27 พ.ค. 2020 เวลา 13:14 • ประวัติศาสตร์
“โจเซฟ สตาลิน” บุรุษที่ทั้งชีวิตเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
ท่านคงคุ้นเคยกับเรื่องราวการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุชาวยิวของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ในเยอรมนี
ท่านคงรู้จักเหตุการณ์ทุ่งสังหารและตวล สเลงของพอล พตในกัมพูชา
และท่านคงเคยได้ยินเรื่องราวนโยบายก้าวกระโดดไกลของเหมา เจ๋อตงในจีน ที่ทำให้คนตายกว่า 20 ล้านคน
เรื่องราวของผู้นำจอมโหดเหล่านี้โด่งดังและเป็นที่โจษจันในหน้าประวัติศาสตร์
แต่ ณ ที่นี้ผมจะพาทุกท่านไปรู้จักกับชายอีกคนหนึ่ง
ชายคนที่โหดเหี้ยมยิ่งกว่าฮิตเลอร์หรือพอลพต
ชายคนที่ใช้นโยบายที่ผิดพลาดยิ่งกว่าเหมา
ชายที่สร้างอาณาจักรแห่งความหวาดกลัวในการปกครองผู้คน
ชายที่ไม่เคยเชื่อใจใคร นอกจากตนเอง
1
การฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุ...
การสังหารหมู่...
การอุ้มฆ่าปิดปาก...
การใช้นโยบายที่ผิดพลาด...
ทุกเรื่องราวรวมอยู่ในตัวของชายคนนี้
ชายที่ชื่อว่า โจเซฟ สตาลิน
ทั้งชีวิตของเขา เต็มไปด้วยกลิ่นคาวของเลือด
โปรดนั่งลงเถิดครับ ผมจะเล่าเรื่องราวของชายคนนี้ให้ฟัง
ภาพจาก Color by Klimblim (โจเซฟ สตาลิน)
ทุกท่านคงคุ้นเคยกับชื่อ โจเซฟ สตาลิน แต่ชื่อนี้ถูกตั้งขึ้นมาภายหลัง ชื่อจริงๆของสตาลิน
คือ โยเซบ เบซารอโอนิส ดเซ จูกาชวิลลี (Ioseb Besarionis daze Jughashvili)
แต่ผมจะขอเรียกว่า โจเซฟ แล้วกันนะครับ
โจเซฟเกิดเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ.1878 ที่เมืองเล็กๆที่ชื่อว่า โกรี (Gori) ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ในเทือกเขาคอร์เคซัส ประเทศจอร์เจีย (ซึ่งในตอนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิรัสเซียครับ)
เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว สตาลินจึงถือว่าเป็นชาวจอร์เจียโดยกำเนิด
โจเซฟเป็นลูกชายคนเดียวของ เบซายอน จูกา ชวิลลี (Besarion Jughashvili) ซึ่งเป็นพ่อ และ อีคาทีรีนา เก้ก กิลลาดเซ (Ekaterina Keke Geladze) ซึ่งเป็นแม่
สมัยเด็กของโจเซฟบอกได้เลยครับว่าไม่ค่อยราบรื่นเท่าไหร่
เพราะพ่อของโจเซฟเป็นคนติดสุราและชอบทุบตีแม่ของโจเซฟเป็นประจำ
ซึ่งทุบตีแม่ไม่พอ ยังมาทุบตีโจเซฟอีกด้วย โดยมีครั้งหนึ่งที่โจเซฟโดนพ่อเอารองเท้าฟาดหน้าอย่างแรง ทำให้โจเซฟโกรธเกลียดพ่อของตัวเองอย่างมาก...
จนวันหนึ่งแม่ของโจเซฟทนไม่ไหวจึงพาโจเซฟหนีออกจากบ้านแล้วไปอยู่กับครอบครัวของเพื่อน โดยโจเซฟนั้นมีความผูกพันและอ่อนโยนกับแม่มาก
และเมื่ออายุได้ 12 ปี ความซวยก็มาเยือนโจเซฟอีกครั้ง โดยเขาได้รับอุบัติเหตุจากการถูกรถม้าชน! จนได้รับบาดเจ็บสาหัสเลยทีเดียวครับ อุบัติเหตุครั้งนี้นี่แหละที่ทำให้แขนซ้ายของ โจเซฟพิการตลอดชีวิต
อย่างไรก็ตามในวัยเด็กนั้นโจเซฟถือได้ว่าเป็นเด็กเรียนเลยทีเดียวครับ โดยมีพรสวรรค์ในการวาดภาพ แต่งบทกวี และศิลปการแสดง ถึงขนาดได้รับทุนการศึกษา เพราะผลการเรียนนั้นประสบความสำเร็จและได้คะแนนดีมาก
พรสวรรค์ด้านการเขียนบทกวีของโจเซฟถือว่าเป็นเลิศที่สุด ขนาดที่หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นได้นำบทกวีของโจเซฟไปตีพิมพ์
น่าแปลกใจนะครับ เด็กชายที่อ่อนโยน ใจเย็น มีความเป็นศิลปินสูง จะกลายเป็นคนเหี้ยมโหดไปได้อย่างไรกัน และที่น่าแปลกใจยิ่งกว่าคือ ชีวิตในวัยเด็กของโจเซฟ สตาลิน กลับคล้ายคลึงชีวิตวัยเด็กของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์อย่างมาก!!
1
ทั้งสองคนมีพ่อที่ชอบทำร้ายแม่เหมือนกัน
ทั้งสองคนมีความผูกพันกับแม่สูงมากเหมือนกัน
และทั้งสองมีพรสวรรค์ด้านศิลปะเหมือนๆกัน!!
ภาพจาก The Moscow Times (โจเซฟ สตาลินและอดอล์ฟ ฮิตเลอร์)
วันเวลาผ่านไป โจเซฟได้เติบโตจนเป็นวัยรุ่น โดยแม่ของโจเซฟนั้นต้องการให้โจเซฟบวชเป็นพระ เธอจึงส่งลูกเข้าไปเรียนในโรงเรียนสอนนักบวช
แต่โจเซฟในช่วงวัยรุ่นนั้น ฮอร์โมนสูบฉีดพลุ่งพล่านสูง กลายเป็นชายวัยกลัดมัน อารมณ์แปรปรวน จากเคยเป็นเด็กที่ชอบเรียน ชอบเขียนบทกวี กลายมาเป็นวัยรุ่นที่เกเร ชอบชกต่อยกับคนอื่นไปทั่ว
ชีวิตในโรงเรียนสอนนักบวชของโจเซฟนั้นถือว่าย่ำแย่มาก เขาไม่สนใจเรียน ผลการเรียนตกต่ำ แต่มีสิ่งหนึ่งที่โจเซฟได้รับจากโรงเรียนสอนนักบวช คือ การได้อ่านหนังสือ Das Kapital ของคาร์ล มาร์กซ์ โดยหนังสือเล่มนี้ถูกนำมาเผยแพร่โดยพรรคบอลเชวิคในขณะนั้น
1
โดย Das Kapital เป็นการวิจารณ์ความเลวร้ายของทุนนิยมและนายทุน พูดถึงชนชั้นแรงงานที่ต้องลุกขึ้นมาปฏิวัติเท่านั้น แนวคิดของหนังสือเล่มนี้ไปโดนใจโจเซฟเข้าอย่างจัง กลายเป็นว่าการอยู่ในโรงเรียนสอนนักบวช โจเซฟสนใจอ่านหนังสือของคาร์ล มาร์กซ์มากกว่าคัมภีร์ไบเบิลซะอีก...
ภาพจาก Socialist Worker (โจเซฟ สตาลินในช่วงวัยรุ่น)
เมื่อโจเซฟศึกษาแนวคิดของคาร์ล มาร์กซ์มากเข้าๆ เขาจึงตัดสินใจครั้งใหญ่ว่า
“ไม่เรียนมันแล้วโรงเรียนสอนนักบวช” ว่าแล้วก็หนีออกจากโรงเรียนนักบวชแล้วตามรอยอุดมการณ์อันแรงกล้าของความเป็นวัยรุ่นในช่วงฮอร์โมนพลุ่งพล่านไปเข้าร่วมกับกลุ่มคอมมิวนิสต์ในจอร์เจีย
โจเซฟทำงานอยู่กับพรรคคอมมิวนิสน์ในจอร์เจียอยู่หลายปีครับ จนกระทั่งไต่เต้าจนสามารถเข้าร่วมกับพรรคบอลเชวิกของวลาดิเมียร์ เลนินได้ในที่สุด
อย่างที่ผมได้เล่าไปแล้วครับว่า พรสวรรค์ของโจเซฟคือการเขียน ทำให้เลนินถูกใจเขาอย่างมาก ถึงขนาดให้เป็นผู้เขียนหนังสือพิมพ์ของพรรคที่ชื่อว่า ปราฟดา เพื่อเผยแพร่แนวคิดของคอมมิวนิสต์
แค่เขียนหนังสือพิมพ์ ยังไม่พอสำหรับโจเซฟ เขาต้องการทำอย่างอื่นเพื่อพรรคบอลเชวิกด้วย นั่นคือการทำงานสกปรกต่างๆนานา ไม่ว่าจะเป็นการระดมทุน การลักขโมย การจับตัวประกันเรียกค่าไถ่ ที่หนักที่สุดถึงขนาดปล้นธนาคารในเมืองตัวเอง โดยสิ่งที่โจเซฟทำทั้งหมดนั้นเพื่อที่จะนำเงินทุนเข้ามาสนับสนุนพรรคบอลเชวิก
แต่แล้วในที่สุดโจเซฟก็โดนรัฐบาลจับตัวได้แล้วถูกเนรเทศไปอยู่ที่ไซบีเรีย จากการอยู่ที่ไซบีเรียนี่แหละครับ ทำให้โจเซฟกลายเป็นคนที่หวาดระแวง ไม่เชื่อใจใครอีกเลยนอกจากตัวเอง ถึงกับเขียนถึงช่วงเวลาที่ตนเองอยู่ไซบีเรียนี่แหละครับว่า
1
“พวกหัวขโมยที่อยู่ในไซบีเรียล้วนแต่เป็นคนที่เชื่อถือได้ ต่างจากพวกคนชั้นสูงที่ถูกส่งมาที่นี่ ที่ทำตัวน่ารังเกียจราวกับหนู”
ในระหว่างที่โจเซฟถูกส่งไปไซบีเรีย พรรคบอลเชวิกก็สามารถปฏิวัติยึดอำนาจโค่นล้มราชวงศ์โรมานอฟสำเร็จใน ค.ศ.1917 แต่ถึงจะโค่นล้มระบอบกษัตริย์ลงแล้ว พรรคบอลเชวิกก็ยังไม่สามารถกุมอำนาจไว้ที่ตนเองได้ เพราะต้องทำสงครามกลางเมืองกับฝ่ายนิยมกษัตริย์ที่ยังหลงเหลืออยู่ในประเทศ
ภาพจาก The Tyee (การปฏิวัติรัสเซีย ที่นำโดยเลนิน)
เลนินจึงได้นำโจเซฟกลับมาจากไซบีเรีย แล้วส่งไปยังเมืองซาริซิน (Tsaritsyn) ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของรัสเซีย เพื่อเป็นฝ่ายรวบรวมเสบียงอาหาร
1
แน่นอนครับว่าโจเซฟได้ทำเกินหน้าที่ที่ตนเองได้รับ เขาต้องการพิสูจน์ตัวเองให้พรรคเห็นว่า “ข้านี่แหละของจริง!” โดยการตั้งตัวเองเป็นผู้บัญชาการหน่วยทหารราบเมืองซาริซิน แล้วนำกองทัพเข้าห้ำหั่นกับฝ่ายศัตรู!
กลยุทธ์ของโจเซฟไม่มีอะไรมากครับ แค่เอาทหารฝ่ายตัวเองที่มีจำนวนมากกว่าโถมเข้าสู้ก็พอ ตายเท่าไหร่ช่างมัน แค่ผลลัพธ์ออกมาชนะ ซึ่งเป็นวิธีการรบที่เรียกว่า ยุทธวิธีคลื่นมนุษย์ (Human wave) โดยวิธีนี้ในอนาคตข้างหน้าโจเซฟจะใช้บ่อยมากในการต่อกรกับทหารเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2
ผลการรบถึงแม้จะได้รับชัยชนะ (เพราะคนเยอะกว่าหลายเท่า) แต่โจเซฟสูญเสียทหารจำนวนมหาศาล เรื่องนี้รู้ไปถึงหูของเลนิน ทำให้เลนินไม่พอใจกับการสูญเสียทหารไปขนาดนี้แล้วคิดว่า “ไอ้นี่มันบ้าบิ่นมากๆ” แต่ก็ให้โจเซฟปกครองเมืองซาริซินต่อไป
1
ภาพจาก Military Wikia (การรบที่เมืองซาริซิน)
ความโหดในการปกครองของโจเซฟได้เริ่มขึ้นที่เมืองซาริซินนี่แหละครับ
โจเซฟจับผู้ที่ต้องสงสัยว่าต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์มาประหารจนเหี้ยน โดยไม่ได้ไต่สวนสืบสวน (พูดง่ายๆคือใช้วิธีเดาสุ่มนั่นแหละครับ)
ทั้งยังไปมีปัญหากับนายทุน เจ้าของที่ดิน และชนชั้นกลางในเมือง...
โจเซฟแก้ปัญหาอย่างง่ายๆครับ คือการจับคนที่มีปัญหามาประหาร เป็นอันจบปัญหา!!..
1
เรียกได้ว่าฆ่าคนเป็นผักปลาไม่สนว่าใครเป็นใคร มีปัญหากับตู เอ็งตายลูกเดียว!!
การปกครองของโจเซฟในซาริซินเป็นการอุ่นเครื่องสำหรับการปกครองสิ่งที่ใหญ่กว่าในอนาคตอย่างสหภาพโซเวียต ซึ่งรับรองได้ว่าความโหดในเมืองซาริซินเทียบไม่ติดฝุ่น...
สงครามกลางเมืองสิ้นสุดลงใน ค.ศ.1919 พรรคบอลเชวิคกุมอำนาจประเทศ เลนินได้เป็นผู้นำ ส่วนโจเซฟก็มีการสั่งฆ่าคนไปเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน จนใน ค.ศ.1922 โจเซฟก็ได้เลื่อนขึ้นมาเป็นเลขาธิการพรรค (เรียกได้ว่าฆ่าคนจนได้เป็นใหญ่เป็นโต)
ถึงแม้ว่าเลนินจะยอมรับผลงานของโจเซฟที่ได้ทำให้พรรค แต่ลึกๆในใจก็รู้สึกกลัวและหวั่นเกรงชายโจเซฟ และไม่ยอมรับในการที่โจเซฟจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำต่อจากเขา เลนินคิดว่า โจเซฟไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำเพราะเห็นตัวอย่างการปกครองที่เมืองซาริซิน เลนินถึงกับพูดว่า “สตาลินเป็นคนไร้การศึกษา เรียนไม่จบ อีกทั้งไม่ใช่คนที่ฉลาด” เลนินจึงสนับสนุนเลออน ทรอตสกี้ให้ขึ้นเป็นผู้นำต่อจากตนเองมากกว่า ทำให้มีการกระทบกระทั่งขัดแย้งระหว่าง เลนินกับโจเซฟที่เพิ่มมากขึ้นๆ
จนใน ค.ศ.1922 เลนินก็ดันเสียชีวิตลง ทีนี้เสี้ยนทางขวางอำนาจของโจเซฟจึงเหลือเพียงคนเดียวเท่านั้น คือ เลออน ทรอตสกี้ โจเซฟจึงกดดันและกำจัดอำนาจทางการเมืองฝ่ายของ. ทรอตสกี้จนหมดสิ้น ทำให้ทรอตสกี้ต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปเม็กซิโก
2
ยังไม่จบแค่นั้นครับ โจเซฟคิดว่า “ตีงูต้องตีให้ตาย มันจะได้ไม่กลับมาแว้งกัดเราได้ในภายหลัง” เขาจึงส่งหน่วยลับไปลอบสังหารทรอตสกี้ที่เม็กซิโก จบชีวิตผู้ที่เลนินไว้ใจอย่างอเนจอนาถ...
1
ภาพจาก Culture Trip (สตาลิน เลนิน และทรอตสกี้)
ในที่สุดสิ่งที่เลนินกลัวมากที่สุดก็เกิดขึ้นครับ โจเซฟก้าวขึ้นสู่อำนาจเป็นผู้นำของสหภาพโซเวียต มหากาพย์การปกครองอันโหดเหี้ยมในยุคสตาลินจึงเริ่มขึ้น ณ บัดนั้น
เมื่อโจเซฟขึ้นสู่อำนาจ เขาต้องการเปลี่ยนโซเวียตให้กลายเป็นคอมมิวนิสต์อย่างเต็มรูปแบบ ประกาศว่าศาสนาเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย สิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชนต้องเป็นตัวของ. โจเซฟเท่านั้น ก็คือโจเซฟจะรับบทเป็นพระเจ้าให้กับประชาชนเอง
ยังไม่พอ เขาได้นำระบบคอมมูนเข้ามาใช้ ห้ามใครมีทรัพย์สินส่วนตัว ทรัพย์สินทุกอย่างเป็นของรัฐ การปกครองของโจเซฟทำให้เศรษฐกิจของโซเวียตตกต่ำลงอย่างมาก บวกกับเจอเหตุการณ์เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก (Great Depression) เข้าไปอีก ผู้คนตายด้วยภาวะอดอยากจากการใช้นโยบายของโจเซฟไปมหาศาล และทวีความรุนแรงมากขึ้นเมื่อเข้าฤดูหนาว
แน่นอนครับว่าต้องมีคนไม่พอใจแล้วพากันลุกฮือขึ้นมาประท้วงต่อต้าน
1
แต่ทุกท่านน่าจะทายถูกว่าโจเซฟจะทำอย่างไร...
เมื่อคนเกิดมีปัญหาขึ้นมา ง่ายๆก็คือฆ่าซะ ปัญหาเป็นอันจบ!!
โจเซฟสั่งการให้ถล่มสังหารหมู่ผู้ที่ไม่พอใจแล้วทำการประท้วงการปกครองของเขาอย่างโหดเหี้ยม
ว่ากันว่าในช่วง ค.ศ.1932-1933 นั้น มีจำนวนประชาชนที่เสียชีวิตกว่า 7 ล้านคน จากความอดอยากและการสังหารหมู่ของโจเซฟ
ภาพจาก Wikipedia (การปกครองของสตาลิน)
ไม่ใช่แค่ประชาชนเท่านั้นที่โดนโจเซฟสังหารหมู่ แต่เหล่าผู้นำที่โจเซฟหวาดระแวง (ไปเอง) ว่าจะเลื่อยขาเก้าอี้ของเขา ถูกอุ้มฆ่าลอบสังหารไปนับไม่ถ้วน
โดยเฉพาะการมีคำสั่งที่ 00447 คือเป็นการจับกุมผู้ที่โจเซฟเห็นว่าจะเป็นภัยต่อตัวเอง โดยในคำสั่งมีรายชื่อกว่า 2 แสนราย ในจำนวนนี้ แสนกว่าคนถูกจำคุก นำไปใช้แรงงานทาสอย่างทารุณ เนรเทศไปไซบีเรีย และอีก 7 หมื่นกว่าคน ถูกประหารชีวิต!! เรียกได้ว่า โคตะระโหดสุดๆไปเลยล่ะครับ!!..
ภาพจาก Peta Pixel (การลบบุคคลของสตาลิน ที่ไม่ได้ลบแค่ชีวิตตัวบุคคล แต่ลบทุกอย่างที่เป็นตัวตนของคนๆนั้นไม่เว้นรูปถ่าย)
ความโหดและความบ้าเลือดของโจเซฟยังไม่หมดเพียงเท่านี้ครับ เขาได้ออกคำสั่งที่เรียกว่า “National Operation” คือ การส่งทหารไปกวาดล้างชาติพันธุ์ในโซเวียตที่ไม่ใช่ชาวรัสเซีย ให้หมดไปจากแผ่นดินโซเวียต ไม่ว่าจะเป็น ชาวโปแลนด์ ชาวฟินแลนด์ ชาวจีน ชาวเกาหลี ชาวเยอรมัน ฯลฯ ล้วนโดนหมดสำหรับคนที่ไม่ใช่รัสเซีย (แต่ได้ยินว่าท่านผู้นำที่เป็นคนสั่งก็ไม่ใช่คนรัสเซีย แต่เป็นคนจอร์เจียนะครับ แหะๆ...)
1
โดยเป็นการกวาดล้างครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการจับกุม ขับไล่ ส่งไปไซบีเรีย หรือกระทั่งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ โดยมีการคาดการณ์กันว่ากว่า 1.6 ล้านคนที่ถูกจับ ในจำนวนนี้กว่า 7 แสนคนถูกสั่งให้ยิงเป้า แต่นี่เป็นเพียงการคาดการณ์เท่านั้น ตัวเลขจริงๆอาจจะมีจำนวนมากกว่านี้หลายเท่า ก็ไม่มีใครรู้ได้
ระหว่างที่โจเซฟวุ่นอยู่กับการสังหารหมู่อยู่นั้น ก็ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้น นั่นคือ สงครามโลกครั้งที่ 2...
1
ภาพจาก The Economist (การส่งคนไปใช้แรงงานของสตาลิน)
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 โจเซฟพยายามทำสัญญาเป็นมิตรกับเยอรมนี เพราะไม่อยากเจอศึก 2 ด้าน คือเยอรมนีกับญี่ปุ่น
โดยโจเซฟรู้ดีว่าอังกฤษกับฝรั่งเศสไม่จับมือกับตัวเองแน่นอน จนในที่สุดโซเวียตก็ทำสัญญาไม่รุกรานกันกับเยอรมนีได้สำเร็จ แต่โจเซฟหารู้ไม่ว่า ฮิตเลอร์ไม่ได้มองโซเวียตเป็นมิตรตั้งแต่แรก เพียงแค่ทำสัญญาไว้เพื่อไม่ให้เยอรมนี้เจอศึก 2 ด้านเพียงเท่านั้น
สิ่งที่สร้างความตกใจให้กับโจเซฟเป็นอย่างมากคือ เยอรมนีพิชิตยุโรปได้อย่างรวดเร็ว จนในที่สุดสามารถยึดครองฝรั่งเศสได้ และหลังจากนั้นเยอรมนีก็ได้ลงนามในสนธิสัญญาสามฝ่ายระหว่าง เยอรมนี ญี่ปุ่น และอิตาลี กลายเป็นฝ่ายอักษะ โจเซฟเห็นแบบนั้นแล้วจึงพยายามขอเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ แต่ฮิตเลอร์กลับตอบมาว่า “อย่าหวัง!”
1
โจเซฟคิดแล้วว่า ฮิตเลอร์ต้องบุกโซเวียตแน่นอนไม่วันใดก็วันหนึ่ง เขาจึงพยายามทำสัญญาเป็นกลางกับญี่ปุ่น เพื่อไม่ให้รับศึกสองด้าน (พากันทำสัญญาอีลุงตุงนังชวนสับสนไปหมดเลยนะครับเนี่ย ไม่รู้ว่าใครเป็นฝ่ายใคร ไว้ใจใครไม่ได้เลย...)
1
แล้วสิ่งที่โจเซฟคิดก็เกิดขึ้น ฮิตเลอร์เปิดยุทธการบาบารอสซาร์ นำทัพบุกโซเวียต การบุกของเยอรมันนั้นรวดเร็ว รุนแรง เด็ดขาดมาก จนทำให้โจเซฟหวาดกลัว
1
โจเซฟแปลกใจมากว่าทำไมเหล่าทหารนายพลของตัวเองถึงกระจอกงอกง่อยขนาดนี้ แพ้ทหารเยอรมันอย่างย่อยยับ (ก็คนเก่งๆถูกลุงสั่งเก็บไปหมดแล้วไงครับ...)
โจเซฟเริ่มหมดสิ้นหนทาง เมื่อทหารเยอรมันรุกใกล้เมืองหลวงเข้ามาเรื่อยๆ เขาจึงทำเหมือนกับที่จักรวรรดิรัสเซียเคยทำกับกองทัพของนโปเลียนในอดีต
นั่นก็คือ การสั่งเผาทำลายคลังเสบียง อาคารบ้านเรือนของเมืองที่กองทัพเยอรมันกำลังจะเดินทางมาถึงเพื่อยึดครอง เป็นการตัดกำลังของกองทัพเยอรมัน เพราะเชื่อว่าด้วยสภาพอากาศในฤดูหนาวที่โหดสุดๆของโซเวียตและสภาพภูมิประเทศที่กว้างใหญ่ไพศาล จะทำให้กองทัพเยอรมันเจออุปสรรค ขาดเสบียง เข้าข่ายว่า “ไหนๆก็จะถูกยึดอยู่แล้ว งั้นข้าเล่นทำลายเมืองตัวเองทิ้งดีกว่าจะตกไปอยู่ในมือของฝ่ายตรงข้าม” วิธีนี้ถึงแม้จะทำให้ทหารเยอรมันลำบากก็จริง แต่บ้านเรือนทรัพย์สินของประชาชนในเมืองนั้นถูกทำลายเสียหายมหาศาล เพราะเป็นการทำลายอย่างไม่เลือกหน้า แน่นอนก็ยังมีคนที่ไม่พอใจ โจเซฟก็สั่งเก็บไปตามระเบียบ...
1
ภาพจาก The Boardgaming Life (ความโหดร้ายของฤดูหนาวในโซเวียตที่กองทัพเยอรมันต้องเจอ)
โจเซฟออกคำสั่ง 270 ให้ตั้งหน่วยทหารโซเวียต พร้อมกับนำนักโทษที่ถูกจับในคุกออกมาจับปืนสู้ โดยใช้วิธีเดียวกับที่โจเซฟเคยใช้ที่เมืองซาริซิน คือยุทธวิธีแบบคลื่นมนุษย์ เอาจำนวนวิ่งเข้าใส่ โดยโจเซฟได้สั่งกองทัพแดงว่า ห้ามถอยอย่างเด็ดขาด พร้อมกับสั่งพวกนายพลที่คุมทหารว่า ใครที่กลัวแล้วถอยกลับมาให้ยิงทิ้งให้หมด!!
กองทัพแดงได้ต้านกองทัพเยอรมันอย่างสุดชีวิต แต่แล้วในที่สุดแม้จะลำบากแค่ไหนทัพเยอรมันก็เดินทางมาจนถึงมอสโก โดยฮิตเลอร์สั่งให้เครื่องบินทิ้งระเบิดเมืองอย่างหนัก เหล่าผู้นำเสนอว่าควรย้ายฐานบัญชาการจากมอสโกไปที่อื่น แต่โจเซฟได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า “ตูจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ตูจะอยู่ที่นี่ ตายเป็นตาย!!”
โจเซฟรู้ดีว่า ประชาชนนั้นเกลียดตัวเขาเองขนาดไหน (ยังดีที่รู้) เขาจึงใช้การปลุกระดมให้ทหารโซเวียตสวนสนามปลุกใจประชาชนให้ปกป้องแผ่นดินรัสเซีย แทนที่จะบอกว่าให้ปกป้องตัวของเขาเอง
1
การป้องกันเมืองอย่างห้าวหาญ บ้าดีเดือดของกองทัพแดง ฤดูหนาวสุดโหดของโซเวียต บวกกับฮิตเลอร์แบ่งกำลังไปบุกยึดเมืองสตาลินกราด ทำให้ทัพเยอรมันไม่สามารถยึดมอสโกได้สำเร็จ อีกทั้งทัพที่ส่งไปสตาลินกราดก็ถูกกองทัพคนมหาศาลของโซเวียตตีแตก ทัพเยอรมันไม่สามารถต้านทานกำลังคนมหาศาลของกองทัพแดงที่วิ่งเข้าใส่แบบคลื่นมนุษย์อย่างไม่กลัวตาย (แน่ล่ะ เพราะถ้าวิ่งกลับก็ต้องตายอยู่ดี) ในที่สุดน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ เยอรมนีไม่สามารถยึดทั้งมอสโกและสตาลินกราดได้ ในการรบนี้มีคนเสียชีวิตมหาศาล โดยเฉพาะที่สตาลิน กราด ที่มีคนเสียชีวิตกว่า 2 ล้านคน และส่วนใหญ่เป็นทหารโซเวียต!..
1
โจเซฟเมื่อเห็นทัพเยอรมันพลาดท่า จึงสบโอกาสทำการรุกตีกลับไปเรื่อยๆ ความอ่อนล้าของทัพเยอรมันไม่สามารถต้านทานจำนวนคนมหาศาลของกองทัพแดงได้ จนในที่สุดกองทัพแดงก็สามารถตีกลับทัพเยอรมันแล้วบุกยึดกรุงเบอร์ลินได้ ทำให้เยอรมนีประกาศยอมแพ้สงครามไปในที่สุด จากการยึดเบอร์ลินได้ทำให้โซเวียตเข้าไปมีอิทธิพลในเยอรมนี แล้วแบ่งเยอรมนีออกเป็นสองส่วนในภายหลังนั่นเองครับ
ภาพจาก Radio Free Europe (ทหารโซเวียตปักธงบนอาคารัฐสภาเยอรมนีเพื่อแสดงชัยชนะใน ค.ศ.1945)
ยังไม่พอแค่นั้น โจเซฟไม่ได้ต้องการแค่มีอิทธิพลในเยอรมนี แต่เขาต้องการมีอิทธิพลในญี่ปุ่นด้วย เมื่อเยอรมนีประกาศยอมแพ้ไปแล้ว โจเซฟจึงสั่งกองทัพบุกญี่ปุ่นต่อ โดยเข้าโจมตีแมนจูเรียแล้วกองทัพแดงก็สามารถพิชิตกองทัพญี่ปุ่นได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นแบบนั้นแล้ว สหรัฐอเมริกาไม่ต้องการให้โซเวียตเข้าไปมีอิทธิพลในญี่ปุ่น จึงต้องใช้วิธีที่ทำให้ญี่ปุ่นยอมแพ้โดยเร็วที่สุด ก่อนที่กองทัพโซเวียตจะบุกขึ้นแผ่นดินแม่ของญี่ปุ่น นั่นคือ การทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมาและนางาซากินั่นเองครับ จนญี่ปุ่นยอมแพ้ไปก่อนที่ทัพโซเวียตจะบุกขึ้นแผ่นดินแม่ โจเซฟที่หวังจะมีอิทธิพลในญี่ปุ่นเหมือนในเยอรมนีก็แห้วไปในที่สุด...
3
เรื่องราวความโหดของโจเซฟยังไม่จบเพียงเท่านี้ครับ หลังสงครามโลกสิ้นสุดลง โจเซฟได้สั่งเก็บทหารคนสำคัญที่ช่วยต่อต้านทัพเยอรมันที่เมืองเลนินกราดกว่า 2,000 คน โดยเฉพาะ อังเดร อิสดานอฟ (Andrei Zhdanov) และ อเล็กซี คุยเนียตชอฟ (Alexey Kuznetsov) เพราะทั้งสองคนมีบทบาทในการป้องกันทัพเยอรมันอย่างมาก ถึงขนาดกลายเป็นวีรบุรุษของชาวเมือง โจเซฟเห็นว่า “พวกเอ็งจะเก่งเกินหน้าเกินตาไปแล้ว” ด้วยความหวาดระแวงว่าพวกนี้จะมีอำนาจขึ้นมา เลยสั่งเก็บซะ! โดยการจับทั้งสองคนไปทรมานแล้วฆ่าแบบไม่ให้ชาวเมืองรู้ จากนั้นนำศพไปฝังไว้ในโบสถ์ใจกลางเมืองรวมกับศพอื่นๆ...
1
ภาพจาก polithistory (อเล็กซี คุยเนียตชอฟและอังเดร อิสดานอฟ)
และหลังสงครามโลก โจเซฟยังได้สั่งกองทัพเข้ายึดยุโรปตะวันออก ทำให้เกิดการแบ่งยุโรปออกเป็นสองส่วน เกิดสงครามครั้งใหม่ คือ “สงครามเย็น” แล้วตั้งกลุ่มสนธิสัญญาวอร์ซอขึ้นมา โดยจะเริ่มเป็นการเข้าสู่ช่วงของการเป็นมหาอำนาจคู่กับสหรัฐอเมริกา
ในช่วงต้นทศวรรษ 1950 วาระสุดท้ายของโจเซฟเริ่มใกล้มาถึง สุขภาพของโจเซฟย่ำแย่ลง แต่ความโหดกลับไม่ได้ลดลงเลย มีการสั่งจำคุกและประหารแพทย์ เพราะแพทย์คนนั้นแนะนำว่า ควรลงจากตำแหน่งเพื่อมารักษาสุขภาพ... หลังจากนั้นพบว่ามีแพทย์หลายคนถูกสั่งเก็บโดยเฉพาะแพทย์ที่เป็นยิว
2
และแล้วในที่สุดวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ.1953 โจเซฟก็เสียชีวิตจากการมีเลือดคั่งในสมอง ด้วยวัย 74 ปี ถือเป็นการจบตำนานของผู้นำที่กล่าวได้ว่าโคตะระโหดสุดๆของโลก
เรื่องที่โจเซฟ สตาลินได้ทำเอาไว้ ถูกเปิดเผยออกมาในภายหลัง
แต่อย่างไรก็ตาม ผู้คนมักจะจำภาพของผู้นำเผด็จการจอมโหดอย่างอดอล์ฟ ฮิตเลอร์มากกว่าจะจำภาพของโจเซฟ สตาลิน ที่โหดไม่แพ้กัน (เอาจริงๆโหดกว่าฮิตเลอร์ซะด้วยซ้ำ)
ที่เป็นแบบนี้เพราะเพียงแค่เหตุผลเดียวเท่านั้น คือ ฮิตเลอร์เป็นผู้แพ้สงคราม แต่สตาลินเป็นผู้ชนะสงคราม
1
ผู้แพ้ไม่มีสิทธิ์เขียนเรื่องดีๆของตัวเอง และไม่มีสิทธิ์ซุกซ่อนเรื่องแย่ๆของตัวเองด้วย
แต่ผู้ชนะมีสิทธิ์เขียนเรื่องดีๆของตัวเอง และมีสิทธิ์ซุกซ่อนเรื่องแย่ๆไว้ใต้พรม
และนี่คือเรื่องราวของผู้นำที่ทั้งชีวิตเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
โจเซฟ สตาลิน...
ภาพจาก The Soviet wiki

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา