8 มิ.ย. 2020 เวลา 13:00 • กีฬา
"มอนตะ" แห่งอายชิลด์ 21 : ภาพสะท้อนของคนที่ไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งที่ตัวเองรัก
"ขยันผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย" คือวาทะที่เราได้ยินเสมอ มันใช้สำหรับการเปรียบเทียบกับคนๆ หนึ่งที่ต่อให้จะพยายามมากมายกว่าคนอื่นขนาดไหน แต่ถ้าเขาไม่ได้ขยันให้มันถูกที่ถูกเวลา ความขยันก็จะสูญเปล่า นอกจากคำชมแล้ว ไม่มีอะไรที่จับต้องได้เลยแม้แต่นิดเดียว
นี่คือเรื่องราวของ ไรมอน ทาโร่ หรือ "มอนตะ" 1 ในตัวละครเรื่อง "อายชีลด์ 21" การ์ตูนญี่ปุ่นเกี่ยวกับอเมริกันฟุตบอลที่สร้างยอดขายถล่มทลายทั่วโลก ด้วยเนื้อเรื่องที่ครบรสทั้งความฝัน, ความฮา, ความสุข และ ความผิดหวัง ที่ผสมกันออกมาจนกลายเป็นการ์ตูนที่อ่านสนุกจนวางไม่ลง ที่สำคัญยังได้ข้อคิดอะไรบางอย่างผ่านตัวละครแต่ละตัวในเรื่องอีกด้วย
และเรื่องของ มอนตะ ก็คือ เมื่อรู้ว่าเขาไม่สามารถทำในสิ่งที่ตัวเองรักให้ดีขึ้นได้ เขาแก้ไขมันด้วยการ "บิด" สิ่งที่มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ... จากคนไม่เอาไหนในกีฬาเบสบอล กลับกลายเป็นสุดยอดนักอเมริกันฟุตบอลที่ได้ไปแข่งระดับโลก
ไม่ผิดที่จะฝัน แต่ผิดแน่ถ้าคุณไม่สามารถรับมือกับความจริงได้ ... นี่คือการรับมือกับความจริงที่เฉียบขาดที่สุดในเรื่อง อายชีลด์ 21 ติดตามได้ที่นี่
เพราะรักจึงเจ็บปวด...
ความทรงจำวัยเด็กนั้นแสนประหลาด เพราะถึงแม้จะผ่านไปกี่ปีๆ แต่เรากลับจำเรื่องราวบางเรื่อง ณ ช่วงเวลานั้นได้อย่างแม่นยำ ราวกับว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง ...
และยิ่งเรื่องราวดีๆ ในอดีตกลายเป็นสิ่งแสนหวานที่ช่วยสมานความเจ็บปวดในยามโตขึ้นมาเช่นไร เรื่องราวร้ายๆ ก็จะกลายเป็นปมในใจที่อยู่หลอกหลอนเราไปเช่นนั้น ... เว้นเสียแต่ว่าปมนั้นจะถูกคลายออกด้วย "ชัยชนะ" อันแสบราบคาบ ที่ทำให้อดีตอันเลวร้ายเหล่านั้นไม่มีอิทธิพลคุกคามตัวเราได้อีกต่อไป
Photo : minitokyo.net
หากจะถามว่า สิ่งไหนกันล่ะที่ทำให้เรารู้สึกถึงความหอมหวานและผิดหวังในอดีตได้ในคราวเดียวกัน? คำตอบคงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกเสียจาก "ความรัก" ไม่ว่าจะเป็นความรักในรูปแบบของ คน กับ คน, คน กับ สัตว์ หรือแม้กระทั่ง คน กับ สิ่งของ
ไรมอน ทาโร่ หรือ มอนตะ คือหนึ่งในตัวละครของเรื่อง อายชีลด์ 21 ที่ถือว่าเป็นตัวละครขวัญใจของคนส่วนมากลำดับต้นๆ เหตุผลข้อแรกอาจจะเป็นเพราะว่าเขาคือ "ทีมพระเอก" จึงได้รับกระแสแม่ยกพ่อยกไปตามระเบียบ แต่หากมองเข้าไปให้ลึกถึงอดีตของ มอนตะ แล้ว สิ่งเดียวที่ทำให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นระดับ "ทีมชาติญี่ปุ่น" (ในเรื่อง) ได้นั้น มีจุดเริ่มต้นจากความรักที่เจ็บปวดผ่านถุงมือเบสบอลขาดๆ คู่นึงเท่านั้น
มอนตะ เปิดตัวเป็นสมาชิกทีม "เดมอน เดวิลแบ็ตส์" เป็นลำดับต้นๆ และยืนพื้นเป็นตัวเด่นของทีมมาโดยตลอด สิ่งที่ อ. ริอิจิโร อินะงะกิ ผู้เขียนเรื่องนี้ (ส่วน อ. ยูสุเกะ มุราตะ เป็นผู้ลงเส้น ก่อนที่จะดังระเบิดกับ One Punch Man) พยายามทำให้ผู้อ่านเข้าใจคือ มอนตะ เป็นผู้เล่นตำแหน่ง ไวด์รีซีฟเวอร์ (ปีกนอก) ที่เก่งกาจเป็นอย่างมาก เขาสามารถกระโดดรับบอลได้ด้วยความแม่นยำแม้จะตัวเล็ก อีกทั้งยังมีนิสัยที่เหมาะกับฝั่งพระเอกอย่างที่สุด นั่นคือการมีทั้งความใจสู้และความฮาอยู่ในตัว
มอนตะ นั้นพาทีม เดวิลแบ็ตส์ คว้าชัยชนะเรื่อยมา จนกระทั่งวันหนึ่งความสัมพันธ์ในฐานะเพื่อนร่วมทีมกับ เซนะ โคบายาคาว่า พระเอกของเรื่อง มีความสนิทชิดเชื้อมากขึ้น (หลังคุ้นหน้ากันมาก่อนเพราะบ้านทั้งสองอยู่ใกล้กัน) มอนตะ ก็ได้เผยอีกด้านที่ไม่เคยมีใครได้เห็น นั่นคือการนั่งร้องไห้เมื่อเล่าถึงอดีตของตัวเอง ซึ่งน้ำตาจากมอนตะในวันนั้น ถือว่าเป็นหนึ่งในส่วนที่ทำให้เรื่อง อายชีลด์ 21 กลมกล่อมขึ้นอย่างปฎิเสธไม่ได้ เขาพยายามเล่าว่าเพราะ "ความเจ็บปวดในอดีต" จึงทำให้เขามาอยู่ที่นี่
เรื่องราวย้อนไปในวัยเด็กของ มอนเตะ แน่นอนว่าเด็กญี่ปุ่นแทบทุกคนล้วนมีกีฬาเบสบอลเป็น 1 ในกีฬาในดวงใจ และมอนตะก็เช่นกัน เขาเป็นเด็กน้อยที่ตามเชียร์ทีมรักทีมรักของเขา โดยเฉพาะในรายของผู้เล่นที่ชื่อว่า "มาซารุ ฮอนโจ" ของทีม ชูเฮย์ แบร์ส ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการรับบอลด้วยปฎิกิริยาที่รวดเร็วยิ่งกว่าคนอื่นๆ
ในเกมๆ หนึ่ง หลังจบครึ่งแรก ฮอนโจ กำลังเดินเข้าไปในห้องแต่งตัวเพื่อพักรอแข่งครึ่งหลัง เขาพบว่าถุงมือเบสบอลของเขาขาดแล้ว ซึ่งตรงหน้าเขามี มอนตะ ในวัยเด็กยืนอยู่บนอัฒจันทร์พอดี ฮอนโจ จึงตัดสินใจโยนถุงมือคู่นั้น และเป็น มอนตะ ที่คว้าเอาไว้ได้ก่อนใคร ... จากนั้นความชอบก็ถูกเปลี่ยนเป็นความคลั่งไคล้ ที่ทำให้ มอนตะ อยากจะเป็นนักเบสบอลเหมือนกับ ฮอนโจ ให้ได้
"ฉันจะฝึกซ้อมเหมือนกับไม่มีวันพรุ่งนี้เลยล่ะ คอยดูเถอะ" นี่คือคำพูดของ มอนตะ หลังกระโดดคว้าถุงมือของ ฮอนโจ ได้
จากนั้นพอเข้าช่วงมัธยมต้น มอนตะ เข้าสู่ชมรมเบสบอล พยายามอย่างหนักยิ่งกว่าใครในทีมตามที่เขาได้ลั่นวาจากับตัวเองไว้ เพียงแต่ว่า "เซนส์" คือปัญหาที่ทำให้ มอนตะ ไม่ได้เก่งแบบที่ตัวเองคิด แม้ภาพในหัวจะยิ่งใหญ่ แต่ความจิงคือความพยายามของเขาแทบสูญค่า เขากะจังหวะลูกบอลที่ลอยอยู่กลางอากาศไม่เป็น รับลูกบอลไม่เคยได้เพราะกะจังหวะไม่ถูก ร่างกายตอบสนองไม่ทันดั่งใจสั่ง
Photo : matome.naver.jp
ถึงตรงนี้แม้จะดูสิ้นหวัง แต่ อ.ริอิจิโร อินะงะกิ กลับทำให้คนอ่านเข้าใจมากขึ้นไปอีกว่ามอนตะพยายามแค่ไหน แม้จะเริ่มต้นด้วยความล้มเหลวแต่ มอนตะ ก็เปิดวีดีโอของ ฮอนโจ ดูทุกวัน จนมีประโยคหนึ่งที่ฮอนโจพูดกับกล้องว่า "สำหรับผู้เล่นมือใหม่ จงอย่าท้อแท้ถ้าคุณยังรับลูกไม่ได้ จงพยายามอยู่ตลอดเวลาและหายใจเข้าออกเป็นการคว้าบอลเอาไว้" ซึ่ง มอนตะ ก็ข้ามขีดจำกัดของตัวเองได้จากคำพูดนั้น เขาฝึกหนักกว่าเดิมคูณ 2 จนกลายเป็นคนที่รับลูกได้ดีที่สุดในทีม โดยตัวของ มอนตะ เองเล่าถึงความสามารถของเขาให้กับ เซนะ ฟังว่า "แม้แต่ในสถานการณ์ที่อันตรายที่สุด ลูกบอลก็จะไม่หลุดจากมือของฉันแน่" ... จุดนี้แสดงให้เห็นว่าฝีมือการรับบอลของ มอนตะ นั้นสุดยอดขนาดไหน
แต่ เบสบอล คือกีฬาที่ไม่ได้จบแค่การรับลูกอย่างเดียว เพราะเมื่อรับบอลได้ ก็จำเป็นจะต้องขว้างบอลส่งต่อให้เพื่อนในอีกเบสหนึ่งให้ได้อย่างแม่นยำเพื่อเอาแต้มให้กับทีม แต่จุดนี้มอนตะสอบตกแบบไม่มีสิทธิ์สอบซ่อม เนื่องจากเขาทุ่มเทการฝึกคว้าบอลมาตลอดหลายปี ทำให้การขว้างบอลของเขาด้อยประสิทธิภาพ ต่อให้เขารับบอลเก่งแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ นั่นจึงทำให้เขาถูกตัดชื่ออกจากทีมเบสบอลเก่าของเขา และโดนตราหน้าว่า "คนที่ขว้างบอลไม่เป็นอย่างเขา ไม่มีวันกลายเป็นนักเบสบอลอาชีพได้"
จุดนี้คือจุดที่ มอนตะ ต้องยอมแพ้จริงๆ แล้ว เขาเริ่มร้องไห้เมื่อเล่าถึงคำพูดบาดใจนั้นให้กับ เซนะ ฟัง ... "เพราะรักจึงเจ็บปวด" คำๆ นี้ถูกบอกเล่าในสถานการณ์ของ มอนตะ กับ เบสบอล ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าเขาจะพยายามเท่าไหร่และรักเบสบอลแค่ไหน แต่มันก็ไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ มอนตะ จึงเจอกับความผิดหวังครั้งสำคัญ และถอยตัวเองออกจากการเป็นนักเบสบอลอย่างเต็มตัว
แต่การถอนตัวครั้งนี้ไม่ใช่จุดจบของเรื่อง เพราะเขาเชื่อว่าเขาจะเป็นเหมือนกับ ฮอนโจ ให้ได้ แม้จะไม่ใช่ในเรื่องของ เบสบอล แต่ก็จะต้องมีกีฬาอะไรบ่างอย่างที่สามารถตอบสนองความสามารถที่เขามีได้ ... และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้ มอนตะ ได้เจอกับ อเมริกันฟุตบอล ... กีฬาที่แทบไม่มีคนเล่นในญี่ปุ่น (ในชีวิตจริง) เลย
เปลี่ยนถุงมือ เปลี่ยนชีวิต
เบสบอล กับ อเมริกันฟุตบอล นั้น แม้จะดูแตกต่างกันในเรื่องของรูปแบบการเล่น แต่มันกลับมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันซ่อนอยู่นั่นคือ ทั้ง 2 กีฬาจำเป็นจะต้องใช้ผู้เล่นที่มีทักษะการอ่านทิศทางของลูกให้ดี กะเกณฑ์จังหวะเมื่อลูกลอยอยู่กลางอากาศให้ได้ และที่สำคัญคือการคว้าบอลที่เหนียวหนึบเพื่อสร้างเพลย์สำคัญให้กับทีม ... เพียงแต่ว่ามีจุดแตกต่างในความเหมือนซ่อนอยู่เช่นกัน
Photo : Raimon Tarou- Monta
ผู้เล่นเบสบอล เมื่อคว้าบอลได้ก็ต้องเขวี้ยงบอลต่อให้เพื่อนร่วมทีม แต่สำหรับตำแหน่ง ไวด์รีซีฟเวอร์ หรือ ปีกนอก นั้น แทบไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะการขว้างมาเกี่ยวข้องเลย หน้าที่ของ ไวด์รีซีฟเวอร์ คือการอ่านบอลที่ออกจากมือของ ควอเตอร์แบ็ค และคว้ามันให้ได้ หลังจากนั้นจะสไลด์ลงพื้น, ออกนอกสนาม, วิ่งหน้าตั้งเพื่อทำระยะให้ทีมได้เล่นเกมบุกต่อ หรือเข้าเอนด์โซนทำแต้มก็แล้วแต่สถานการณ์
เมื่อไม่ต้องขว้างบอลให้กับเพื่อน จึงทำให้ ไวด์รีซีฟเวอร์ คือตำแหน่งที่เหมือนกับสร้างขึ้นมาเพื่อคนอย่าง มอนตะ โดยเฉพาะ "คว้าให้ได้ ทุกอย่างจบ" นั่นคือคุณสมบัติที่เขามี และได้รับอิทธิพลมาจากการฝึกเบสบอล ยิ่งเมื่อมาเล่นอเมริกันฟุตบอลที่ลูกใหญ่กว่าแล้วเบสบอลแล้ว มันยิ่งง่ายกับ มอนตะ เข้าไปอีก ... เขาอาจจะไม่ได้ชอบอเมริกันฟุตบอลตั้งแต่แรกเริ่ม แต่บางครั้งชีวิตก็เป็นไปดั่งใจไม่ได้เสียทุกอย่าง เพราะสุดท้ายแล้วกีฬาคนชนคน ได้เลือกคัดสรรเขาด้วยทักษะที่เขามีเรียบร้อยแล้ว
การทำหน้าที่แค่วิ่งไล่ตามบอล อ่านทาง และคว้าลูก กลายเป็นจุดที่เปลี่ยนให้ มอนตะ กลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญของทีม เดมอน ไปโดยปริยาย และมันคือความสำเร็จก้าวแรกในการเป็นนักกีฬาของเขา แม้จะไม่ใช่นักเบสบอลอย่างที่ฝัน แต่การได้เป็นคนสำคัญของทีม ได้เล่นท่ามกลางเพื่อนๆ ร่วมทีมที่เป็นหนึ่งเดียวกัน สิ่งเหล่านี้ก็ทำให้ เบสบอล กลายเป็นสิ่งที่ มอนตะ เก็บซ่อนเอาไว้ในความทรงจำเท่านั้น เขาเจอทางเลือกใหม่ที่ตัวเองตามหา และที่สำคัญ มอนตะ ยังเป็นมอนตะ คนเดิมที่ทุ่มเทกับการฝึกซ้อมจนถูกเรียกว่า Mr. “CATCH MAX!” ที่มีที่มาจากการไล่จับลูกบอลที่ไร้ขอบเขตนั่นเอง
Photo : tupian.baike.com
บางครั้งคนเราก็ต้องยอมรับความจริงให้ได้เสียก่อน แม้การเป็นคนใจสู้จะถือเป็นคุณสมบัติที่ดีของการเป็นมนุษย์ แต่การสู้กับสิ่งที่ไม่มีวันชนะ เรี่ยวแรงที่ลงไปก็อาจจะไม่ได้อะไรตอบแทนกลับมาแบบเป็นชิ้นเป็นอันเลย
อย่างไรก็ตามไม่มีสิ่งใดในโลกที่มีแต่ข้อเสียไปเสียทั้งหมด มอนตะ เองอาจจะเป็นนักเบสบอลสุดห่วยจากความพยายาม แต่ทักษะที่เขาได้จากการฝึกเบสบอล เมื่อเอามาประยุกต์และปรับใช้ในกีฬาอเมริกันฟุตบอลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จาก Zero ก็กลายเป็น Hero ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ... การหลับหูหลับตาทำในสิ่งที่รักเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ควรจะเปิดตาเพื่อสังเกตุดูบ้างว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่เราได้มาจากความพยายามนี้ สามารถเอาไปทำอะไรได้อีก นั่นคือ Mindset ของ มอนตะ ที่ทำให้คนอ่านได้ฉุกคิดขึ้นมาเมื่อรู้เบื้องลึกและเบื้องหลังของเขา
อย่าลืมว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้เรา "ผิดหวัง"
มาถึงตรงนี้หลายท่านคงจะพอเข้าใจได้ว่า มอนตะ กลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญของทีมได้อย่างไร แต่สิ่งที่สำคัญของการ์ตูนญี่ปุ่นคือ ทุกๆ เรื่องมักจะมี "ลาสต์ บอส" หรือตัวละครที่เป็นคู่แข่งฝั่งพระเอกที่เก่งกาจจนชวนให้คิดว่าไม่มีใครเอาชนะได้ และ ลาสต์ บอส สำหรับหลายคนในเรื่อง อายชีลด์ 21 ก็คือตัวละครที่ชื่อว่า คอนโง อากอน อัจฉริยะที่สมบูรณ์แบบที่สุดในทุกๆ ด้าน ของทีม ชินริวจิ นาคา
อากอน นั้นมีทั้งพลัง, ความเร็ว, การส่งลูก และ รับลูก อยู่ในระดับเกรด A ทั้งหมด หากเปรียบเทียบกับนักอเมริกันฟุตบอลจริงๆ ก็น่าจะคล้าย มาร์ชอว์น ลินช์ ผู้เล่นของทีม ซีแอตเทิล ซีฮอว์กส์ ที่แข็งแกร่งในจังหวะวิ่งทะลวงแนวรับ จนได้รับฉายา "Beast Mode" (โหมดสัตว์ประหลาด) ถ้าเขาเปิดโหมดนี้เมื่อไหร่ ไม่มีใครอีกแล้วที่เอาอยู่ ความรู้สึกของ อากอน ก็ประมาณน้องๆ มาร์ชอว์น ลินช์ เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามทุกคนรู้ดีว่า ต่อให้เก่งที่สุด แต่ส่วนใหญ่แล้วถ้ามันคือการ์ตูน (เรื่องราวที่แต่งขึ้นมาใหม่) ตอนจบมักจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้กับทีมพระเอกอยู่เสมอ ขึ้นอยู่กับว่าผู้เขียนเรื่องนั้นๆ วางบทการเอาชนะให้กับทีมพระเอกได้ดีจนคนสามารถอินกับชัยชนะที่เหลือเชื่อแค่ไหนเท่านั้นเอง
เรื่อง อายชีลด์ ก็เช่นกัน ความโหดของ อากอน และผองเพื่อน (ซึ่งอันที่จริงอาจต้องเรียกว่า ลูกกระจ๊อก) แห่ง ชินริวจิ ทำให้ทีม เดมอน ของพระเอกตามหลังถึง 30 กว่าแต้ม แต่สุดท้ายก็ตามบทบาทของทีมพระเอก ด้วยการรวมใจกันเป็นหนึ่ง การใช้ท่าไม้ตายใหม่ การวางแผนของ ฮิรุม่า โยอิจิ กัปตันทีม ก็ส่งผลให้ เดมอน พลิกกลับมาเอาชนะได้สำเร็จ โดยมี มอนตะ เป็นหนึ่งในแผนการสำคัญของแต่ละเพลย์เสมอ
มอนตะ อาจจะสู้ อากอน ผู้เล่นเกรด A รอบด้านไม่ได้ แต่มีจุดหนึ่งที่เหนือกว่า คือการรับบอลที่ มอนตะ นั้นมีศักยภาพอยู่ในระดับเกรด S ดังนั้นหน้าที่ของเขาคือการเอาจุดเดียวที่เหนือกว่านั้นมาประยุกต์ให้เอาชนะปีศาจอย่าง อากอน ให้ได้ ดังนั้นจึงเป็นการใช้ท่าไม้ตายร่วมระหว่าง มอนตะ กับ ฮิรุม่า ที่มีชื่อว่า Devil Laser Bullet
Devil Laser Bullet คือหนึ่งในท่าไม้ตายประจำตัวของ ฮิรุม่า โดยเขาจะขว้างลูกด้วยพลังอันหนักหน่วงจนบอลหมุนเกลียว และเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเป็นเส้นตรงอย่างรวดเร็ว ตัดขาดความเกี่ยวข้องกับสภาพอากาศหรือแรงลมไปโดยสิ้นเชิง ความเร็วในระดับนั้นไม่มีทางที่จะจับได้หากมัวแต่ดูทิศทางของลูก แต่ต้องใช้สัญชาตญาณ และการคาดคะเนวิ่งไปรอยังจุดที่บอลจะตก โดยที่ไม่ต้องมองบอลเท่านั้นถึงจะทัน ซึ่ง มอนตะ ที่เป็น รีซีฟเวอร์ คู่ใจของ ฮิรุม่า จึงกลายคนที่ไปถึงบอลได้ไวกว่า อากอน และกลายเป็นโจ๊กเกอร์ไพ่เด็ดของทีม เดมอน จนนำมาซึ่งตำแหน่งแชมป์ คริสต์มาส โบวล์ หรือศึกชิงแชมป์อเมริกันฟุตบอล ม.ปลาย ญี่ปุ่นนั่นเอง
Photo : Reddit - 0neTwoTree
การรับบอลครั้งนั้นถือว่าเป็นหนึ่งในซีนที่พีกที่สุดของเรื่อง อายชีลด์ 21 เลยทีเดียว เพราะถึงแม้ อากอน จะตามบอลไม่ทันแต่เขาก็คว้าตัวของ มอนตะ เอาไว้ได้ ซึ่งช็อตนั้นหาก มอนตะ คว้าบอลเอาไว้ไม่ได้ ทีม เดมอน จะเป็นฝ่ายแพ้ทันที
"ฉันมีบางสิ่งที่ฉันเอาชนะ อากอน ได้ แม้ในสถานการณ์ที่ยากเย็นที่สุด สิ่งเดียวที่ฉันต้องทำให้ได้คือการคว้าบอลให้สำเร็จ ตามหาลูกให้เจอ ก้มหน้าก้มตาวิ่งเหมือนไอ้โง่คนหนึ่งเหมือนที่โดนเรียกสมัยเล่นเบสบอล อ่านจังหวะตกของลูกเอาไว้ก่อนเสมอ ... ฉันไม่อยากแพ้" มอนตะ ว่าไว้เช่นนั้น จากนั้นเขาก็คว้าลูกดัง "หมั้บ!" และเอามือแตะนอกเส้นข้างสนามเพื่อหยุดเวลาเอาไว้ก่อนที่ทีมจะแพ้ได้สำเร็จ และท้ายที่สุดถึงแม้ เดมอน จะใช้พลังฝ่ายพระเอกพลิกเป็นผู้ชนะได้ แต่เรื่องราวต่างๆ ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังในเกมนั้น ก็ยังทำให้เป็นชัยชนะที่เมกเซนส์ และทำให้คนอ่านอินกับมันได้โดยไม่ฝืนใจเลยแม้แต่น้อย
Photo : gramho.com
สิ่งที่ผู้อ่านจะได้เห็นผ่านตัวของ มอนตะ ตลอดทั้งเรื่อง คือการพูดถึงสมัยที่เขาเล่นเบสบอล และความฝันครั้งใหม่กับ อเมริกันฟุตบอล สิ่งนี้เองที่เป็นการยืนยันว่าความฝันและความจริงนั้นถึงแม้จะอยู่คนละจักรวาล แต่ทั้ง 2 อย่างกลับเป็นพลังที่เกื้อหนุนกันได้หากคุณเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นมากพอ
อดีตก็เช่นเดียวกันกับความฝัน แม้จะแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่ก็เปลี่ยนเป็นพลังให้ปัจจุบันได้ มีคำกล่าวถึงเรื่องของความ อดีต, ความทรงจำ และความฝันว่า สิ่งเหล่านี้จะเปลี่ยนเป็นเรื่องที่ดีได้หากคนเราเลือกจะมองโลกในแง่ดี มองปัญหาเป็นความท้าทายและพร้อมที่จะมีสติในการแก้ไขมันให้ถูกต้อง
เมื่อมนุษย์รู้สึกมองโลกในแง่ดี เราจะเริ่มมองถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต และเฝ้ารอให้มาถึงด้วยความรู้สึกด้านบวก มากกว่าจะจมอยู่กับความรู้สึกแย่ที่เจอมา ...
มอนตะ เองก็เป็นเช่นนั้น แม้เขาจะเศร้าที่ไม่อาจทำสิ่งที่รักได้ดี แต่เขาก็เจอแง่บวกที่ทำให้ชีวิตดำเนินต่อไปพร้อมกับความสุขได้ เผลอๆ อาจจะมากว่าความฝันก็ได้ใครจะไปรู้
บทความโดย ชยันธร ใจมูล
แหล่งอ้างอิง
โฆษณา