9 มิ.ย. 2020 เวลา 02:03
เคล็ดวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็น เคลื่อนย้ายจักรวาล
ในช่วงวิกฤตโควิด-19 นี้ mckinsey ที่ปรึกษาระดับโลกให้แนวทางในการรับมือกับโควิดที่หลายๆคนใช้เป็นหลักไว้ 5 ขั้นก็คือ resolve resilience return reimagine และ reform ซึ่งในช่วงพายุมาใหม่ๆ องค์กรก็ต้องหาทางแก้ปัญหาระยะสั้นก่อน อดอึดถึก รักษากระแสเงินสดให้ได้จนถึงช่วงนี้คือกลับมาใหม่ (return) และสองส่วนสุดท้ายก็คือต้องคิดใหม่ (reimagine) ทำใหม่ (reform) ให้เข้ากับโลกที่เปลี่ยนไป
2
สองส่วนสุดท้ายพูดง่ายแต่ทำยากมาก คือการที่จะคิดใหม่ทำใหม่ที่จะยกระดับธุรกิจไปอีกขั้น เพราะพอเริ่มกลับมาใกล้ปกติแล้ว เราก็จะเริ่มนิสัยเดิมที่เคยชิน ใช้ประสบการณ์เดิมที่คุ้นเคย การก้าวข้ามสิ่งที่รู้มาในอดีตแล้วจะทำใหม่หมดได้เลยนั้นยากมากๆ เพราะมีความเสียดายนั่น เสียดายโน่นจนกลายเป็นอะไรที่เคยฮึกเหิมว่าจะเปลี่ยนเยอะๆก็จะค่อยๆทำอย่างระมัดระวัง พอระวังมากๆตอนจบก็เลยแทบไม่ได้ reform อะไรที่ควรจะเป็น
แล้วคำถามที่เราควรจะถามว่าผู้บริหารควรจะถามตัวเองในเรื่องนี้คือคำถามอะไรดีจึงจะเริ่มคิดใหม่ทำใหม่ได้..
1
เมื่อปี 1985 ประธานและซีอีโอบริษัทอินเทล ซึ่งก็คือ แอนดรูว์ กรูฟและ กอร์ดอน มัวร์ นั่งปรับทุกข์กันว่าจะรับมือกับผู้ผลิตญี่ปุ่นที่กำลังถล่มราคาผลิตภัณฑ์เมโมรี่ชิพอย่างหนักแล้วทำให้อินเทลกำไรตกอย่างรวดเร็วได้อย่างไร ในขณะที่ผู้บริหารคนอื่นๆก็ยังคิดว่าอินเทลยังไม่เป็นไรนัก เพราะตลาด pc ก็ยังขยายตัวอยู่มาก แต่แอนดรูว์กับกอร์ดอน คิดตรงกันข้ามว่าคู่แข่งมาอย่างน่ากลัวเหลือเกินและแนวโน้มยิ่งดูแรงขึ้นไปได้อีกมาก แต่ทั้งคู่ก็ทั้งลังเลและเสียดายธุรกิจที่เคยทำกำไรได้มากเมื่อในอดีตและทั้งคู่ก็ทำมากับมือ แอนดรูว กรูฟ เลยถามคำถามกอร์ดอน มัวร์ ที่กลายเป็นคำถามที่เปลี่ยนอนาคตอินเทลไปหน้ามือเป็นหลังมือ
1
โดยแอนดรูว์ กรูฟถามว่า ถ้าลองจินตนาการกันดูว่าวันนี้เราทั้งคู่โดนบอร์ดปลด แล้วมีซีอีโอใหม่เข้ามา ดูจากข้อมูลและไม่มีอดีตอะไรให้ยึดติด เขาจะตัดสินใจอย่างไร…
กอร์ดอนมัวร์ตอบว่า เขาก็คงเลิกทำเมโมรี่ชิฟ..
กรูฟอึ้งไป ก่อนที่จะบอกมัวร์ว่า ทำไมเราไม่เดินออกไปแล้วเดินกลับมาใหม่แล้วทำแบบนั้นเองเลยล่ะ.. หลังจากนั้นอินเทลก็เลยเลิกทำเมโมรี่ชิฟแล้วไปทุ่มเทที่ไมโครโปรเซลเซอร์ที่เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่และเติบใหญ่จนถึงปัจจุบัน
………
ในช่วงสามปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะช่วงโควิด สำนักข่าว the standard เป็นสำนักข่าวที่โดดเด่นน่าจะเรียกได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า the standard ใช้เวลาสามปีเท่านั้นในการสร้างตัวจากศูนย์ แต่คิดใหม่ทำใหม่ได้อย่างเข้ากับยุคสมัย ทั้งๆที่ทีมงานส่วนใหญ่ก็มาจากโลกอดีตที่เคยทำหนังสือพิมพ์ นิตยสารกระดาษมาคล้ายๆกับคนอื่น ซึ่งผมวิเคราะห์ว่าที่ทีมงาน the standard ทำได้นั้น ก็เพราะมีความโชคดีครั้งยิ่งใหญ่ที่เกิดจากความโชคร้ายเมื่อสามปีก่อน
ในตอนนั้นทีมงานมีปัญหากับที่ทำงานเก่าที่เป็นข่าวใหญ่โต และต้องซมซานออกมาเริ่มต้นจากไม่มีอะไรเลย แต่ด้วยความที่ต้องเริ่มตอกเสาเข็มใหม่ตั้งแต่ต้นแรก โดยในช่วงนั้นซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิตอลของวงการสื่อพอดี ทำให้ทีมงานได้มีโอกาสคิดใหม่ (reimagine) จากกระดาษเปล่า และทำใหม่ (reform) ในแบบที่ไม่ต้องมีอดีตมาถ่วง สิ่งที่ the standard ทำจึงเป็นความสดใหม่ ตรงกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป และมีความเบา ยืดหยุ่นที่จะปรับจะลองให้ตรงใจกับผู้บริโภคได้ โดยที่สื่อสิ่งพิมพ์อื่นทำได้ยากหรือทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าทีมงานไม่ได้มีเหตุการณ์นั้น ยังรับผิดชอบการผลิตนิตยสารที่สร้างมากับมือและยังทำเงินอยู่ และกว่าจะเลิกสิ่งพิมพ์ได้ กว่าจะชวนคนในองค์กรเปลี่ยนไปก็คงสายเกินไปหรือไม่ทันท่วงทีเหมือนวันนี้แน่ๆ
สองเรื่องของ intel และ the standard นี้ทำให้ผมคิดถึงหนังสือกำลังภายในที่ผมอ่านตอนเด็กๆ เมื่อใดที่พระเอกจะฝึกวิชาขั้นสุดยอด มักจะต้องถูกสลายวิทยายุทธ์หรือลมปราณเดิมก่อนเสมอถึงจะใส่สุดยอดวิชาได้ การสลายลมปราณนั้นบ่อยครั้งคือไม่ได้ตั้งใจหรือถูกบังคับให้สลาย แต่พอเอาของเดิมออกไปได้แล้ว การคิดใหม่ทำใหม่ จินตนาการใหม่จึงจะเกิดขึ้นได้
แต่ถ้าเรายังอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ได้คับขันขนาดนั้น เราอาจจะเรียนรู้วิธีสลายกำลังภายในเดิมจาก intel ในการคิดว่าถ้ามีคนใหม่มาแทนเราแล้วเขาจะทำอะไรบ้างก็เป็นวิธีหนึ่งที่น่าใช้ หรือการที่เราเรียนรู้จากกรณี the standard แล้วจะลองแยกส่วนงานที่ไม่มีภาระไม่มีอดีตให้แบกแล้วตั้งมาคิดแข่งกับธุรกิจเดิมได้อย่างอิสระก็อาจจะเป็นทางหนึ่งที่จะสลายลมปราณแห่งการยึดติดกับอดีตแล้วมุ่งสู่สุดยอดวิชาใหม่ได้เช่นกัน
ทำให้ผมนึกถึงประโยคหนึ่งที่ยังติดหัวผมของพี่จิก ประภาส ชลศรานนท์ ซึ่งเริ่มเข้าใจชัดขึ้นในวันนี้ แต่ในตอนนั้นผมไม่ได้เข้าใจมากนัก พี่จิกเขียนไว้ในบทความที่ไหนซักที่ว่า
“รู้อะไร รู้ให้กระจ่าง แล้วลืมมันให้หมด”
เคล็ดวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็น เคลื่อนย้ายจักรวาลครับ….
1
โฆษณา