29 มิ.ย. 2020 เวลา 16:09 • ประวัติศาสตร์
สงครามโลกครั้งที่สองกับความปราชัยของจักรวรรดิญี่ปุ่น ผ่านมุมมอง คึกฤทธิ์ ปราโมช (ตอนที่ 2)
ด้วยสาเหตุต่างๆที่ได้เกริ่นมาแล้วในบทความตอนที่ 1 การที่คณะทหารเข้ามายึดอำนาจการปกครองแผ่นดินญี่ปุ่นในช่วงปี พ.ศ.2475 จึงไม่ใช่การถอยกลับไปสู่ระบอบซามูไรเหมือนสมัยก่อน นายทหารยุค 2475 มิใช่ซามูไรอีกต่อไปแล้ว และแทบไม่มีความสัมพันธ์ใดๆกับซามูไรเลย บรรพบุรุษของทหารเหล่านี้เป็นเพียงคนมีอันจะกินในชนบทเท่านั้น ไม่เคยเป็นซามูไรหรือขุนนางในยุคสมัยโบราณ กลับกันกลายเป็นว่าลูกหลานซามูไรในยุคนี้ได้กลายเป็นนักธุรกิจ นายทุน นักคิด นักเขียน ที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง และพยายามชักจูงให้ญี่ปุ่นเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย สนับสนุนเสรีภาพทางความคิดเห็นที่แตกต่าง แน่นอนว่าเหล่านายทหารหนุ่มๆเป็นปรปักษ์กับกลุ่มคนที่ว่ามา การที่ทหารก้าวเข้ามากุมอำนาจนั้นประเด็นหลักก็เพื่อต้องการดำเนินนโยบายที่รุนแรงอันส่งเสริมประโยชน์ต่อฝ่ายชาวไร่ชาวนาที่ถูกกีดกันมานาน
ภาพธงชาติญี่ปุ่นจาก Zoe Cramond
บ้านเมืองญี่ปุ่นในยุคสมัยนี้ถูกปกครองแบบชาตินิยมผสมเผด็จการ ด้วยพื้นฐานทางสังคมในอดีตที่ซามูไรหรือนักรบเรืองอำนาจมาหลายศตวรรษ เป็นเหตุให้ชาวญี่ปุ่นไม่รู้สึกขัดขืนใจต่อการที่ทหารสมัยใหม่จะกลับมาปกครองแผ่นดินอีกครั้ง ในส่วนนี้ก็ค่อนข้างสอดคล้องกับประเทศไทยที่ถูกปกครองแบบทหาร ทหารมีอำนาจวาสนามาหลายศตวรรษ จะมีผู้ที่ขัดข้องหมองใจและขัดขืนอยู่บ้างก็กลุ่มคนที่ไปร่ำเรียนเมืองนอก และรับเอาหลักการปกครองโดยพลเรือนของต่างประเทศและยึดถือแนวคิดเช่นนี้ไว้อย่างหนักแน่น นอกเหนือจากคนกลุ่มนี้ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ก็ทำตัวไม่ถูกถ้าจะต้องปกครองตนเองตามระบอบประชาธิปไตย ไม่รู้จะปฏิบัติตัวอย่างไร พอมีคณะทหารเข้ามาปกครองก็รู้สึกโล่งใจ ยอมให้ปกครองโดยง่าย อีกทั้งยังมีอิทธิพลจากยุโรปที่ทำให้ญี่ปุ่นหันเหเข้าหาระบอบเผด็จการ เพราะระบอบฟาสซิสต์ (Fascism) ในอิตาลีที่นำโดย เบนิโต มุสโสลินี (Benito Mussolini, 2426-2488) ก็นำพาให้ชนชาติอิตาลีเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler, 2432-2488) กำลังริเริ่มระบอบเผด็จการในเยอรมัน ซึ่งทำให้ประเทศชาติฟื้นตัวจากสงครามและก้าวหน้าอย่างรวดเร็วเช่นกัน
(ซ้าย) เบนิโต มุสโสลินี (Benito Mussolini, 2426-2488) ผู้นำอิตาลี และ (ขวา) อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler, 2432-2488) ผู้นำเยอรมันนี ในช่วงสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง
ณ ขณะเวลาเดียวกันนั้นเอง คณะนายทหารหนุ่มในญี่ปุ่นก็กำลังเฝ้ามองดูเหตุการณ์ความเคลื่อนไหวทางการเมืองการปกครองของฝั่งยุโรปด้วยความสนใจ มีความเห็นว่าการที่จะทำให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรืองได้นั้นมีเพียงหนทางเดียวคือ “การปกครองแบบเผด็จการ” อันจะทำให้จักรวรรดิญี่ปุ่นมีอิทธิพลและอำนาจเหนือกว่าชนชาติอื่นในโลก และมองว่าระบอบประชาธิปไตยที่มัวแต่หมกมุ่นอยู่กับสิทธิเสรีภาพซึ่งเป็นต้นตอแห่งความขัดแย้งทางความคิดที่แตกต่างทั้งปวงนั้นทำให้ประเทศชาติจะมีแต่ถอยหลังเข้าคลอง และที่สำคัญคือระบอบประชาธิปไตยนั้นมัวแต่สร้างสัมพันธไมตรีกับประเทศอื่น เอาอกเอาใจชาติอื่น อาจเป็นเหตุให้คนชาติอื่นดูหมิ่นเกียรติยศของชาวญี่ปุ่นว่าอ่อนแอไร้อำนาจ
ภาวะวิกฤติเศรษฐกิจโลกในปี พ.ศ.2470 กระทบต่อประเทศญี่ปุ่นอย่างรุนแรง ธนาคารล้มละลาย การค้าระหว่างประเทศตกต่ำ ซึ่งการส่งออกสินค้าเป็นรายได้หลักของประเทศ เหตุเพราะต่างชาติพากันขึ้นภาษีขาเข้าที่เก็บจากสินค้าญี่ปุ่น ราคาสินค้าที่นำเข้าจากญี่ปุ่นจึงมีราคาแพงและสูญเสียฐานการตลาดไปในที่สุด ผนวกกับพลเมืองญี่ปุ่นที่ในเวลานั้นมีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นถึงปีละไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน รวมแล้วมีจำนวนกว่า 60 ล้านคน เมื่อขายสินค้าไม่ได้ บวกกับประชากรล้นประเทศทำให้ไม่มีช่องทางในการทำมาหากิน ด้วยเหตุนี้คณะนายทหารญี่ปุ่นจึงมีความคิดว่าการผูกสัมพันธ์กับต่างชาติไม่สามารถทำให้ญี่ปุ่นรอดพ้นจากสภาวะวิกฤติเช่นนี้ได้เลย สิ่งที่นายทหารเหล่านั้นเชื่อว่าจะทำให้ญี่ปุ่นรอดพ้นจากหายนะทางเศรษฐกิจได้คือ “นโยบายการใช้กำลังทหาร” เผยแผ่ขยายอาณาเขตของญี่ปุ่นออกไปเพื่อหาแหล่งวัตถุดิบและช่องทางการตลาดเพิ่มให้แก่อุตสาหกรรมของชาวญี่ปุ่น รองรับจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้นทุกที
1
กองกำลังทหารญี่ปุ่นในเมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน เมื่อปี พ.ศ.2470 ภาพจาก Stanford project encourages World War II reconciliation.
ถึงแม้ว่านักธุรกิจและปัญญาชนชาวญี่ปุ่นจะไม่เห็นด้วยกับการรุนรานประเทศอื่น ก็ไม่สามารถต้านทานนโยบายดังกล่าวได้ เพราะพลเมืองส่วนใหญ่ที่ประสบปัญหาความยากลำบากในการดำรงชีวิตนั้นสนับสนุนนโยบายของคณะทหารมากขึ้นทุกที สมาคมลับต่างๆที่ส่งเสริมลัทธิชาตินิยมรุนแรงก็โหมกระหน่ำทำการโฆษณาชวนเชื่อให้ประชาชนเกิดความรู้สึกที่รุนแรงและสนับสนุนคณะทหาร นอกจากนั้นยังพยายามทำลายรากฐานทางประชาธิปไตยซึ่งก็ไม่ได้มีความมั่นคงอยู่แล้ว เช่นการฆาตกรรมทางการเมือง การฆาตกรรมพวกเสรีนิยม พวกที่คิดต่างจากคณะทหาร จนเกิดภาวะความหวาดกลัวภัยอันตรายจนไม่มีใครกล้าที่จะลุกขึ้นมาขัดขวางหรือนำเสนอแนวคิดที่แตกต่าง
Tōyama Mitsuru (คนซ้ายสุด) หัวหน้าและผู้ก่อตั้งสมาคมลับมังกรดำ (Black Dragon Society) ที่ปฏิบัติการอยู่ทั้งในประเทศญี่ปุ่น จีน เกาหลี และแมนจูเรีย ในภาพนี้ประกอบด้วย Tsuyoshi Inukai (คนกลาง) อนาคตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นในเวลาต่อมา และ Chiang Kai-shek ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ภาพถ่ายในปี พ.ศ. 2472
การที่คณะทหารเข้ามาควบคุมการปกครองและใช้อำนาจเผด็จการในญี่ปุ่นได้ง่ายๆก็เพราะรากฐานทางระบอบประชาธิปไตยและระบอบรัฐสภาไม่ได้ถูกฝังไว้ลึก คณะผู้เปลี่ยนแปลงการปกครองในสมัยพระเจ้าเม็จจิได้ตั้งระบอบรัฐสภาขึ้นเพียงเพื่อตบตาต่างชาติ แต่ความจริงแล้วระบอบที่ฝังรากลึกอยู่ในวัฒนธรรมญี่ปุ่นคือ “ลัทธิเทวราช” ที่พระเจ้าจักรพรรดิทรงอยู่เหนือรัฐธรรมนูญและกฎหมายทั้งปวงเสมอมา พระราชประสงค์ของจักรพรรดินั้นสำคัญต่อชาวญี่ปุ่นยิ่งกว่ากฎหมาย เป็นอำนาจที่ไร้ขอบเขต ผู้ใดที่คิดเห็นว่าพระเจ้าจักรพรรดิไม่ใช่เทวราช ถึงแม้ผู้นั้นจะมีความจงรักภักดี ก็จะถูกโจมตีจากคณะทหารและพวกชาตินิยมอย่างรุนแรง
รัฐธรรมนูญญี่ปุ่นที่พระเจ้าจักรพรรดิเม็จจิพระราชทานไว้นั้นมีวัตถุประสงค์ที่มุ่งแต่จะรักษาอำนาจของพระองค์เอง และเพื่อ “ตบตาฝรั่ง” ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว รัฐธรรมนูญฉบับนี้จึงมีช่องโหว่มากมายที่เป็นหนทางให้ระบอบเผด็จการถือกำเนิดขึ้นอย่างง่ายดาย เช่น ตามรัฐธรรมนูญนั้นฝ่ายทหารเป็นอิสระจากรัฐบาล รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมจะต้องเป็นนายทหารประจำการ และขึ้นตรงต่อกองทัพของตน ผู้ที่จะได้รับตำแหน่งนี้จะต้องได้รับความเห็นชอบจากกองทัพบกและกองทัพเรือ เมื่อรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้เช่นนี้กองทัพก็อยู่ในสถานะที่จะล้มรัฐบาลใดก็ได้ผ่านการควบคุมรัฐมนตรี งบประมาณของกลาโหมเป็นสิ่งที่จะมีผู้ใดมาควบคุมแตะต้องมิได้ ขอไปเท่าไรต้องให้เท่านั้น รัฐสภาไม่สามารถตรวจสอบได้เพราะถือเป็นความลับในราชการทหาร และเมื่อทหารเป็นอิสระจากรัฐบาลเช่นนี้ พวกทหารก็เริ่มกระทำการต่างๆโดยที่รัฐบาลไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
พระเจ้าจักรพรรดิเม็จจิ, พ.ศ.2395 - 2455 cr. Eduardo Chiossone
ในเดือนกันยายน ปี พ.ศ.2474 คณะทหารเริ่มทำสงครามในต่างประเทศเพื่อขยายอาณาเขตโดยที่รัฐบาลญี่ปุ่นมิได้รู้เห็นด้วย กองทัพบกญี่ปุ่นในแมนจูเรีย (Manchuria) ซึ่งปฏิบัติหน้าที่อารักขาเส้นทางรถไฟสายใต้อันเป็นสมบัติของญี่ปุ่นในแมนจูเรีย ได้เคลื่อนกำลังพลเข้ารุกรานแมนจูเรียทั้งประเทศ โดยอ้างว่ากองทัพจีนพยายามวางระเบิดทางรถไฟ โดยที่ประเด็นนี้ก็ยังไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดใดๆ จากนั้นเพียง 2-3 เดือน กองทัพเรือญี่ปุ่นก็ไม่ยอมน้อยหน้าได้ยกพลขึ้นบกที่เมืองเซี่ยงไฮ้ และได้เข้ายึดเมืองเซี่ยงไฮ้ส่วนที่เป็นของจีนไว้ทั้งหมด โดยการกระทำของทั้งกองทัพบกและกองทัพเรือนี้กระทำโดยพลการ รัฐบาลญี่ปุ่นไม่มีส่วนรู้เห็นหรือตัดสินใจใดๆ
กองทัพญี่ปุ่นใน "แมนจูเรีย" ในปี พ.ศ.2474 cr. courtesy Wikimedia Commons
ต้นปี พ.ศ.2475 ญี่ปุ่นจัดตั้งรัฐบาลหุ่นขึ้นในแมนจูเรีย เรียกว่า “แมนจูโกะ” (Manchukuo) จากนั้นนำฮ่องเต้เก่าของจีนมาตั้งเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ สหรัฐอเมริกาและองค์การสันนิบาตแห่งสหประชาชาติ (League of Nations) ได้ออกมาตำหนิการกระทำของญี่ปุ่น และประกาศไม่รับรองรัฐแมนจูโกะ แต่ก็ทำได้เพียงเท่านี้ ญี่ปุ่นยิ่งได้ใจเห็นว่าพวกฝรั่งนั้นดีแต่เห่า กัดไม่เป็น เมื่อญี่ปุ่นถูกตำหนิก็ตอบโต้ด้วยการลาออกจากองค์การสันนิบาตแห่งสหประชาชาติ การครอบครองแมนจูเรียเป็นก้าวแรกที่คณะทหารญี่ปุ่นหวังไว้ว่าจะนำพาชาติไปสู่ความเป็นมหาอำนาจ
แผนที่แสดงความพยายามในการขยายอาณาเขตด้วยกำลังทหารของกองทัพญี่ปุ่น ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง cr. Joe Lewis
ในต้นปี พ.ศ.2475 คณะทหารก็ทำให้ระบอบรัฐสภาญี่ปุ่นที่มีพรรคการเมืองต้องล่มสลายไปอย่างกะทันหัน เหตุด้วยกระบวนการฆาตกรรมทางการเมือง เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ.2475 สี่สิบวันก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศไทย คณะนายทหารบกและทหารเรือกลุ่มหนึ่งได้ก่อเหตุฆาตกรรมนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น นายสึโยชิ อินุไก (Tsuyoshi Inukai, 2398-2475) โดยอ้างว่าเพื่อปลดเปลื้ององค์พระเจ้าจักรพรรดิให้พ้นจากนักการเมืองชั่ว จากนั้นกองทัพบกญี่ปุ่นได้ถือเอาข้ออ้างดังกล่าวเรียกร้องให้ยกเลิกการตั้งรัฐบาลตามระบบพรรคการเมืองเสียทันที เพราะว่าความวุ่นวายต่างๆในทางการเมืองนั้นมาจากพรรคการเมืองทั้งสิ้น ซึ่งข้าราชการพลเรือนฝ่ายอื่นก็เห็นด้วยในเหตุผลนี้ ถึงจะไม่ได้เห็นชอบกับการกระทำอันรุนแรงของคณะทหาร ในที่สุดนายพลเรือเอกไวส์เคานต์ ไซโต (Saito Makoto, 2401-2479) ก็ได้รับมอบหมายให้เป็นนายกรัฐมนตรี โดยจัดตั้งคณะรัฐบาลที่ไม่ยึดโยงการพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งขึ้นเรียกว่า “รัฐบาลแห่งชาติ”
สึโยชิ อินุไก (Tsuyoshi Inukai, 2398-2475) นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นผู้ถูกฆาตกรรมทางการเมือง cr. wikipedia
นายพลเรือเอกไวส์เคานต์ ไซโต มาโกะโตะ (Saito Makoto, 2401-2479) cr.wikiwand
แล้วพบกันอีกครั้งในบทความตอนที่ 3 ครับ
บางส่วนจากหนังสือ
ฉากญี่ปุ่น (พิมพ์ครั้งที่6) โดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช, สำนักพิมพ์ดอกหญ้า : พ.ศ.2561
หากท่านใดยังไม่ได้ติดตามอ่านบทความในตอนที่ 1 สามารถคลิกได้ที่ Link ด้านล่างนี้ครับ
โฆษณา