29 มิ.ย. 2020 เวลา 15:54 • ธุรกิจ
เราเตรียมตัวรับมือเมื่อ "อเมริกา" และ "จีน" แตกหักกันอย่างไร ?
อันนี้ขอย่อยจากบทความของ Harvard Business Review (HBR) มาให้เพื่อนๆอ่านกัน
ต้องแอบบอกว่าหลังจากที่อ่านเสร็จก็รู้สึกว่า สำนักพิมพ์ HBR เค้าค่อนข้างเอียงไปทางอเมริกาอยู่มาก (อ้าวก็แน่ละ Harvard 5555)
แต่เราจะพยายามย่อยข้อมูลออกมาให้เป็นกลาง และการดึงข้อมูลจากแหล่งอื่นๆมาเสริม
อย่างที่เพื่อนๆทราบดีกันอยู่แล้วเนอะ ถึงสถานการณ์ ความตรึงเครียดระหว่าง 2 ประเทศนี้ ที่เริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ จนเรียกได้ว่า เป็น Cold War เลยละ
และก็เป็นอย่างที่กูรูหลายๆท่านคาดการณ์คือ หลังจากก่อนผ่อนคลายในเรื่องของ Covid ก็มีอะไรหลายๆอย่างได้กลับคืนมา ก็เช่นเดียวกันกับ การทะเลาะกันของ พี่เมกาและพี่จีนนี้และจ้า
แต่เรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นกันมาแค่ 2-3 ปีนะ แต่ความตรึงเครียดนี้ค่อยๆก่อตัวขึ้นเรื่อยๆมามากกว่า 10 ปีแล้ว จนกระทั่งมาถึงยุคของทรัมป์นี้ละ
โดยเศรษฐกิจของอเมริกาเคยรุ่งเรืองในจุดที่สูงที่สุดคือ ปี 2007 ก่อนที่จะค่อยๆร่วงหล่นมาเรื่อยๆเกือบ 70% ในปี 2018 (อ้างอิงจาก Worldbank)
จนเรื่องราวเริ่มมาหนักขึ้นเรื่อยๆก็ตอนที่ จีน กับ ฮ่องกง และ “one country, two systems" ที่คนจีนเริ่มเรียกถึงคนฮ่องกงและมาเก๊า
และก็ด้วยเหตุผลที่ อเมริกาเองก็แอบสนับสนุนฮ่องกงอยู่ด้วย
เรามาดูกับ 4 สิ่งที่ต้องเตรียมพร้อม ถ้าพวกพี่ทั้ง 2 เกิดแตกหักกันขึ้นมาแบบบังคับใช้กฏฟหมาย หรือ สงครามเย็นของจริง
1. ระวังในเรื่องของการมีบทบาททางธุรกิจที่เชื่อมกับ อเมริกา และ จีน รวมถึง "ฮ่องกง Hong Kong"
- ทำไมถึงให้ระวังฮ่องกง ก็เพราะว่า ตอนนี้ประเทศนี้กำลังเป็นตัวกลางชนวนศึกของทั้ง 2 ประเทศ
- ถึงแม้ว่าอเมริกาจะเริ่มแสดงการขมขู่จีนโดยการสนับสนุนฮ่องกง
- แต่ว่าเพื่อนๆอย่าลืมนะว่าตอนนี้ประเทศฮ่องกง ยังคงเป็น 1 ใน Republic of China และตรงนี้ละที่พีคคือ กฏหมายต่างๆ Rule of Law จะต้องเป็นตามของประเทศจีน
- เพราะงั้นเราว่า ก่อนจะถึงจุดพีคของการแตกหัก เราคิดว่า ฮ่องกงน่าจะได้รับผลกระทบก่อนเพื่อนๆเลย
- การทำธุรกิจในฮ่องกง บริษัทควรจะต้องเตรียมพร้อม แผนสำรอง หรือ Contingency plans
- แน่นอนว่าคนที่ไหวตัวเรื่องนี้ก่อน ก็ไม่พ้นบริษัทสัญชาติอเมริกัน ที่กำลังระแวงเรื่องของ national security law ในฮ่องกง และเกือบ 60% เชื่อว่าธุรกิจของตัวเองที่อยู่ในฮ่องกง หรือเกี่ยวข้องจะโดนกระทบอย่างแน่นอน
2. ระวังเรื่อง Supply Chain ต่างๆ ที่จะต้องเกี่ยวข้อง หรือ ผ่าน 3 ประเทศ จีน ฮ่องกง และอเมริกา
- อย่างที่เรารู้กันเนอะว่า Supply chain/Logistics เนี่ย เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในอุตสาหกรรมการผลิต และ เกิน 70% ต้องพึ่งแรงการผลิต หรือ การขนส่ง จากจีน
- ตัวอย่างเช่นบริษัทอเมริกาที่โดนผลกระทบเนื่องจาก เคยมีแรงการผลิตหรือการบริการอยู่ที่ จีน เช่น Apple, Google, Microsoft
- ถามว่าการที่เค้าย้ายมา เวียดนาม กับจีน ยังน่ากลัวอยู่ไม๊ ?
เราว่าการที่เค้าเลือกมาประเทศที่ยังไม่มีจุดยืนแน่ชัด และยังเลือกเหยียบเรือข้างใดข้างงนึงไม่ได้เนี่ย มีความเสี่ยงนะ (ต่อให้เลือกแล้วนี่ยิ่งชัดเลย)
- เข้าใจว่าในส่วนของค่า operation ของบริษัทอเมริกัน อาจจะเพิ่มขึ้น หรือ บริษัทเพื่อนๆที่มีการประกอบในจีน หรือ อเมริกา เพราะจำเป็นที่ต้องย้ายฐานการผลิต หรือ ประเทศที่ใช้ในการขนส่ง เป็นกลุ่มประเทศที่มความ Safe และไม่ได้เป็น Host
นั้นคือ ประเทศนั้นๆอาจไม่ได้มีทำเลที่ดี สำหรับการขนส่งนั้นเอง เช่น India หรือ Mexico (โดย Apple ก็ย้ายฐานผลิตหลักของ เอเชีย ไปอยู่ที่ India)
3. พิจารณาในเรื่องของการศึกษาต่อ และการทำงานบริษัทของ อเมริกา และ จีน
- โดยเฉพาะอเมริกา ที่อาจจะเหมารวมพวกเราเป็นเหมือนคนจีนไปด้วย
- หรือถ้าเพื่อนๆทำงานในบริษัทอเมริกันเอง การทำงานร่วมกันจีนคงเป็นเรื่องลำบาก อย่างล่าสุดที่ Meng Wanzhou จับกุมชาว Canadian 2 คน จากบริษัท Canadian Carnola oil ที่พวกเค้าคิดว่าเข้าค่ายการ Spy ให้กับอเมริกา - ในตอนนี้เรายังไม่ทราบได้ว่า ฝ่ายไหนจะได้เปรียบ หรือเสียเปรียบ ถ้า 2 ประเทศนี้เ่นแง่กันในเชิงของ " zero-sum game" ก็คงจะต้องบัฟกันให้อีกฝ่ายนึงจนมุมสุดๆ
4. การลงทุนต่างๆ ใน 2 ประเทศนี้ กับการเดินเกมส์แบบ Democratic peace vs Liberal commercial peace
- ถ้าพูดถึงจีน ภาพเศรษฐกิจอาจดูไม่หนักเท่าอเมริกา และดูเหมือนจะฟื้นตัวเร็วกว่าอเมริกา แต่ก็ยังไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้ว่า จะร่วงลงมาอย่างหนัก เหมือนช่วง Covid มาแรกหรือไม่
- ด้วยกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจของจีนที่จะมาอยูในเชิงนโยบายแนว Democratic peace ซึ่งเป็นการวางอำนาจแบบ Top-Down ก็ยิ่งทำให้ตึงเครียดเมื่อไรก็ได้ จากผู้นำ การตัดสินใจเพียงนิดเดียว ก็กระทบต่อธุรกิจได้ง่ายๆเลย
- หรือการเดินเกมส์แบบ U.S ที่มาในแนวของ Liberal commercial peace ซึ่งตรงตามชื่อเลย หัวก้าวหน้าในเชิงของการพาณิชย์
- เช่นแต่เดิมที อเมริกาไม่ได้ถูกกับญี่ปุ่นมาก แต่ในกรณีที่ ญี่ปุ่นมีความขัดแย้งไม่ว่าอะไรก็ตาม หรือเรื่องเล็กน้อย อเมริกาเองพร้อมที่จะเข้ามา support เรื่องนั้นๆ หรือเอาง่ายๆก็คือ ทำคะแนน เรียกคะแนนเสียงนั้นแหละ ซึ่งตัวเราเองมองว่า ความสัมพันธ์แบบนี้ก็ไม่ใช่ความสัมพันธ์ระยะยาวอยู่แล้ว
จบแล้วจ้าาา เป็นการย่อยมาผสมในฉบับของเราเองด้วย เพราะต้องไปหาว่า U.S เองมีจุดควรระวังอะไรบ้างด้วย (แต่ถ้าพูดถึงจีน เหมือนเจ้าตัวบทความ HBR เค้าลำเอียงอยู่แล้ว แทบจะเขียนทับเค้าซะเยอะเลย 5555)
ก็เอามาย่อยอ่านกันสนุกๆ :)
โฆษณา