Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
読 : yomu
•
ติดตาม
12 ก.ค. 2020 เวลา 16:41 • ประวัติศาสตร์
สงครามโลกครั้งที่สองกับความปราชัยของจักรวรรดิญี่ปุ่น ผ่านมุมมอง คึกฤทธิ์ ปราโมช (ep.3)
พ.ศ.2475
“รัฐบาลแห่งชาติญี่ปุ่น” อันได้ชื่อว่าเป็นรัฐบาลผสมที่ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2475 จนมาถึงยุคสงครามโลกครั้งที่สอง มองโดยผิวเผินอาจคิดไปได้ว่าพลเรือนนั้นกลับมามีอำนาจปกครองแล้ว เพราะได้เข้ามาเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลจำนวนมาก แต่ความจริงแล้วก็ไม่ได้มีอำนาจในการกำหนดนโยบายในการบริหารประเทศ เป็นได้เพียงผู้มีความสามารถที่ได้ตำแหน่งมาด้วยความอนุเคราะห์ของคณะทหาร รัฐมนตรีพลเรือนนั้นไม่มีใครกล้าแสดงความคิดเห็นใดๆ จะมีเพียงแค่รัฐมนตรีซึ่งเป็นทหารเท่านั้นที่เป็นผู้กำหนดนโยบายและสั่งการ แน่นอนว่าเป็นไปในทางเผด็จการ และชาตินิยมรุนแรงมากขึ้นทุกที เช่น มีการสั่งให้รัฐบาลไม่มีอำนาจรับรู้การดำเนินงานบริหารของรัฐสภา จากนั้นคณะทหารก็ดำเนินการลิดรอนอำนาจของรัฐสภาจนไม่มีอะไรเหลือ รัฐสภากลายเป็นเพียงสมาคมโต้วาทีที่ไร้ความหมาย และเกรงกลัวต่อประเด็นอ่อนไหวต่างๆที่จะต้องนำมาโต้กัน
เยาวชนจากประเทศเยอรมัน อิตาลี และญี่ปุ่น ในงานประชุมระหว่างพันธมิตร ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ.2483, ที่มา : worldwartwoinpics.tumblr.com
เหตุที่ทหารไม่ประกาศยกเลิกรัฐสภาไปเลยก็เพราะว่ารัฐสภานั้นเป็นสิ่งที่ได้รับพระราชทานมาจากพระเจ้าเม็จจิ การจะโยนสิ่งที่ได้รับพระราชทานจากพระเจ้าจักรพรรดิทิ้งไปนั้นญี่ปุ่นถือว่าเป็นการดูหมิ่นและอกตัญญูต่อประมุขของประเทศ ถึงจะเก็บรัฐสภาไว้ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรก็ถือว่ารักษาวางไว้เพียงเฉยๆ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2475 เป็นต้นมา รัฐบาลญี่ปุ่นอบรมประชาชนอย่างเข้มงวดให้มีความรู้สึกชาตินิยมอย่างรุนแรง และมีแนวคิดไปในแนวทางเดียวกันทั้งประเทศ ความเกลียดชังฝรั่งสุมอยู่ในอกมาเนิ่นนานก็ถึงคราวระเบิดออก อันมีอเมริกาและอังกฤษเป็นเป้าสำคัญแห่งความเกลียดชัง ญี่ปุ่นเริ่มมองดูเมืองขึ้นของอังกฤษมากมายด้วยสายตาที่อยากได้มาเป็นของตน รัฐบาลญี่ปุ่นเริ่มมีการเอ่ยถึงความหวังดีที่ปรารถนาที่จะเข้าไปช่วย “ปลดแอก” คนเอเชียไปรอดพ้นจากการปกครองของพวกฝรั่ง
ความปรารถนาของรัฐบาลญี่ปุ่นนี้ถึงแม้ว่าชาติอื่นๆในเอเชียจะรับฟังด้วยความคลางแคลงใจ แต่ประชาชนชาวญี่ปุ่นก็เชื่ออย่างสนิทใจว่าเป็นความหวังดีต่อเพื่อนชาวตะวันออกด้วยความสุจริต นโยบายชาตินิยมของรัฐบาลญี่ปุ่นนั้นหนักข้อถึงขั้นเข้ามาแทรกแซงในชีวิตความเป็นอยู่ของคนทั่วไปในรูปแบบ “วัฒนธรรม” กิจการใดที่ผู้ปกครองฝ่ายทหารไม่ชอบ ไม่ถูกใจ หรือไม่เข้าใจ อันมีเค้าว่าได้รับอิทธิพลมาจากฝรั่งก็จะถูกสั่งห้าม กิจการทุกอย่างที่เกี่ยวกับปัญญา เช่น การศึกษา สำนักพิมพ์ จะถูกรวบรวมเข้ามาอยู่ใต้อำนาจของคณะรัฐบาลทหาร ไม่ช้าไม่นานภาคการผลิตและการค้าก็ต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของคณะทหารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้หากยังอยากที่จะทำมาค้าขายอย่างสะดวกต่อไป
"เจ้าโคโนเอะ” (Fumimaro Konoe, 2434-2488)
ข้าราชการพลเรือนซึ่งเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ มีเจตนาดีต่อบ้านเมือง แต่ขาดความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวจึงไม่สามารถควบคุมราชการให้เป็นไปในทางที่ตนเห็นควรได้ แต่ด้วยความสุขุมรอบคอบข้าราชการพลเรือนนั้นก็สามารถยับยั้งความรุนแรงของฝ่ายทหารไว้ได้มากพอสมควร ผู้ที่โดดเด่นที่สุดคือ “เจ้าไซออนจิ” หนึ่งในคณะองคมนตรี ผู้ร่วมก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองในสมัยต้นรัชกาลพระเจ้าเม็จจิ ที่หลงเหลืออยู่คนสุดท้าย ซึ่งสามารถต้านทานอิทธิพลของคณะทหารในรัฐบาลญี่ปุ่นไว้ได้จนถึงปี พ.ศ.2483 จึงเสียชีวิตลง รองลงมาก็คือ “เจ้าโคโนเอะ” (Fumimaro Konoe, 2434-2488) ผู้มาจากตระกูลราชสำนักโบราณ ซึ่งได้เป็นนายกรัฐมนตรีถึงสองสมัยเมื่อปี พ.ศ.2480 และ พ.ศ.2484 แต่ด้วยความโอนอ่อนผ่อนปรน เขามักหาหนทางปรองดองกับฝ่ายทหารเสมอ จนในที่สุดแล้วความพยายามของเขาได้กลับกลายเป็นการปูทางให้คณะทหารเข้ายึดครองอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จในปี พ.ศ.2484 เมื่อ “นายพลเอกโตโจ” (Hideki Tojo, 2427-2491) ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
“นายพลเอกโตโจ” (Hideki Tojo, 2427-2491)
การที่ฝ่ายทหารได้เข้ามาปกครองบริหารประเทศไว้อย่างเด็ดขาด และไม่หลงเหลือผู้ใดคัดค้านต่อต้าน เป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้จักรวรรดิญี่ปุ่นก้าวเข้าสู่สงครามอย่างเต็มตัวในปี พ.ศ.2484 นำไปสู่ความปราชัยและหายนะอันยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อันยาวนานของชนชาติญี่ปุ่น
สงคราม และความปราชัย
เมื่อฝ่ายทหารในญี่ปุ่นได้เข้ากุมอำนาจการปกครองไว้ได้โดยง่าย ผนวกกับมีผู้สนับสนุนนโยบายอยู่มาก คณะทหารจึงได้ใจ แต่แล้วการตัดสินใจของพวกเขาในเวลาต่อมาได้ทำให้ทหารในฐานะรัฐบาลญี่ปุ่นต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อาจถอนตัวได้ ความต้องการของรัฐบาลทหารญี่ปุ่นคือ “การทำสงครามโดยจำกัดพื้นที่” อย่างที่ตนเองเคยทำสำเร็จมาแล้วก่อนหน้านี้ใน “เหตุการณ์แมนจูเรีย” ณ ประเทศจีน (Manchurian Crisis, 2474-2476) เพียงแต่สงครามในครั้งนี้กับประเทศจีนอีกเช่นเคยได้กลายเป็นสงครามที่ยืดเยื้อยาวนาน “รัฐบาลจีนคณะชาติ” ผู้ซึ่งต้านทานกำลังทหารของจักรวรรดิจีนไว้อย่างแข็งขัน และเหล่าทหารญี่ปุ่นเองก็คาดไม่ถึง เคยคิดไว้ว่ารัฐบาลจีนคงไม่สามารถต่อต้านฝ่ายญี่ปุ่นได้นานสักเท่าไร
"เหตุการณ์แมนจูเรีย” ณ ประเทศจีน (Manchurian Crisis, 2474-2476) ที่มา : Mr Allsop History
รัฐบาลจีนคณะชาตินำโดย เจียงไคเชค (Chiang Kai-shek, 2430-2518) สามารถต่อกรกับญี่ปุ่นได้ตลอดมาจนถึงวาระสุดท้าย ซึ่งญี่ปุ่นกลายเป็นฝ่ายพ่ายแพ้สงครามไปในที่สุด ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2480 กองทัพบกญี่ปุ่นในตอนเหนือของประเทศจีนได้บุกเข้ายึดเมืองปักกิ่งและเมืองเทียนสินโดยพลการ รัฐบาลญี่ปุ่นไม่ได้รู้เห็นล่วงหน้าและไม่ได้ให้ความเห็นชอบกับปฏิบัติการทางทหารในครั้งนั้น แต่เมื่อเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นไปแล้ว รัฐบาลญี่ปุ่นก็ต้องจำยอม ยอมรับความเป็นจริงและการกระทำนั้นอย่างที่เคยเป็นมา
"เจียงไคเชค" (Chiang Kai-shek, 2430-2518)
หลังจากเมืองปักกิ่งและเทียนสิน ต่อมากองทัพบกญี่ปุ่นได้รุกรานไปถึงมองโกเลียชั้นใน จากนั้นมุ่งตรงเข้ายึดเมืองนานกิง อันเป็นเมืองหลวงของรัฐบาลจีนคณะชาติ ด้วยความพยายามที่จะเข้ายึดครองประเทศจีนตอนบนให้ได้มากที่สุด แต่ความเป็นจริงญี่ปุ่นก็ยึดนานกิงได้เพียงเมืองเปล่าๆ เพราะกองกำลังรัฐบาลจีนคณะชาติได้ถอยออกไปปักหลักต่อสู่ที่เมืองฮันเค้า เมืองที่ตั้งอยู่ใจกลางประเทศ ในตอนนี้จักรวรรดิญี่ปุ่นเริ่มตระหนักแล้วว่าการทำสงครามในประเทศจีนครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เมื่อตนได้เริ่มต้นก่อเรื่องไปแล้วก็จำเป็นต้องดำเนินการต่อไปโดยยกทัพติดตามกองทัพจีนไปยังเมืองฮันเค้า ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2481 ทหารญี่ปุ่นก็เข้ายึดเมืองฮันเค้าได้ กระนั้นรัฐบาลจีนคณะชาติก็ถอยร่นไปอีก จนไปตั้งทัพอยู่ที่เมืองจุงกิง มณฑลยูนาน อันเป็นพื้นที่ทุรกันดาร การคมนาคมและการติดต่อสื่อสารเป็นไปอย่างยากลำบาก เหตุดังนั้นญี่ปุ่นจึงหยุดอยู่ในเฉพาะเขตที่ตนได้ยึดครองไว้ได้ ไม่ติดตามต่อไปอีก เพราะทหารญี่ปุ่นคิดว่าความทุรกันดารของพื้นที่จะค่อยๆตัดกำลังทำให้กองทัพจีนต้องยอมแพ้ในที่สุด
กองทัพบกญี่ปุ่นในเมืองนานกิง ประเทศจีน ประมาณปี พ.ศ. 2481 ที่มา : museumsyndicate.com
กองทัพบกญี่ปุ่นในเมืองนานกิง ประเทศจีน ประมาณปี พ.ศ. 2481
ในเวลาเดียวกันนั้นกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นก็ได้เข้ายึดครองพื้นที่ต่างๆในประเทศจีน และตั้งรัฐบาลหุ่นขึ้นที่เมืองนานกิงเพื่อคอบรับคำสั่งและปฏิบัติการตามประสงค์ของญี่ปุ่น แต่แล้วญี่ปุ่นก็คาดการณ์ผิดอีกครั้ง ความกันดารของพื้นที่และการตัดขาดจากโลกภายนอกของเมืองจุงกิงไม่ได้ทำให้รัฐบาลจีนคณะชาติสูญเสียกำลังใจแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับทำให้จีนเกิดความฮึกเหิมที่จะต่อสู้ต้านทานญี่ปุ่นอย่างเข้มแข็ง นอกจากนั้นพลเมืองชาวจีนในเขตที่กองทัพญี่ปุ่นเข้ายึดครองไว้ก็ไม่ได้ยอมศิโรราบแต่โดยดี ได้มีขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านญี่ปุ่นอย่างจริงจัง
ผู้นำญี่ปุ่น อิตาลี และเยอรมันนี ทำสัญญาไตรภาคีเป็นพันธมิตรระหว่างกัน ในปี พ.ศ.2483
การรุกรานจีนของจักรวรรดิญี่ปุ่นนั้นสร้างความไม่พอใจต่อประเทศประชาธิปไตยในยุโรป และสหรัฐอเมริกา ซึ่งญี่ปุ่นก็ไม่ได้สนใจมาตั้งแต่แรก และเห็นว่ากลุ่มประเทศเหล่านั้นเป็นศัตรูกับตนเช่นกัน ยกเว้นเพียง เยอรมันและอิตาลี สองประเทศเผด็จการที่พันธมิตรของญี่ปุ่น ซึ่งในปี พ.ศ.2479 ญี่ปุ่นได้ลงนามในสัญญาต่อต้านคอมมิวนิสต์กับเยอรมัน รวมถึงอิตาลีที่มาเข้าร่วมพันธะสัญญานี้ในปีต่อมา
แล้วพบกันอีกครั้งในบทความตอนที่ 4 ครับ
บางส่วนจากหนังสือ
ฉากญี่ปุ่น (พิมพ์ครั้งที่6) โดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช, สำนักพิมพ์ดอกหญ้า : พ.ศ.2561
ติดตามซีรี่ย์ชุด "สงครามโลกครั้งที่สองกับความปราชัยของจักรวรรดิญี่ปุ่น ผ่านมุมมอง คึกฤทธิ์ ปราโมช" ทั้งหมดได้ที่ Link ด้านล่าง
https://www.blockdit.com/series/5f0b3bdadd3d1c0c8e293ae4
2 บันทึก
8
6
2
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
สงครามโลกครั้งที่สองกับความปราชัยของจักรวรรดิญี่ปุ่น ผ่านมุมมอง คึกฤทธิ์ ปราโมช
2
8
6
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย