24 มิ.ย. 2020 เวลา 11:53 • ประวัติศาสตร์
“เบนิโต มุสโสลินี” เจ้าพ่อฟาสซิสต์ผู้อาภัพแห่งอิตาลี
“ฟาสซิสต์คือศาสนา และศตวรรษที่ 20 ประวัติศาสตร์จะจารึกว่าเป็นศตวรรษของฟาสซิสต์” เบนิโต มุสโสลินี
ฟาสซิสต์ เป็นแนวคิดการปกครองที่เคยรุ่งเรืองในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ฟาสซิสต์ ถือว่าชาติและผู้นำเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจ
แนวคิดนี้ได้เกิดและแพร่ไปหลายประเทศ...
อิตาลี...
เยอรมนี...
ญี่ปุ่น...
หรือแม้กระทั่งไทย...
ต่างเคยเกิดแนวคิดแบบฟาสซิสต์ขึ้นมา
ทุกท่านครับ ณ ที่นี้ ผมจะนำพาทุกท่านไปพบเรื่องราวชีวิตของชายคนหนึ่ง...
ชายผู้ขัดเกลาและหล่อหลอมแนวคิดฟาสซิสต์ขึ้นมา...
ชายผู้ใช้แนวคิดฟาสซิสต์ในการปกครองครั้งแรก...
ชายผู้มีความฝันที่ไกลเกินกว่าศักยภาพของตัวเอง...
ชายผู้ที่เป็นหนึ่งในแกนนำของฝ่ายอักษะในสงครามโลกครั้งที่ 2...
ชายผู้จุดเริ่มต้นเป็นดั่งวีรบุรุษ แต่จุดจบกลับเหมือนสุนัขข้างถนนที่ไร้ค่า...
และนี่ คือเรื่องราว “เบนิโต มุสโสลินี” เจ้าพ่อฟาสซิสต์ผู้อาภัพแห่งอิตาลี
โปรดนั่งลงเถิดครับ แล้วผมจะเล่าให้ฟัง...
จุดเริ่มต้นของเรื่องราวคือ ในวันที่ 29 กรกฏาคม ค.ศ.1883 ณ หมู่บ้านเล็กๆที่ชื่อว่าเปรดาปิโอ เมืองโฟรีล แคว้นโรมานยา ประเทศอิตาลี
สองสามีภรรยามุสโสลินี คือ อเลสซานโดรและโรซา ได้ให้กำเนิดเด็กชายขึ้น ตัวของอเลสซานโดรนั้นมีฮีโร่ในดวงใจ คือ เบนิโต ซัวเรส ซึ่งเป็นผู้นำฝ่ายซ้ายในเม็กซิโก เขาจึงตัดสินใจตั้งชื่อเด็กชายตามฮีโร่ในดวงใจของตัวเอง คือ “เบนิโต มุสโสลินี”
ในช่วงวัยทารกของเบนิโตนั้น อเลสซานโดรและโรซากังวลใจสุดๆเลยล่ะครับ เพราะเบนิโตไม่พูดหรือออกเสียงเลย จนทั้งคู่คิดว่า “เป็นใบ้หรือเปล่า?”
แต่ทว่าวันดีคืนดี เบนิโตก็กลับพูดได้เฉยเลยล่ะครับ สร้างความประหลาดใจและยินดีแก่ทั้งคู่สุดๆ ตัวของเบนิโตนั้นเมื่อพูดได้แล้วก็จ้อแทบไม่หยุด พูดเก่งแบบน้ำไหลไฟดับ สองสามีภรรยาก็ต่างคิดว่า “ลูกของเราเป็นคนที่ฉลาดแน่ๆ”
เบนิโตถูกส่งเข้าโรงเรียนประจำเมื่ออายุได้ 8 ขวบ ซึ่งในช่วงที่เข้าเรียนแรกๆนั้นเบนิโตเรียนเก่งมากๆ และมีผลการเรียนที่เป็นเลิศ
แต่ทว่าเมื่อเบนิโตเข้าไปอยู่ในหอพักที่เป็นสังคมแห่งการกลั่นแกล้ง ตัวของเบนิโตจึงจำเป็นต้องปรับตัวตามเพื่อไม่ให้ต้องถูกกลั่นแกล้ง นั่นก็คือ การเป็นคนที่กลั่นแกล้งคนอื่นซะเอง...
จากเด็กเนิร์ดสนใจเรียนก็กลายเป็นอันธพาลก้าวร้าว เป็นหัวโจกคอยกลั่นแกล้งคนอื่นไปทั่ว วีรกรรมที่เด็ดๆของเบนิโต คือ การเป็นแกนนำนักเรียนรวมตัวประท้วงเรื่องรสชาติอาหารที่ห่วยแตกของหอพัก! หรือนตอนที่อายุ 11 ปี ก็ใช้มีดพกแทงเพื่อนตัวเองจนบาดเจ็บสาหัส! (โหดตั้งแต่เด็กจริงๆครับ)
พอเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นความเปรี้ยวก็ไม่ได้หายไปไหนเลย เบนิโตได้เดินทางไปสวิสเซอร์แลนด์เพื่อหลบหนีการเกณฑ์ทหารของอิตาลีเมื่ออายุได้ 19 ปี
1
ช่วงที่อยู่สวิสนั้น เบนิโตได้รับความคิดจากนักคิดหลายคนด้วยกันครับ โดยเฉพาะจากจอร์จ โซเรล ที่เสนอแนวคิดการโค่นล้มนายทุนและเสรีนิยมด้วยความรุนแรง
เบนิโตหลงไหลแนวคิดพวกนี้มาก จนศึกษาแล้วเผยแพร่ด้วยตนเอง ซึ่งทำให้เบนิโตกลายเป็นนักพูดที่โด่งดังในเมืองโลซาน (เบนิโตเป็นคนที่พูดเก่งมาตั้งแต่เด็ก) จนถึงกับว่ามีการพูดปลุกระดมให้มีการนัดหยุดงานเพื่อประท้วงระบบนายทุน
ซึ่งสุดท้ายเบนิโตได้เข้าไปนอนเล่นในคุก 2 สัปดาห์ครับ แล้วถูกส่งตัวกลับไปอิตาลี แต่เบนิโตก็หนีการเกณฑ์ทหารกลับมาที่สวิสอีกครั้ง (เหมือนพี่แกจะกลัวการเป็นทหารสุดๆเลยนะครับ)
เมื่อกลับมาที่สวิส เบนิโตก็เขียนหนังสือปลุกระดมให้เกิดความรุนแรงในเจนีวา ซึ่งก็ได้เข้าไปนอนเล่นในคุกอีกตามเคยครับ...
เมื่อออกจากคุก เบนิโตก็หนีจากเจนีวาแล้วกลับไปที่โลซานเพื่อเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งยังเรียนไม่ถึงไหน อิตาลีก็ได้มีการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมผู้หลบหนีออกจากประเทศ แต่ก็ต้องประจำการในกองทัพ
1
เบนิโตเห็นแบบนั้นก็เกิดคิดถึงบ้านครับ จึงตัดสินใจ “เอาก็เอาวะ” เก็บกระเป๋ากลับอิตาลีแล้วไปเป็นทหารประจำการที่อิตาลีอยู่ 2 ปี
ภาพจาก Rare Historical Photos (เบนิโต มุสโสลินีในช่วงที่โดนจับ)
ใน ค.ศ.1906 เบนิโตก็ถูกปลดประจำการ จึงตัดสินใจไปเป็นครูอยู่ 3 ปี แล้วใน ค.ศ.1909 ก็เดินทางไปออสเตรีย-ฮังการี เพื่อเป็นเลขาธิการพรรคแรงงานที่เมืองเทรนโต
ที่แห่งนี้ เบนิโตได้รับการยอมรับสูงมากครับว่าเป็นนักคิดนักเขียนที่เก่งสุดๆ เขาไต่เต้าจนเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ของคอมมิวนิสต์ที่เขียนโจมตีอิตาลีอย่างหนัก
แล้วใน ค.ศ.1911 เบนิโตก็เข้าร่วมการจราจลต่อต้านการส่งทหารอิตาลีไปรบในลิเบีย ซึ่งผลคือ เบนิโตก็ได้เข้าไปนอนเล่นในคุก 5 เดือน (อีกแล้ว)
พอออกจากคุกมา ความเปรี้ยวของเบนิโตก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปเลยครับ ใน ค.ศ.1914 เบนิโตก็เขียนบทความต่อต้านการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ของอิตาลี
แต่แม้เบนิโตจะต่อต้านสงครามยังไง แต่เขาก็ต้องถูกเกณฑ์ไปรบอยู่ดีใน ค.ศ.1917 และก็ได้ของฝากจากสนามรบกลับมา 2 อย่าง คือ ชิ้นส่วนสะเก็ดระเบิดที่อยู่ในร่างกายกว่า 40 ชิ้น!
1
และอีกอย่าง คือ แนวคิดชาตินิยม จากการไปรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 ของเบนิโตนี่แหละครับ ที่ได้เปลี่ยนความคิดของเขาจากซ้ายสุดมาเป็นขวาแบบตกขอบเลยทีเดียว...
1
ภาพจาก Pinterest (เบนิโต มุสโสลินี ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1)
หลังสงครามจบลง เบนิโตก็กลับมาเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์อีกครั้ง โดยเขียนโจมตีว่า “ถึงแม้อิตาลีจะเป็นฝ่ายชนะสงคราม แต่ประโยชน์ที่ได้มันไม่คุ้มกับชีวิตทหารที่ต้องเสียไปเลย” ซึ่งงานเขียนของเบนิโตนั้นเหมาะเจาะกับสภาพสังคมของอิตาลีในตอนนั้นพอดิบพอดีเลยล่ะครับ
อิตาลีหลังสงครามนั้น กลายเป็นประเทศที่เศรษฐกิจกำลังพังทลายลง บ้านเมืองวุ่นวาย โจรชุกชุม เกิดอาชญากรรมวันเว้นวัน และมีโอกาสสูงมากที่คอมมิวนิสต์จะทำการปฏิวัติ
เหล่าชนชั้นกลางและชนชั้นสูงที่กลัวคอมมิวนิสต์ ต่างก็กรูกันมาสนับสนุนเบนิโตให้สู้กับพวกคอมมิวนิสต์ เพราะเห็นแล้วว่าเบนิโตในตอนนี้ไม่ได้มีแนวคิดแบบคอมมิวนิสต์เหมือนในอดีตอีกแล้ว...
ในเวลาเพียงไม่นาน เบนิโตก็กลายเป็นประกายแห่งความหวังของอิตาลี เขาถูกยกให้เป็นฮีโร่ในการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ อีกทั้งทักษะการพูดของเขาที่เรียกได้ว่า ขั้นเทพ! ยิ่งสร้างความเชื่อมั่นและน่าเชื่อถือขึ้นไปอีก
โดยเบนิโตมีการพูดถึงขนาดว่า “ตัวของผมคือจูเลียส ซีซาร์ และผมจะนำพาอิตาลีกลับไปสู่ความยิ่งใหญ่เหมือนจักวรรดิโรมันในอดีต!” ซึ่งสร้างความหวังและความประทับใจแก่มวลมหาชนคนอิตาเลียนสุดๆ
1
ทุกท่านคงเห็นแล้วใช่มั้ยครับว่า เบนิโตได้ยกเอาชาติและตัวของผู้นำเข้ามาเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจแล้ว
1
และนี่แหละครับ ฟาสซิสต์ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น...
ภาพจาก National Review (ลีลาการพูดที่ดึงดูดใจผู้คนของมุสโสลินี)
ใน ค.ศ.1919 เบนิโตก็ได้ตั้งพรรคฟาสซิสต์ขึ้น เพื่อต่อสู้กับคอมมิวนิสต์โดยเฉพาะ
ฟาสซิสต์ของเบนิโต คือ การยกชาติอิตาลีให้กลับไปยิ่งใหญ่เหมือนโรมันในอดีต และยึดตัวของเบนิโตเป็นผู้นำที่จะนำพาอิตาลีไปสู่จุดมุ่งหมายนั้น
กองกำลังฟาสซิสต์จะมีลักษณะคือใส่เสื้อเชิ้ตสีดำและติดอาวุธครบมือ และจากความสามารถของเบนิโต จำนวนสมาชิกของฟาสซิสต์ก็เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว
และแล้วเบนิโตก็เห็นโอกาสของตัวเองครับ ในวันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ.1922 เบนิโตก็ได้นำกองทัพฟาสซิสต์ 30,000 คนกดดันรัฐบาลให้ลาออกแล้วตั้งให้ฟรรคฟาสซิสต์เป็นรัฐบาลแทน
ตัวของกษัตริย์เอมมานูเอลที่ 3 เมื่อเห็นแบบนั้นแล้ว จึงเลือกเบนิโตขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีทันที! นั่นเพราะว่ากษัตริย์เอมมานูเอลเห็นตัวอย่างของราชวงศ์โรมานอฟที่โดนคอมมิวนิสต์ปฏิวัติในรัสเซีย ก็เลยเกิดกลัวขึ้นมา จึงคิดว่า “เลือกฟาสซิสต์ยังไงก็ยังดีกว่าคอมล่ะวะ!”
เมื่อเบนิโตได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี เขาก็ได้ทำการรวบอำนาจทั้งหมดให้มาอยู่ที่ตัวเองและพรรคฟาสซิสต์ พร้อมทั้งให้ทุกคนเรียกตัวของเขาว่า “ดูเช่” ที่แปลว่า ท่านผู้นำ ใน ค.ศ.1922
ภาพจาก Infornmation (ท่านผู้นำมุสโสลินี)
นอกจากนั้นเบนิโต ยังต้องการความมั่นคงในตำแหน่งของตัวเองมากขึ้น โดยการให้โป๊ปสนับสนุนตัวของเขาเอง โดยเบนิโตได้ตอบแทนโป๊ปอย่างงามคือ การตั้งให้วาติกันเป็นประเทศที่มีอธิปไตยและมีเอกราชเป็นของตัวเอง
เบนิโตยังคงได้รับความเชื่อถือและเคารพจากประชาชนสูงมาก เขาได้ทำการเผยแพร่ฟาสซิสต์ของตัวเองให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น จนใน ค.ศ.1933 ฮิตเลอร์และนาซีก็ได้นำฟาสซิสต์เข้าไปใช้ในเยอรมนี โดยยกเยอรมนีเป็นอาณาจักรไรซ์ที่ 3 และตัวของฮิตเลอร์ถูกยกขึ้นเป็นท่านผู้นำ ที่เรียกว่า ฟือเรอห์
เรียกได้ว่า เยอรมนีได้ถอดแบบมาจากอิตาลีเป๊ะๆเลยล่ะครับ...
และแล้วก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้นใน ค.ศ.1939 ซึ่งสงครามครั้งนี้จะทำให้เบนิโตได้รู้ครับว่า อิตาลีและตัวของเขาไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น...
ภาพจาก The Issue (นาซีเยอรมัน)
สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มขึ้นเมื่อเยอรมนีบุกโปแลนด์ ซึ่งฮิตเลอร์ก็ได้ชวนให้เบนิโตมาร่วมกับฝ่ายตัวเองแล้วประกาศสงครามกับอังกฤษกับฝรั่งเศสซะ!
แต่เบนิโตยังเฉยอยู่ครับ เพราะก็ยังหวั่นๆว่า “ฮิตเลอร์ เอ็งจะสู้ได้เรอะ!”
แต่เมื่อทัพเยอรมันสามารถบุกยึดทั่วยุโรปได้อย่างรวดเร็ว ที่แม้กระทั่งฝรั่งเศสยังต้องยอมสยบ เบนิโตจึงตาลุกวาวทันทีแล้วคิดว่า “เยอรมันชนะชัว” จึงตัดสินใจเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะและประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตรใน ค.ศ.1940
เบนิโตคิดไว้แล้วว่า “คราวนี้แหละ ชาติอื่นๆจะได้เห็นแสนยานุภาพที่เกรียงไกรของอิตาลีซักทีเหมือนที่พวกมันเคยสยบแทบเท้าต่อจักรวรรดิโรมันในอดีต!”
ว่าแล้ว จูเลียส ซีซาร์แห่งศตวรรษที่ 20 ก็ส่งทหาร 250,000 คน บุกลิเบียและอียิปต์ที่อังกฤษยึดครองอยู่ เพราะเห็นแล้วว่าอังกฤษคงยุ่งอยู่กับเยอรมัน เบนิโตจึงคิดว่า “ศึกครั้งนี้กล้วยๆ!”
แต่แล้วอังกฤษก็เปิดฉากโจมตีก่อนโดยที่ทหารอิตาลีไม่ทันตั้งตัว จนทัพของอังกฤษที่มีทหารเพียง 36,000 คน ได้ตีทัพของอิตาลีกว่า 250,000 คนแตกกระเจิง ทำให้ฮิตเลอร์ต้องส่งทัพเยอรมันมาช่วยทัพอิตาลีทางด้านนี้...
เบนิโตเสียหน้าในแอฟริกาเหนือ ก็อยากกู้หน้ากลับคืนมา เลยส่งกองทัพบุกกรีซ
แต่ผลคือ โดนทหารกรีกตีจนแตกกระเจิงถอยเข้ามาที่แอลเบเนียซะงั้น!
ฮิตเลอร์จึงต้องส่งทัพเยอรมันเข้ามาช่วยแล้วสามารถยึดกรีซสำเร็จในที่สุด (เยอรมันเนี่ยตัวแบกทีมสุดๆเลยนะครับ)
ถึงแม้จะเสียหน้าไปหลายต่อหลายครั้ง แต่เบนิโตก็ไม่ท้อถอย เมื่อฮิตเลอร์เปิดยุทธกาบาบารอสซาร์ สั่งกองทัพบุกโซเวียตใน ค.ศ.1941 เบนิโตก็ส่งกองกำลังบุกโซเวียตเช่นเดียวกัน!
ผลคือ ทัพอิตาลีแพ้อย่างราบคาบอีกตามเคย...
1
และคราวนี้ทัพเยอรมันก็ไม่สามารถช่วยได้แล้ว เพราะเมื่อเจอโซเวียต เยอรมันก็หืดขึ้นคอเหมือนกัน
เรียกได้ว่าเบนิโตนั้น ฝันไว้ใหญ่โตสุดๆ แต่ไม่ได้ดูศักยภาพของกองทัพอิตาลีว่ายังเป็นกองทัพที่ล้าหลังอยู่ รถถังก็ล้าสมัยตกรุ่นไปตั้งแต่ 5 ปีที่แล้ว เครื่องบินก็เป็นเครื่องบินในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ส่วนทหารอิตาลีก็ไม่ได้มีการฝึกซ้อมที่เพียงพอ เอาจริงๆคือ อิตาลีไม่มีความพร้อมในการเข้าร่วมสงครามเลยซักด้าน
ผลสุดท้าย คือ พ่ายแพ้แทบทุกสมรภูมิ ถึงกับมีการล้อกันว่าอาวุธของทหารอิตาลีคือไม้และผ้าขาว เมื่อเสียงปืนดังขึ้น ทหารอิตาลีก็จะใช้ผ้าขาวพันไม้แล้วยกขึ้นยอมแพ้...
และแล้วหายนะและความตกต่ำก็ได้มาเยือนเบนิโต เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรได้ยกพลขึ้นบกที่อิตาลี...
ภาพจาก FindingDucinea (การยอมแพ้ของทหารอิตาลีในสงครามโลกครั้งที่ 2
เบนิโตถูกต่อต้านจากประชาชนอย่างหนักว่า “พาพวกเขามาเจอกับอะไร ไหนล่ะจักรวรรดิโรมัน ไหนล่ะจูเลียส ซีซาร์ ตอนนี้ประเทศตกต่ำลงกว่าเดิมอีก!”
และสุดท้ายเบนิโตจึงโดนปลดออกจากตำแหน่งทั้งหมด แล้วถูกตำรวจลับเข้ารวบตัวนำไปขังไว้ในโรงแรมของแคว้นอาบูซโซ
แล้วรัฐบาลใหม่ของอิตาลีก็ลงนามยอมแพ้และหยุดยิงกับฝ่ายสัมพันธมิตรในวันที่ 3 กันยายน ค.ศ.1943
ทางด้านฮิตเลอร์เมื่อเห็นแบบนั้นแล้ว ก็ไม่ทิ้งเพื่อนซี้ให้ตายอย่างไร้ค่าอยู่อิตาลี โดยฮิตเลอร์ได้ส่งพลร่มเยอรมันไปชิงตัวเบนิโตออกมาจากที่คุมขังได้สำเร็จ!
2
เมื่อช่วยได้แล้วก็ตั้งให้เบนิโต เป็นผู้นำสาธารณรัฐซาโล ซึ่งเป็นดินแดนของอิตาลีที่เยอรมันยึดมาได้ เบนิโตก็อยู่ในอำนาจอย่างสุขสบายต่อไปรอวันที่จะหวนคืนสู่อิตาลี...
แต่แล้วเยอรมันก็เริ่มพ่ายแพ้ไปเรื่อยๆ จนไม่เห็นแววว่าจะพลิกกลับมาชนะได้เลย เบนิโตจึงตัดสินใจหนีไปสวิสเซอร์แลนด์ แต่ก็ไม่รอดครับ โดนจับตัวกลางทางซะก่อน...
แล้วในที่สุดเบนิโตก็ถูกตัดสินให้โดนประหาร...
สุดท้าย กระสุน 5 นัดได้เจาะเข้าไปในลำตัวของเบนิโต แต่ทว่าก็ยังไม่สามารถหยุดลมหายใจเขาได้ และถูกปล่อยให้ทรมานไปอีกพักใหญ่ๆ แล้วจึงโดนกระสุนนัดสุดท้ายเจาะเข้าที่หัวใจ
แต่ยังไม่หมดแค่นั้นครับ มันยังไม่จบง่ายๆ ศพของเบนิโตก็ถูกนำไปทิ้งไว้ที่กลางถนนเมืองมิลานให้ประชาชนเห็นกันจะๆ ว่าเป็นศพของเบนิโตจริงๆ
แล้วก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดครับ คือ ประชาชนพากันมาสาปแช่ง ถุยน้ำลาย เตะ ต่อย กระทืบ ใช้ไม้ตี หรือแม้กระทั่งยิงปืนซ้ำเข้าไป และสุดท้ายก็นำศพนั้นไปห้อยหัวประจาน!
ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าคนที่เคยเป็นดั่งฮีโร่ในตอนนั้น จะเป็นคนๆเดียวกับที่ประชาชนต่างเกลียดชังไปถึงขั้วหัวใจในตอนนี้...
1
ภาพจาก Antifa Ultras (การห้อยหัวประจานมุสโสลินีและพรรคพวก หมายเหตุ : ผมหาภาพที่ดูรุนแรงน้อยที่สุดแล้วนะครับ)
เรียกได้ว่า ชีวิตของเบนิโต มุสโสลินี ได้ผ่านสิ่งต่างๆมาอย่างโชกโชนทีเดียวครับ
สิ่งเหล่านั้นได้หล่อหลอมให้ตัวเขาเปลี่ยนจากแนวคิดหนึ่งไปอีกแนวคิดหนึ่ง
จนในที่สุดเขาได้สร้างสิ่งที่เรียกว่าฟาสซิสต์ขึ้นมา...
ฟาสซิสต์ที่ถือว่าชาติและผู้นำเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจ...
ฟาสซิสต์ที่ถือว่าอิตาลี คือ จักรวรรดิโรมัน และเบนิโต คือ จูเลียส ซีซาร์...
แต่ทว่า ฝันที่ไกลเกินเอื้อมของเบนิโตก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง...
อีกทั้งฝันนั้นก็ได้ฉุดกะชากตัวเขาลงจากบัลลังก์ของวีรบุรุษ...
พร้อมทั้งถูกเหยียบซ้ำด้วยความเกลียดชังไม่ต่างจากสุนัขข้างถนน...
และนี่ คือเรื่องราว “เบนิโต มุสโสลินี” เจ้าพ่อฟาสซิสต์ผู้อาภัพแห่งอิตาลี
ภาพจาก History 12
อ้างอิง
Mussolini, Benito. The Doctrine of Fascism, London : Howard Fertig, 2006.
Mussolini, Benito. My Autobiography The Political and Social Doctrine of Fascism, London : Dover Publication, 2006.

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา