11 มิ.ย. 2020 เวลา 13:37 • ประวัติศาสตร์
สงครามโลกครั้งที่สองกับความปราชัยของจักรวรรดิญี่ปุ่น ผ่านมุมมอง คึกฤทธิ์ ปราโมช (ตอนที่ 1)
ก่อนที่เราจะกล่าวถึงเหตุการณ์ช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งทำให้ประเทศญี่ปุ่นต้องถูกตีตราอยู่ในสถานะ “ผู้แพ้สงคราม” เมื่อเหตุการณ์ดังกล่าวสิ้นสุดลงในปี พ.ศ.2488 นั้น ในบทความนี้จะนำพาผู้อ่านย้อนเวลาไปสู่จุดเปลี่ยนสำคัญที่อาจเป็นสาเหตุแห่งความปราชัยและโศกนาฏกรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นในช่วงเวลากว่า 6 ปีเต็มอันสั่นสะเทือนมนุษยชาติและจะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์โลกใบนี้ตลอดไปอย่างยากที่จะลืมเลือน โดยอธิบายผ่านทัศนคติและมุมมองความคิดเห็นของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่ถูกบันทึกผ่านตัวอักษรไว้ในช่วงปี พ.ศ.2502
ภาพธงชาติญี่ปุ่นยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เผยแพร่โดย Zoe Cramond
พ.ศ. 2475
ประเทศญี่ปุ่นกับประเทศไทยเรามีโชคชะตาที่ใกล้เคียงกันอย่างน่าประหลาด เหตุเพราะในอดีตญี่ปุ่นกับไทยนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองอย่างมีนัยสำคัญในระยะเวลาใกล้เคียงกันเสมอ ยกตัวอย่างเช่นเหตุการณ์ปี พ.ศ.2475 ในเมืองไทยมีคณะทหารและพลเรือนคณะหนึ่งเข้ามาทำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบ “ประชาธิปไตย” ซึ่ง ณ ขณะปีเดียวกันนั้นเองคณะทหารญี่ปุ่นก็ได้เข้ายึดอำนาจการปกครอง ทำให้รัฐสภาและพรรคการเมืองญี่ปุ่นหมดสิ้นความหมาย
การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของทั้งสองประเทศนี้ทำให้ทหารเข้ามามีอำนาจในการปกครองแผ่นดินอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ถึงแม้ว่าพลเรือนจะมีส่วนเกี่ยวข้องบ้างก็เป็นไปในฐานะเพียงผู้รับใช้ทหารซึ่งกุมอำนาจการปกครองและการตัดสินความเป็นไปแทนประชาชน
ย้อนเวลาถอยหลังไปก่อนหน้านี้อีกราว 15 ปี (พ.ศ.2460) ชาวญี่ปุ่นที่เป็นคนรุ่นใหม่ซึ่งอาศัยอยู่ตามหัวเมืองใหญ่มีแนวคิดและการแสดงออกเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมในลักษณะเสรีนิยมตามแบบฉบับตะวันตก และแน่นอนว่าแนวคิดดังกล่าวนี้สร้างความไม่พอใจต่อคณะนายทหาร เศรษฐีที่ดินในชนบท ข้าราชการชั้นผู้น้อย ไปจนถึงเหล่าชนชั้นกลางตามเมืองเล็กๆ เหตุเพราะพวกเขาเหล่านั้นยังคงยึดมั่นในระบอบการปกครองแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเฉกเช่นต้นรัชกาลพระเจ้าเม็จจิ (Meiji period, 2410 - 2455) อันเป็นผลมาจากการปลูกฝังความคิดความเชื่อผ่านระบบการศึกษาที่อบรมผู้คนให้คิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน คือให้มีความรักชาติอย่างแรงกล้า ให้เชื่อถือว่า“พระเจ้าจักรพรรดิคือเทวราช” ให้มีความจงรักภักดีต่อพระเจ้าจักรพรรดิ และพร้อมที่จะเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่ชีวิตของตนเองเพื่อองค์จักรพรรดิและประเทศชาติ เมื่อกลุ่มคนเหล่านี้ได้รับการบ่มเพาะแนวคิดจนมีจิตใจที่แน่วแน่ในหลักการข้างต้น จึงไม่แปลกที่เขาจะไม่สามารถเปิดรับทัศนคติใหม่ๆ หรืออิทธิพลอื่นใดจากต่างประเทศได้
พระเจ้าจักรพรรดิเม็จจิ, พ.ศ.2395 - 2455 cr. Eduardo Chiossone
ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ชาวญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยจึงนิยมและเลื่อมใสในระบอบการปกครองที่เด็ดขาดอันมีผู้ปกครองตัดสินใจในปัญหาต่างๆแทนผู้คนทั้งเมือง อีกทั้งยังได้รับการปลูกฝังว่าความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิญี่ปุ่นนั้นจะเกิดขึ้นได้ด้วยวิธีการเดียวเท่านั้นคือ “การใช้กำลังทหาร” ขยายพระราชอาณาเขตของพระเจ้าจักรพรรดิออกไปในต่างประเทศให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ พวกเขาจึงไม่นิยมแนวคิดใหม่ๆของปัญญาชน และพวกพ่อค้า นักธุรกิจ ตามเมืองหลวงและหัวเมืองใหญ่ที่เชื่อว่าการขยายอิทธิพลญี่ปุ่นออกไปในประเทศต่างๆในเอเชียนั้นต้องกระทำผ่านการขยายตลาดการค้า และเผยแผ่อิทธิพลทางการเงินและธุรกิจ
เมื่อกลุ่มอนุรักษ์นิยมเหล่านี้ซึ่งมีจำนวนมากเกิดความไม่พอใจในทัศนคติเสรีนิยมแบบใหม่ของคนในเมืองหลวงและพวกนักการเมืองในยุคนั้น จึงพยายามหาหนทางที่จะทำให้ทัศนคติอนุรักษ์นิยมของพวกตนปรากฏผลอย่างจริงจังขึ้นในสังคม และด้วยพวกเขาไม่ได้มีความเลื่อมใสระบอบรัฐสภาและผู้แทนราษฎรอยู่แล้ว กลุ่มคนเหล่านี้ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปได้แปรเปลี่ยนเป็นนักชาตินิยมหัวรุนแรงได้หาทางแสดงตัวตนผ่านกลุ่มการเมืองนอกกฎหมาย และสมาคมลับต่างๆที่มีวัตถุประสงค์ทางการเมืองที่รุนแรง สมาคมลับเหล่านี้ขับเคลื่อนองค์กรและแนวคิดของตนด้วยวิธีการอันดุเดือด เช่น การทารุณกรรม ทำร้ายร่างกาย ไปจนถึงฆาตกรรมผู้คิดเห็นต่างทางการเมือง และยังมีการใช้โฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) เพื่อใส่ร้ายโจมตีฝ่ายตรงข้ามอย่างไร้ขอบเขต
Tōyama Mitsuru (คนซ้ายสุด) หัวหน้าและผู้ก่อตั้งสมาคมลับมังกรดำ (Black Dragon Society) ที่ปฏิบัติการอยู่ทั้งในประเทศญี่ปุ่น จีน เกาหลี และแมนจูเรีย ในภาพนี้ประกอบด้วย Tsuyoshi Inukai (คนกลาง) อนาคตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นในเวลาต่อมา และ Chiang Kai-shek ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ภาพถ่ายในปี พ.ศ. 2472
Onisaburo Deguchi, Tōyama Mitsuru และ Uchida Ryohei หัวหน้าและสมาชิกระดับสูงสมาคมลับมังกรดำ (Black Dragon Society)
อีกด้านหนึ่ง สมาคมลับเหล่านี้ได้รับความนิยมชมชอบจากคณะทหารในกองทัพญี่ปุ่นมากอย่างไม่ต้องสงสัย เป็นเพราะกองทัพญี่ปุ่นในช่วงปี พ.ศ.2460 ไม่ได้มีแนวคิดเสรีนิยมเฉกเช่นปัญญาชนและนักธุรกิจในเมืองใหญ่ และอีกเหตุผลที่สำคัญคือ กองทัพเป็นกำลังสำคัญในการขยายอาณาเขตของญี่ปุ่นออกไปในต่างแดนด้วยกำลังทหาร ซึ่งเหล่าทหารเห็นว่านี่คือวิธีที่ถูกต้องและมีเกียรติ นายทหารญี่ปุ่นชั้นนายพลและนายทหารชั้นผู้ใหญ่อาจมีทรรศนะที่กว้างไกลอยู่บ้าง เพราะได้คบหาสมาคมกับผู้คนที่หลากหลาย จึงมีความรู้ความเข้าใจในสถานการณ์บ้านเมือง และความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลาย แต่เหล่าทหารชั้นผู้น้อยในกองทัพนั้นเป็นคนหนุ่มอารมณ์ร้อนแรง มักใหญ่ใฝ่สูง
วิถีชีวิตชาวชนบทญี่ปุ่นในยุครัชสมัยเมจิ ช่วงปี พ.ศ. 2423
นายทหารญี่ปุ่นชั้นผู้น้อยในยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่งนั้นไม่ใช่พวกนักรบซามูไรอย่างในอดีตอีกแล้ว แต่ส่วนมากเป็นลูกหลานของข้าราชการชั้นผู้น้อย ลูกเจ้าของที่ดินในชนบท ไปจนถึงลูกของชาวไร่ชาวนา ซึ่งเป็นชนชั้นที่ยึดถือประเพณีแบบเก่าอย่างหนักแน่น จึงมีแนวคิดอนุรักษ์นิยมอย่างมากเป็นธรรมดา ระบบการศึกษาในโรงเรียนนายร้อยทหารบก หรือโรงเรียนนายเรือ นั้นอบรมวิชาทหารให้แก่บรรดาลูกหลานอย่างคับแคบที่ขาดความรู้ความเข้าใจต่อเจตนารมณ์ของประชาธิปไตย และทำให้นึกไปว่า “ผู้ที่สำเร็จวิชาทหารนั้นสามารถทำกิจการงานได้ทุกสิ่งทุกอย่าง” แม้แต่งานที่เป็นหน้าที่ของพลเรือน นายทหารเหล่านี้เข้าไม่ถึงจิตใจของพลเรือนเลยสักนิด จึงไม่แปลกที่นายทหารชั้นผู้น้อยที่กล่าวมาจะลุกขึ้นเป็นปรปักษ์ต่อแนวคิดเสรีนิยมที่กำลังเติบโตในประเทศญี่ปุ่น
นายทหารญี่ปุ่นในยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง cr. ddoughty.com
นายทหารชั้นผู้น้อยเหล่านี้ยังหล่อเลี้ยงจิตใจตัวเองด้วยทัศนคติแบบเก่าโดยสมบูรณ์ซึ่งเต็มไปด้วย “ความภักดีแบบญี่ปุ่น” ความจงรักภักดีต่อผู้เป็นนายของตนอย่างที่ชาวญี่ปุ่นโบราณยึดถือ ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดเป็นพิเศษระหว่างชาวไร่ชาวนากับกองทัพจึงถือกำเนิดขึ้น จะว่าไปตามสภาพการณ์เช่นนี้แล้วก็มีความคล้ายคลึงกับประเทศไทย เพราะสมัยก่อนชาวนาในเมืองไทยเคยต้องถูกเกณฑ์มาเป็นทหารบกเป็นจำนวนมาก ก็ย่อมต้องมีความเลื่อมใสต่อทหาร ด้วยเพราะถูกอบรมปลูกฝังว่าต้องเคารพและเชื่อฟังนายทหารผู้บังคับบัญชา คณะรัฐมนตรีในเมืองไทยก็มีนายกรัฐมนตรีเป็นถึงพลเอกทหารบก และยังมีรัฐมนตรีอีกหลายท่านเป็นถึงนายทหารชั้นนายพล ไม่แปลกที่รัฐบาลนั้นย่อมได้รับความเคารพและเชื่อถือจากชาวไร่ชาวนาในเมืองไทยเป็นส่วนใหญ่
ในประเทศญี่ปุ่นยุคหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง กองทัพบกกับชาวนาญี่ปุ่นก็มีความสัมพันธ์พิเศษดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น กองทัพบกในฐานะองค์กรแห่งรัฐ และบรรดานายทหารผู้บังคับบัญชาย่อมดูแลทหารทั้งปวงให้มีความสุขสบายตามสมควร แบบพ่อปกครองลูก และย่อมอบรมทหารทั้งปวงให้มีความจงรักภักดีต่อชาติและพระเจ้าจักรพรรดิ ซึ่งแนวคิดที่ยึดถือว่ากองทัพบกนั้นคือ “พระบรมเดชานุภาพของพระเจ้าจักรพรรดิ”
สำหรับชาวชนบทญี่ปุ่นนั้นฐานะก็มีแต่ความยากจน ถูกเหยียบย่ำว่าเป็นชนชั้นต่ำ เพราะพัฒนาการทางเศรษฐกิจในญี่ปุ่นยุคนั้นยังไม่แผ่กว้างไปถึงเมืองเล็กๆตามชนบท เมื่อกลุ่มคนเหล่านี้เข้ามาเป็นทหารก็จะรู้สึกว่าชีวิตในกองทัพบกดีกว่าอยู่ที่บ้านอย่างมาก เพราะกลายเป็นคนที่มีความสำคัญขึ้นมาบ้าง ถ้าจะให้พูดแบบไทยๆก็คงจะพูดได้ว่า “พอจะเบ่งได้บ้าง” เพราะได้เข้ามาเป็นทหารของพระเจ้าจักรพรรดิ อันเป็นเครื่องหมายเพียงสิ่งเดียวที่แสดงออกถึงพระบรมเดชานุภาพ และพระราชอำนาจทั้งปวง เหล่านายทหารสำคัญตนว่าพวกเขามีส่วนสำคัญต่อการที่จะทำให้ชาติญี่ปุ่นนั้นเป็นมหาอำนาจต่อไปบนโลกใบนี้
ทหารญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง cr.thewarjounralscrapbook
ความสัมพันธ์พิเศษอันมีสาเหตุจากเบื้องหลังของชีวิตนายทหารชั้นผู้น้อยที่มีพื้นฐานชีวิตมาจากสังคมชนบทตามเมืองเล็กๆ ซึ่งไม่เห็นด้วยกับระบบคุณค่าของนายทุน นักธุรกิจ และปัญญาชนทั้งในทางศีลธรรมและเศรษฐกิจ รวมถึงความหวาดระแวงในหลักเสรีภาพที่เหล่าปัญญาชนส่งเสริม จนสุดท้ายนายทหารหนุ่มเหล่านี้ได้ตั้งตนเป็นผู้รักษาผลประโยชน์ของชาวไร่ชาวนา มิให้ใครมาเอาเปรียบได้ เมื่อชาวไร่ชาวนารู้ว่าพวกนายทหารเห็นใจพวกตน จึงให้การสนับสนุน เคารพบูชาแก่เหล่านายทหารและกองทัพอย่างไม่ลืมหูลืมตา
cr. Peter Chen
แล้วพบกันอีกครั้งในบทความตอนที่ 2 ครับ
บางส่วนจากหนังสือ
ฉากญี่ปุ่น (พิมพ์ครั้งที่6) โดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช, สำนักพิมพ์ดอกหญ้า : พ.ศ.2561
โฆษณา