10 มิ.ย. 2020 เวลา 03:10 • ประวัติศาสตร์
*** 10 เรื่องแปลกๆ ของผู้หญิงซาอุฯ ***
ข่าวผู้หญิงซาอุฯ หนีมาไทย ทำให้เกิดกระแสตื่นตัวเรื่องสิทธิสตรีในซาอุดิอาระเบียขึ้น วันนี้ผมจะมาพูดเรื่องแปลกๆ ของผู้หญิงซาอุฯ ให้ฟังสิบเรื่องนะครับ โดยแบ่งเป็น เรื่องที่เป็นสาเหตุของเรื่องอื่นๆ (เรื่องที่ 1) เรื่องที่มาแรงที่สุด (เรื่องที่ 3) เรื่องที่โหดร้ายที่สุด (เรื่องที่ 7) และเรื่องที่มุมิที่สุด (เรื่องที่ 8) รวมถึงบทสรุปในเรื่องที่ 10 ที่อาจไม่เหมือนที่คุณคิด
เร็วๆ นี้มีข่าวเรื่อง สาวซาอุฯ วัย 18 ปี ชื่อ "ราฮาฟ" หนีออกจากบ้านและถูกกักตัวที่ไทยระยะหนึ่ง เธอดิ้นรนจากการถูกส่งตัวกลับด้วยการโพสต์ข้อความที่น่ากลัวมาก "...ครอบครัวของฉันจะฆ่าฉัน"
เหตุใดเด็กสาวคนหนึ่งจึงพูดสิ่งที่ร้ายแรงแบบนี้? ...การจะเข้าใจเรื่องของเธอ จำต้องเข้าใจเรื่องของซาอุฯ ก่อน ...ซาอุดิอาระเบียเป็นชาติมหาอำนาจในตะวันออกกลาง ซึ่งนอกจากจะมีน้ำมันเยอะแล้ว ยังเป็นที่ตั้งของมัสยิดที่สำคัญที่สุดสองแห่งของศาสนาอิสลามอีกด้วย
โดยเฉลี่ยชาวซาอุฯ มีฐานะร่ำรวย คุณภาพชีวิตดี เข้าถึงสวัสดิการที่ดี งานใช้แรงงานนั้นมักนำเข้าแรงงานจากประเทศที่จนกว่ามาทำ
1
ในขณะเดียวกันซาอุฯ ก็เป็นประเทศที่มีระบบระเบียบหลายอย่างต่างจากชาวโลก เช่นยังปกครองโดยกษัตริย์ กับผู้เชี่ยวชาญทางศาสนา ทั้งยังใช้กฏหมายอิสลามที่มีการตีความในแบบของตัวเอง ภายใต้สภาวะแวดล้อมเช่นนี้ ทำให้ชีวิตผู้หญิงซาอุฯ แตกต่างจากผู้หญิงที่อื่น นำไปสู่เรื่องแปลกๆ ของเรา
เรื่องแปลกที่ 1 "ระบบผู้ปกครองชาย" ซึ่งเป็นต้นตอของเรื่องแปลกๆ แทบทั้งหมดที่จะกล่าวถึงต่อไป ภายใต้ระบบนี้ผู้หญิงซาอุฯ จะต้องอยู่ใต้การปกครองของผู้ชายคนใดคนหนึ่งเสมอ และต้องได้รับการอนุมัติจากผู้ชายในการทำสิ่งต่างๆ เช่น:
- แต่งงานหรือหย่า
- เดินทาง
- เรียนหนังสือ
- สมัครงาน
- เปิดบัญชีธนาคาร
- ทำการผ่าตัดบางอย่าง
ผู้ปกครองชายนี้มักเป็นญาติสนิทของเธอ โดยเมื่อยังเล็กอยู่ใต้การปกครองของพ่อ เมื่อโตขึ้นอยู่ใต้การปกครองของพี่ เมื่อแต่งงานอยู่ใต้การปกครองของสามี และเมื่อชราอยู่ใต้การปกครองของลูก
1
เรื่องนี้ทำให้เกิดปัญหามาก เช่นในปี 2008 พ่อคนหนึ่งได้ให้ลูกสาวอายุ 8 ปีของเขาแต่งกับชายวัย 47 เพื่อล้างหนี้ แม่ของเด็กคนนั้นพยายามร้องขอต่อศาลให้ยกเลิกเรื่องดังกล่าว แต่ศาลไม่อนุมัติ
อีกกรณีในปี 2013 โรงพยาบาลคิงฟาฮัดตัดสินใจตัดมือรักษาชีวิตผู้หญิงที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ได้ล่าช้า เพราะเธอไม่มีผู้ปกครองชายมาอนุมัติ ...เพราะผู้ปกครองชายของเธอ ก็คือสามีที่ตายไปในอุบัติเหตุเดียวกันนั่นแหละ...
ตามกฎหมายนี้แม้แม่ที่เสียสามียังห้ามแต่งงานใหม่หากไม่ได้รับการอนุมัติจากลูกชาย มันไม่เพียงทำให้ผู้หญิงลำบาก ยังทำให้ผู้ชายลำบากมาอนุมัติสิ่งต่างๆ ทางการซาอุฯ ต้องพยายามพัฒนาเทคโนโลยีมาเพื่อแก้ปัญหา เช่นทุกครั้งที่ผู้หญิงจะเดินทางออกนอกประเทศ จะมี text message ไปหาผู้ปกครองของเธอ ให้อนุมัติง่ายๆ
เรื่องแปลกที่ 2 "ผู้หญิงซาอุฯ ต้องรักนวลสงวนตัว" เรื่องนี้ฟังดูเหมือนไม่แปลก หากมิใช่ว่าความรักนวลสงวนตัวนั้นค่อนข้าง extreme
ตามกฎคือผู้หญิงทุกคนต้องแต่งตัวคลุมมิด เพื่อไม่ให้ไปยั่วยวนผู้ชาย ความมิดนี้เริ่มจากต้องคลุมหัว และใส่เสื้อผ้าหลวมๆ ไม่โชว์สัดส่วน แต่เกินกว่านั้นจะมิดอีกแค่ไหนขึ้นกับความเคร่ง เช่นบางคนปิดหน้า บางคนเอาลูกกรงมาหุ้มหน้าอีกชั้นก็มี
นอกจากนั้นผู้หญิงซาอุฯ ต้องอยู่แยกกับผู้ชายที่ไม่ใช่ญาติ ซึ่งมาจากความกลัวว่าหากปล่อยให้ชายหญิงที่ไม่ใช่ญาติกันมาอยู่ใกล้กัน จะเกิดความผิดผีนานาประการ
ร้านอาหารต่างๆ เข้าไปเปิดสาขาในซาอุฯ เลยต้องแบ่งโซนชายโสด กับโซนครอบครัว ผู้หญิงจะไปอยู่โซนครอบครัว ไม่ว่าจะมากับผู้ปกครองหรือเปล่าก็ตาม
เรื่องแปลกที่ 3 "ผู้หญิงซาอุฯ ห้ามขับรถฯ (จนถึงปี 2018 ที่ผ่านมา)" กฎนี้ผู้รู้ทางศาสนาตั้งขึ้นเพราะ:
- ขับรถทำให้ต้องเปิดหน้า
- ขับรถทำให้ผู้หญิงออกนอกบ้านมากเกินไป
- ขับรถเพิ่มโอกาสคุยกับผู้ชายที่ไม่ใช่ญาติ เช่นตอนรถชน
- ขับรถทำให้ประเพณีอันดีงามในการแบ่งแยกชายหญิงเสื่อมลง
กฎนี้ทำให้ผู้หญิงลำบากมาก (อีกแล้ว) เพราะเดินทางไม่ได้หากไม่มีผู้ปกครองพาไป พวกผู้หญิงประท้วงว่าอะไรที่คัมภีร์อัลกุรอานไม่ได้ระบุไว้ พวกผู้รู้ก็ตีความไปทางกดขี่ทางเพศหมดเลยนะ (จริงๆ มีบันทึกเรื่องผู้หญิงขี่อูฐ และอยู่ปนๆ กับผู้ชายในสมัยนบีมุฮัมมัด)
มีผู้รู้บางคนพยายามผ่อนปรนโดยบอกให้ผู้หญิงมอบน้ำนมของตนแก่คนขับรถทาน จะทำให้ถือว่าเป็นญาติ และทำให้สามารถพาไปไหนมาไหนได้ ซึ่งผู้หญิงไม่อยากทำกัน
ชิดกับคนขับชายที่ไม่ใช่ญาตินั่นแหละ แต่เนื่องจากคนขับพวกนี้มักเป็นแรงงานต่างด้าว กฎหมายจึงพอจะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ได้ (อย่าถามลึกกว่านี้ ผมก็งงๆ โลจิกเหมือนกัน) ข่าวดีคือปัจจุบันผู้หญิงเริ่มขับรถได้แล้วนะครับ เจ้าชายบินซัลมานแกเพิ่งอนุญาตเมื่อปีที่แล้ว
1
เรื่องแปลกที่ 4 "ผู้หญิงจะไม่ทำงานในหลายสายอาชีพ" ...อะไรนะ? ถึงจุดนี้มันดูไม่แปลกแล้วเหรอ? คือการมีข้อจำกัดว่าทำอะไรต้องมีผู้ชายอนุญาต กับห้ามอยู่ใกล้ผู้ชายที่ไม่ใช่ญาติ บวกการเดินทางเองก็ไม่ง่าย มันทำให้ผู้หญิงทำงานนอกบ้านน้อยลงเองนั่นแหละ
1
พวกผู้รู้ไม่อยากให้ผู้หญิงทำงานระดับสูง เพราะเสี่ยงผิดผีต่างๆ แต่มีการโต้แย้งว่าภรรยาคนแรกของนบีมุฮัมมัด หรือท่านหญิงเคาะดีญะห์นั้นมีอาชีพเป็นนักธุรกิจ และนบีมุฮัมมัดสมัยประกอบอาชีพเป็นพ่อค้ายังเคยเป็นตัวแทนขายของเธอ อีกบันทึกบอกว่าภรรยาอีกคนของนบีมุฮัมมัดชื่อท่านหญิงอะอิชะห์เคยนำทัพออกรบเองอีกด้วย (ในรูปขี่อูฐรบทางด้านซ้ายบน)
ในทางปฏิบัติผู้หญิงซาอุมักได้รับสิทธิ exclusive ในอาชีพที่ต้องติดต่อกับผู้หญิงด้วยกัน เช่นขายเครื่องสำอางค์ ชุดชั้นในนี่ผู้ชายอย่ามาแตะเลย
เรื่องแปลกที่ 5 "แม้แรงงานในซาอุเป็นผู้หญิงเพียง 18.6% แต่ปริมาณผู้หญิงที่จบมหาวิทยาลัยกลับมีมากกว่าผู้ชาย"
ซาอุฯ มีการสนับสนุนให้ผู้หญิงเรียนหนังสือกันสูงๆ ด้วยซ้ำ แต่นั่นมักเป็นเพื่อขัดเกลาจิตใจให้เป็นแม่และภรรยาที่ดี ด้วยความเสี่ยงผิดผีต่างๆ ทำให้พวกเธอเรียนออนไลน์กันมาก
สาขาที่ถูกสนับสนุนให้เรียนคือ ครุศาสตร์ สังคมศาสตร์ กับศาสนา ปกติผู้หญิงมักไม่ได้รับการยอมรับให้เรียนวิศวะ สถาปนิก และกฎหมาย
เรื่องแปลกที่ 6 "ผู้หญิงขาดสิทธิทางการเมือง" คือก่อนปี 2000 พวกเธอยังไม่มีบัตรประชาชนด้วยซ้ำ แต่ชื่อเธอจะไปต่อท้ายในบัตรของผู้ปกครองชาย
สมัยก่อนมีบัตรประชาชน ผู้หญิงจะขึ้นศาลทีต้องเอาผู้ชายอย่างน้อยสองคนไปยืนยันตัวตนของเธอ ไม่งั้นก็จะกลายเป็นคนเถื่อน แต่ช่วงหลังๆ ค่อยๆ ดีขึ้นเริ่มมีบัตรประชาชนของตนเองได้
1
พวกเธอพึ่งจะเลือกตั้งได้ครั้งแรกในปี 2015 และเริ่มทำงานการเมืองในตำแหน่งสูงได้บ้าง
เรื่องแปลกที่ 7 "จริงๆ ชุดการปฏิบัติต่อผู้หญิงนี้อาจไม่ได้มาจากอิสลามเป็นหลัก ...หากแต่มาจากประเพณีเรียกว่านามุสที่นับถือกันในเผ่าทะเลทรายตั้งแต่ก่อนยุคอิสลาม"
นามุสมีความหมายปนๆ กันระหว่าง "เกียรติยศ" และ "ความบริสุทธิ์" มันเป็นหลักการเอ่ยถึงหน้าที่ที่คนในสังคมจะต้องปฏิบัติเพื่อคงซึ่งความดีเอาไว้ ในนั้นมีแบ่งหน้าที่ชายหญิงชัดเจน โดยผู้ชายเป็นผู้นำที่ต้องรักษา "ความบริสุทธิ์" ของผู้หญิงในปกครองของตน
ถ้าผู้หญิงทำตัวนอกลู่นอกทางผู้ชายมีสิทธิลงโทษ ถ้าผู้หญิงถูกข่มขืน ...ก็ยังจะต้องถูกลงโทษ เพราะถูกมองว่า "ไม่บริสุทธิ์" บ่อยครั้งผู้ปกครองชายเลือกชำระโทษของเธอโดยความตาย เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของเผ่าเอาไว้
เรื่องแปลกที่ 8 จากทุกสิ่งที่พูดมา ผู้หญิงซาอุหลายคนก็ยัง "ชอบ" ระบบผู้ปกครองชาย...
คนที่ไม่เคยไปตะวันออกกลางอาจไม่เข้าใจเรื่องนี้ แต่จากที่ผมไปมาหลายประเทศ บอกได้เลยว่าชายชาวตะวันออกกลาง "มุมิมาก"
พวกเขาเห็นผู้หญิงเหมือนดอกไม้ในแจกัน อัญมณีในหีบ ต้องปกป้องดูแล ทะนุถนอมให้ความรัก ไกด์ผมคนนึงแต่งกลอนให้แฟนทุกวันมาสามปีแล้ว แต่ละบทหวานจ๋อยมดยังอาย ในรูปนี้เป็นหนังโรแมนติกคอเมดี้ซาอุฯ
การ์ตูนในรูปนี้ชื่อ Satoko&Nada เป็นเรื่องสาวญี่ปุ่นกล่าวถึงรูมเมทชาวซาอุที่มาเรียนต่อด้วยกัน เธอบอกว่าถ้าพวกเธอไปเรียนต่างประเทศ มันเป็นเรื่องปกติที่ญาติฝ่ายชายจะต้องเดินทางมาอยู่ใกล้ๆ เพื่อคอยดูแลเอาใจใส่ดังราชินี
ความเห็นจากผู้หญิงที่สนับระบบผู้ปกครองชาย จะประมาณว่า "การให้อิสระผู้หญิงเป็นแนวคิดผิดผีที่ชาวตะวันตกเอามายัดเยียดเรา แท้จริงแล้วพวกเขาไม่รู้จักความซาบซ่านแห่งความมุมิแบบชาวอาหรับ ...ไม่รู้ว่าการถูกชีคทะเลทรายลักพาตัวไปตบจูบนั้นมันฟินขนาดไหน"
1
สังคมตะวันตกบอกว่า ระบบผู้ปกครองกดขี่ให้ผู้หญิง "เป็นเด็ก" อยู่เสมอ ไม่สามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบตนเองได้ ...แต่ผู้หญิงหลายคนที่ชอบแบบนั้น มองว่ามุมมองตะวันตกช่างขาดความรัก
นักสิทธิสตรีซาอุฯ มักบอกว่าพวกผู้ชายก็รักเธอจริงนั่นแหละ แต่เป็นความรักแบบคนปกติเมตตาคนพิการ หรือสัตว์ คือมองว่าด้อยกว่า ต้องช่วยเหลือ ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่พวกเธอชอบแบบไหน แต่อยู่ที่หากบางคนไม่ชอบ พวกเธอสามารถเลือกได้หรือไม่?
เรื่องแปลกที่ 9 "เรื่องผู้หญิงทั้งหมดนี้อาจจะเป็นการเมือง" ...คัมภีร์อัลกุรอานนั้นมีหลายจุดที่ตีความได้ ดังนั้นการแปลอัลกุรอานเป็นกฎหมายอิสลามจึงต้องใช้ผู้รู้มาวิเคราะห์ ซึ่งผลที่ออกมาขึ้นกับอะไรหลายอย่างมากๆ หนึ่งในนั้นคือ "การเมือง"
เมื่อก่อนซาอุฯ ยังไม่เคร่งเท่านี้ ต่อมาปี 1979 เกิดเหตุผู้ก่อการร้ายเคร่งศาสนามายึดมัสยิดสำคัญ ผู้ปกครองซาอุฯ ปราบผู้ก่อการร้ายได้แล้ว เลยแก้เกมส์โดยออกกฎที่เคร่งศาสนามากขึ้น เพื่อดึงฝ่ายเคร่งศาสนามาอยู่กับตน
กระทั่งปี 2001 เกิดเหตุ 9/11 กระแสต่อต้านอิสลามหัวรุนแรงแพร่ไปในโลก จากนั้นซาอุฯ ก็ค่อยๆ ผ่อนปรนกฎของตนเองลง
แม้ในประเทศที่เคร่งอย่างซาอุฯ "ความถูกต้อง" ก็เปลี่ยนไปตามยุคสมัย (ในภาพคือผู้หญิงซาอุฯ ได้รับอนุญาตให้ไปเชียร์บอล ในยุคที่กฎถูกผ่อนปรนลงมากแล้ว)
เรื่องแปลกที่ 10 "เรื่องของราฮาฟเหมือนเรียบง่าย แต่มีหลายมุม" มันอาจไม่ใช่แค่ปัญหาการกดขี่ผู้หญิงเท่านั้น แต่อาจเป็น "การเมือง" และ "ปัญหาส่วนตัว" ด้วย
พอข่าวราฮาฟถูกกักตัวในไทยแพร่ไป ชาติตะวันตกมากมายก็อ้าแขนช่วยเหลือเธอ ...ราฮาฟบอกว่าเธอถูกกดขี่ทำร้ายต่างๆ แต่เธอไม่มีหลักฐานของสิ่งเหล่านั้น หากเทียบกับผู้ลี้ภัยอื่นๆ ที่ประสบภัยสงคราม ภัยธรรมชาติชัดๆ ยังนับว่าเธอได้รับการช่วยเหลือที่รวบรับ รวดเร็วกว่ามาก ...หรือเพราะเรื่องการช่วยเหลือผู้หญิงจากสังคมอันป่าเถื่อน ให้มาสู่สังคมตะวันตกอันมีคุณธรรมนั้นขายได้?
1
และพอราฮาฟได้ลี้ภัยไปแคนาดาไม่นาน สิ่งที่เธอทำอย่างแรกๆ คือกินหมูโชว์ เรื่องนี้คิดเป็นอย่างอื่นยาก นอกจากเพื่อต่อต้านอิสลามสร้างความรำคาญแก่ครอบครัวของตนเอง สะท้อนว่าเธอก็เป็นคนแรงเช่นกัน
ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้มีเด็กสาวเยอรมันอายุ 17 ชื่อลินดา เวนเซล เบื่อหน่ายความดัดจริตจอมปลอมของสังคมเยอรมัน จึงทอดทิ้งศาสนาคริสต์ ไปเข้ารีตเป็นอิสลามแล้วสวามิภักดิ์กลุ่มก่อการร้าย ISIS ต่อมาถูกจับได้ สร้างความร้อนใจแก่ครอบครัวเป็นอันมาก
ในวัยแรกรุ่นนั้น ใครบ้างไม่มีปัญหา? ใครบ้างไม่เคยผิดพลาด? ไม่ใช่แค่ซาอุฯ สังคมที่นับถือกันว่าดีอย่างเยอรมันยังมีเด็กหนีไปอยู่กับ ISIS ได้ (อันนี้คือแม่เธอไปช่วย ตอนมีข่าวว่าศาลอิรักอาจตัดสินประหารเธอ)
สังคมซาอุฯ มีปัญหาเรื่องสิทธิสตรี ในขณะเดียวกันก็มีการพยายามแก้ไขในแบบของตนเองอยู่ ผมไม่ได้บอกว่าพวกเขาทำได้ดีมาก แต่การมองว่าเขาแย่แต่อย่างเดียวอาจทำให้ขาดการมองในมิติอื่น เพราะแท้จริงแล้วปัญหาเกิดขึ้นจากหลายมุม และแม้ในสังคมไทยที่เราอยู่ก็มีหลายสิ่งที่เราคิดว่าดี แต่แท้จริงแฝงเร้นปัญหาอยู่อีกมากเช่นกัน
::: ::: :::
สนใจเรื่องประวัติศาสตร์ สงคราม เรื่องต่างประเทศ กดติดตามเพจ The Wild Chronicles - เชษฐา https://www.facebook.com/pongsorn.bhumiwat ได้เลยครับ
โฆษณา