16 มิ.ย. 2020 เวลา 09:35 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
ทำไมอวัยวะเพศชายมีหน้าตาแบบนั้น ??
หมายเหตุ: เนื้อหามาจากหนังสือเรื่องเล่าจากร่างกายที่ผมเขียนไว้ มาย่อและเรียบเรียงใหม่เพื่อให้เหมาะกับการโพสต์ออนไลน์นะครับ
เคยสงสัยไหมครับว่าทำไมปลายของอวัยวะเพศชายถึงมีหน้าตาเป็นเช่นนั้น ?
1
การที่อวัยวะเพศชายมีหน้าตาเป็นแท่งเราเข้าใจได้ไม่ยาก
แต่ทำไมต้องมีหัวที่เหมือนกับมีเห็ดมาครอบไว้ด้านบน
แล้วเคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมการหลั่งอสุจิของเพศชายจึงพุ่งแรง ?
อสุจิเวลาหลั่งออกมาจะมีลักษณะของการพุ่งปริ๊ดออกมา ซึ่งแรงขนาดที่ทำให้อสุจิพุ่งขึ้นบนได้สูงเป็นฟุต
ความแปลกคือ ส่วนใหญ่ในธรรมชาติเมื่อถึงจุดที่อสุจิหลั่งออกมา อวัยวะเพศชายจะค้างอยู่ในช่องคลอดอยู่แล้ว ระยะทางแค่นั้นร่างกายไม่มีความจำเป็นต้องวิวัฒนาการมาให้อสุจิพุ่งออกมาแรงมากมาย แค่ไหลออกมาเบาก็เพียงพอต่อการสืบพันธุ์แล้ว
คำถามทั้งสองนี้มีความเกี่ยวข้องกันอยู่ครับ
9
ในการจะเข้าใจร่างกายของมนุษย์นั้น บางครั้งการศึกษาแต่ร่างกายของมนุษย์เราอาจจะไม่เห็นภาพใหญ่ วิธีหนึ่งที่จะช่วยให้เราเข้าใจร่างกายของมนุษย์ได้มากขึ้นคือ การศึกษาร่างกายของสัตว์อื่นๆแล้วเปรียบเทียบกับร่างกายมนุษย์
สิ่งหนึ่งที่เราจะพบเมื่อศึกษาอวัยวะเพศผู้และการผสมพันธุ์ของสัตว์ต่างๆจำนวนมาก เราจะพบว่า อวัยวะเพศผู้ที่มีลักษณะเป็นแท่งๆนั้น ไม่ได้ทำหน้าที่แค่สอดเข้าไปด้านในเพศเมียแล้วปล่อยอสุจิ
แต่อวัยวะเพศของสัตว์ตัวผู้หลายชนิดโดยเฉพาะในแมลงต่างๆ ยังทำหน้าที่กวาดเอาอสุจิของตัวผู้อื่นๆ ออกมาด้วย
6
โดยอวัยวะเพศผู้ของสัตว์เหล่านี้จะมีส่วนที่เป็นเหมือนตะขอ ขน ช้อน ฯลฯ ที่วางตัวในแนวที่สามารถตักหรือกวาดอสุจิของตัวผู้ตัวอื่นที่ค้างอยู่ในช่องสืบพันธุ์ของตัวเมียออกมาก่อน จากนั้นมันจึงค่อยหลั่งอสุจิของตัวเองเข้าไป
3
เมื่อเราเห็นว่าอวัยวะเพศผู้ของสัตว์อื่นๆ ทำเช่นนี้ได้ เราจึงอดถามตัวเองไม่ได้ว่า แล้วอวัยวะเพศของผู้ชายทำหน้าที่นี้เช่นนั้นได้ด้วยหรือไม่?...
ถ้ามาคิดดูมันก็อาจจะเป็นไปได้ เพราะจะว่าไปแล้วพฤติกรรมในการผสมพันธุ์ของคนมีหลายอย่างซึ่งดูแปลก เช่น
ทำไมการมีเพศสัมพันธุ์ของมนุษย์จึงต้องมีการสอดเข้าออกหลายๆครั้ง ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่จำเป็นเลย สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆจำนวนมากสามารถหลั่งอสุจิหลังการสอดอวัยวะเพศผู้เข้าไปในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น
4
จะว่าไปแล้ว การผสมพันธุ์ให้เสร็จโดยเร็วกลับมีข้อดีมากกว่า เพราะในธรรมชาติขณะผสมพันธุ์จะถือว่าเป็นช่วงเวลาที่อันตราย เสี่ยงต่อการโดนโจมตีจากผู้ล่าหรือตัวผู้อื่นๆได้ง่าย แต่ทำไมการมีเพศสัมพันธุ์ของมนุษย์แต่ละครั้งจึงใช้เวลานาน ?
ความแปลกอีกอย่างหนึ่งคือ ทำไมเมื่อผู้ชายถึงจุดสุดยอดแล้วจึงหมดแรง? ทำไมจึงรู้สึกง่วง และหมดความต้องการไประยะหนึ่ง
อาการหมดแรงที่ว่านี้น่าสนใจเพราะผู้ชายส่วนใหญ่รู้ดีว่า มันไม่ได้สัมพันธ์กับระยะเวลาที่ทำ แต่สัมพันธ์กับการถึงจุดสุดยอดหรือไม่ เช่น การมีเพศสัมพันธ์ 15 นาทีแล้วเสร็จ จะหมดแรงมากกว่า การมีเพศสัมพันธ์ 20 นาทีแล้วยังไม่เสร็จ
4
หลังจากที่ถึงจุดสุดยอดและหลั่งอสุจิแล้ว ผู้ชายต้องใช้เวลาพักระยะหนึ่งกว่าอวัยวะเพศจะสามารถแข็งตัวและมีเพศสัมพันธ์ได้อีก (ระยะพักนี้มีชื่อเรียกว่า refractory period)
1
แต่ที่แปลก (และหลายคนอาจจะไม่รู้) อีกอย่างหนึ่งคือ ถ้าหลังจากเสร็จแล้ว มีผู้หญิงคนใหม่อีกคนให้มีเพศสัมพันธ์ด้วย ระยะพักตัวของผู้ชายจะสั้นลงมากจนแทบจะสามารถมีเพศสัมพันธ์ต่อได้ทันที ปรากฎการณ์นี้มีชื่อเรียกว่า Coolidge effect ซึ่งไม่ได้พบแต่ในมนุษย์ แต่ยังพบในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆอีกมากมาย
3
คำถามคือ ทำไมจึงmeเช่นนั้น ? ทำไมธรรมชาติทำให้ตัวผู้หลายชนิดหมดแรงที่จะผสมพันธุ์กับตัวเมียเดิม แต่สามารถผสมพันธุ์กับตัวเมียใหม่
ถ้าเรานำความแปลกทั้งหมดนี้มาพิจารณาร่วมกันอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น
1 ทำไมส่วนปลายของอวัยวะเพศชายมีลักษณะเหมือนหัวเห็ด
2 ทำไมอสุจิ พุ่งแรงเกินความจำเป็น
3 ทำไมการผสมพันธุ์ในมนุษย์ต้องมีการสอดเข้าออกหลายๆครั้ง
4 ทำไมหมดแรงหลังเสร็จ และทำไมมีภาวะ Coolidge effect
5 ข้อนี้เป็นข้อแถม เมื่อเทียบกันระหว่าง กอริลล่าที่ตัวใหญ่มากๆ ชิมแปนซี และมนุษย์ เราจะพบความแปลกที่น่าสงสัยอย่างหนึ่งคือ
3
อวัยวะเพศชายของมนุษย์โดยเฉลี่ยจะยาวประมาณ 5 นิ้ว
อวัยวะเพศของชิมแปนซีจะยาว 3 นิ้ว
อวัยวะเพศของกอริลล่ายาวประมาณ 1 นิ้ว
ความแปลกคือ ทำไมอวัยวะเพศชายของมนุษย์ยาวจัง ?
1
และพิจารณาร่วมกับการรู้ว่า อวัยวะเพศผู้ของสัตว์อื่นๆในธรรมชาติ ยังทำหน้าที่ตักอสุจิของตัวผู้อื่นๆออกจากอวัยวะเพศของตัวเมีย
4
เราอาจจะพอเห็นภาพคร่าวๆว่า หรือ ทั้งหมดนี้จะเป็นไป เพื่อการตักอสุจิของผู้ชายอื่นออก และเพื่อให้แน่ใจว่า เราจะไม่ตักอสุจิของเราเองออก
หรือว่าหัวเห็ดของอวัยวะเพศชายทำหน้าที่ตักอสุจิของผู้ชายอื่นออก
หรือว่าการที่อสุจิพุ่งแรง เป็นกลไกที่พยายามส่งอสุจิของเราเข้าไปลึกๆเพื่อไม่ให้โดนผู้ชายอื่นตักออก
หรือว่าการสอดใส่เข้าออกนานๆหลายๆครั้ง จะเป็นการทำเพื่อให้แน่ใจว่าตักอสุจิของเก่าออกหมดแล้ว
หรือว่าที่อวัยวะเพศของมนุษย์ยาวเพราะต้องสอดเข้าไปลึกๆ เพื่อไปตักอสุจิที่พุ่งไปลึกๆ
หรือว่าที่เราหมดแรงหลังหลั่งอสุจิเพราะธรรมชาติไม่ต้องการให้เราไปตักอสุจิของเราออก แต่มีแรงที่จะมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงคนอื่น เพราะธรรมชาติรู้ว่า (หมายถึงวิวัฒนาการนะครับ) การมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงอื่นเพิ่มโอกาสส่งต่อพันธุกรรมของเรา
10
ทั้งหมดนี้เป็นสมมติฐานที่นักชีววิทยาจำนวนมากสงสัย
แต่ศาสตราจารย์ Gordon Gallup นำไปทดลอง
Gordon Gallup
สิ่งแรกที่ ศาสตราจารย์กอลลัพ ต้องการจะทดสอบคือ อวัยวะเพศชาย “ตัก” ได้จริงหรือไม่
อย่างแรกสุดที่เขาต้องทำคือ พิสูจน์ให้ได้ว่าขณะมีเพศสัมพันธ์อวัยวะเพศชายคับแน่นเต็มพอดีช่องคลอดหรือไม่ เพราะการที่อวัยวะเพศชายจะทำหน้าที่ “ตัก” ได้มันต้องคับแน่นพอดีโดยเฉพาะส่วนที่อยู่ลึกสุดของช่องคลอ ซึ่งสามารถยืดและขยายตัวออกได้
วิธีการคือ เขาทำงานวิจัยร่วมกับศาสตราจารย์ แพค แวน แอนเดิล (Pek Van Andel) โดยให้อาสาสมัครเข้าไปมีเพศสัมพันธ์ขณะถ่ายภาพคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)
และพวกเขาก็พบว่า อวัยวะเพศชายสามารถที่จะเข้าไปได้ลึกและแน่นพอจะทำหน้าที่ตักได้
เมื่อรู้แล้วว่าอวัยวะเพศชายคับและเข้าไปลึกพอ ขั้นต่อไปคือต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าส่วนปลายอวัยวะเพศชายที่มีลักษณะเป็นหัวเห็ดนั้นสามารถ “ตัก” ได้จริงๆ
3
การทดลองในขั้นนี้ไม่ได้ศึกษาในคนจริงแต่ศาสตราจารย์ Gallup ทำอุปกรณ์เลียนแบบอวัยวะเพศชาย (หลายๆ ลักษณะตามคนจริง) ช่องคลอด (หลายๆ ขนาดตามคนจริง) และน้ำกามหรือซีเมนส์ (ที่มีความหนืดต่างๆกัน) จากนั้นก็นำอุปกรณ์เหล่านี้ทดลองเหมือนการมีเพศสัมพันธ์
2
และเขาก็พบว่า รูปร่างของอวัยวะเพศชายสามารถตักน้ำที่เหนียวข้นออกจากช่องคลอดได้จริงในทุกกรณีตราบใดที่อวัยวะเพศชายใหญ่และเข้าไปได้ลึกพอ โดยบริเวณที่เป็นส่วนที่ตักได้ดีที่สุดคือส่วนใต้ของหัวองคชาต (ส่วนที่ผู้ชายทั่วไปรู้จักกันในชื่อเส้นสองสลึง)
3
และปริมาณที่ตักได้ก็มากพอที่ทำให้เชื่อว่ามันทำงานได้จริงๆ คือตักได้เท่าๆ กับอวัยวะเพศของตัวผู้ในสัตว์อื่นๆ (ประมาณ 70-80 เปอร์เซ็นต์)
3
เมื่อนักวิทยาศาสตร์รู้แล้วว่าเครื่องมือของผู้ชายใช้งานได้จริง คำถามต่อไปคือผู้ชายถูกสร้างมาให้รู้วิธีใช้งานหรือไม่? หรือพูดง่ายๆ คือผู้ชายมีสัญชาตญาณที่จะทำให้มันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่?
วิธีที่นักวิทยาศาสตร์ศึกษาขั้นตอนนี้ก็ตรงไปตรงมาคือการขอให้ผู้ชายและผู้หญิงหกร้อยคนตอบแบบสอบถาม เกี่ยวกับพฤติกรรมการร่วมเพศของตัวเองและคู่ ว่าเป็นแบบใด
1
โดยในแบบสอบถามจะถามว่าเมื่อฝ่ายชายมีอาการหึงหรือสงสัยว่าผู้หญิงอาจจะไปมีความสัมพันธ์กับชายอื่น การสอดใส่ของผู้ชายจะเปลี่ยนไปหรือไม่อย่างไร
3
คำตอบที่ได้เกือบทั้งหมดจะตอบเหมือนกันว่า การสอดใส่จะทำแรงขึ้น เร็วขึ้นและลึกขึ้น ซึ่งการสอดใส่ที่แรงเร็วลึกนี้ทำให้ประสิทธิภาพของการตักน้ำออกทำได้ดีขึ้น
การที่คนเกือบหกร้อยคนมีพฤติกรรมคล้ายๆ กันเป็นเรื่องที่น่าสนใจ พฤติกรรมแบบนี้ไม่มีในหลักสูตรการเรียนการสอนหรือเขียนไว้ในตำราเล่มไหน แต่เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นเอง พูดง่ายๆ คือพฤติกรรมนี้เกิดขึ้นจากอารมณ์มันพาไปหรือสัญชาตญาณพาไป
1
แล้วความแปลกต่างๆเหล่านี้ก็ประกอบเข้าด้วยกันเป็นภาพใหญ่ ซึ่งฉายธรรมชาติบางอย่างของมนุษย์ออกมาให้เราได้เห็นกัน
ก่อนที่จะจบเรื่องนี้ ผมอยากจะอธิบายทิ้งท้ายเพิ่มเติมอีกสักเล็กน้อย เพราะเชื่อว่าหลายท่านอาจจะสงสัยขึ้นมาว่า ทั้งหมดนี้บอกว่า ธรรมชาติการจับคู่จริงๆของมนุษย์คือ polygamy หรือ หนึ่งผู้ชายหลายผู้หญิงหรือเปล่า
คำตอบคือไม่ใช่ครับ มนุษย์มีลักษณะของการเปลี่ยนผ่านมากกว่าคือ บรรพบรุษของมนุษย์เมื่อหลายแสนถึงหลายล้านปีก่อน น่าจะมีลักษณะแบบ polygamy แต่มนุษย์เรากำลังวิวัฒนาการเปลี่ยนผ่านไปเป็น monogamy (หนึ่งชายหนึ่งหญิง) มากขึ้นเรื่อยๆ
2
ลักษณะของ polygamy หลายๆอย่างที่เห็นอยู่ จึงเหมือนเป็นตัวเล่าเรื่องราวว่าในอดีตว่าบรรพบุรุษของเมื่อหลายล้านปีก่อนมีสังคมเป็นอย่างไร
1
น่าทึ่งไหมครับ
ไม่น่าเชื่อนะครับว่า อวัยวะเพศของผู้ชาย
จะมีเรื่องเล่าที่น่าสนใจเช่นนี้ซ่อนอยู่ด้วย
2
ถ้าไม่อยากพลาดเรื่องที่ผมจะโพสต์จะแอดไลน์ Line ไว้เลยก็ได้ครับ
เมื่อผมเขียนบทความ ทำpodcast หรือคลิปวีดีโอ ที่ไหนจะไลน์ไปแจ้งเตือนให้ครับ คลิกที่นี่เลยครับ https://lin.ee/3ZtoH06 หรือ
add line ID:@Chatchapol
1
(ปิดท้ายด้วยโฆษณา)
ถ้าชอบวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับร่างกายหรือจิตวิทยาแบบนี้
แนะนำอ่านเพิ่มเติมได้จากหนังสือ Best seller เรื่องเล่าจากร่างกายและ 500 ล้านปีของความรัก
1
อ่านบทความแนวประวัติศาสตร์ได้ที่
คลิปวีดีโอเกี่ยวกับประวัติศาสตร์
โฆษณา