จากหนังสือ Best seller 500 ล้านปีของความรักเล่ม1-2
สามารถสั่งซื้อออนไลน์ได้จากลิงก์ด้านล่างครับ
อ่านบทความแนวประวัติศาสตร์ได้ที่
คลิปวีดีโอเกี่ยวกับประวัติศาสตร์
โฆษณา