2 ก.ค. 2020 เวลา 13:00 • ธุรกิจ
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ผมได้ทำงานใน Accenture… (Part 1)
3
จากเด็กจบใหม่ไฟแรงสายวิศวะ ที่ดันเข้าไปทำงานใน accenture บริษัทที่ปรึกษาด้านธุรกิจขนาดใหญ่ระดับโลกที่หลายๆ คนหมายตาอยากทำ เขาจับพลัดจับผลูเข้าไปทำงานที่นี่ได้ยังไง? การสัมภาษณ์ที่นี่โหดไหม? และเขาได้เรียนรู้อะไรกลับมาบ้าง?
มาฟังประสบการณ์ และบทเรียนการทำงานของคุณ Dino K Karntanarhat ใน "วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ผมได้ทำงานใน Accenture…" พาร์ทที่ 1 กันครับ
บทความนี้ไม่ได้เป็นการ Review เชิญชวน หรือ Credit อะไรใดๆ เพียงแต่เป็นบันทึก Milestone หนึ่งในชีวิตตัวเราที่ตั้งใจไว้มานานแล้วว่าจะต้องเริ่ม Digest เรื่องราวดีๆออกมาเพื่ออย่างน้อยให้ตัวเองจำ Moment เหล่านี้ไว้ให้ดีที่สุด แต่ถ้าจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นได้ เราก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้อาจมีหลาย Part ขึ้นอยู่กับความว่างและสิ่งที่นึกออก และขออภัยสำหรับภาษา คำ และแนวคิดที่อาจจะมีถูกและผิดบ้างสำหรับบางคน
1
Day Minus One
2
เป็นอะไรที่ผมยอมรับว่าโชคดีมากๆ ที่ได้มีโอกาสเข้ามาทำงานที่นี่ ตัวเราเองยังจำเรื่องราวได้ดีตั้งแต่วินาทีแรกที่ ยังเป็นเด็กจบใหม่ไฟแรงเหลือเกิน และกำลัง Research เกี่ยวกับงาน Management Consulting ระหว่างนั้นตัวผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้เข้าบริษัทที่เป็น Tech Driven มากๆเพื่อเป็นความรู้ให้เราไปต่อยอด Start up ที่เราเองก็เพิ่งเปิดบริษัทกับเพื่อนอยู่ ณ ตอนนั้น (ช่วง มกราคม ปี 17) ซึ่งในขณะที่ค้นหาข้อมูลอยู่นั้นตัวเราเองก็ไปเตะตากับบริษัทที่ชื่อว่า Accenture… ยอมรับเลยว่าวินาทีนั้น ไม่รู้อะไรเลยนอกจากว่าชื่อบริษัทโคตรเท่ เหมือน เรนเจอร์ๆ แรงเรอร์ๆ เราก็เลยเริ่มที่จะ Drill down เกี่ยวกับบริษัทนี้มากขึ้นจนพบว่า เอ้ย มันใหญ่มากเลยนะเนี่ย แถมมีอยู่ที่ประเทศไทยอีกด้วย แต่ด้วยตอนนั้นเราเองก็สนใจบริษัทที่ปรึกษาอื่นๆอยู่เหมือนกันโดย เฉพาะ พวก Strategy เราจึงไป Focus กับการฝึกทำ Fit interview และ Case interview
ด้วยความที่เราไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับการทำงานข้างนอก รวมถึง Background ที่จบ Engineer แล้วไม่ได้มี Connection หรือรุ่นพี่ที่มาสายงานนี้ในคณะเรา ที่จะให้ความรู้ได้ จึงยิ่งทำให้เราไม่มี Sense ใดๆเกี่ยวกับ Business Firm เลย และสุดท้ายก็มาพบว่า เราต้องเตรียมตัวใหม่ตั้งแต่ศูนย์ ในขณะที่คนอื่นที่เรียนมาทางนี้ได้รู้ข้อมูลและอยู่กับสิ่งเหล่านี้มานานแล้วตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัย ทำให้เวลาก็ผ่านไปถึง 3 เดือนเต็มๆ โดยที่เดือนท้ายๆเราที่เริ่มกดสมัครบริษัทต่างๆก็ไม่ได้โดนถูกเรียก เพราะได้พ้นช่วง ปีใหม่ที่คนแห่กันลาออกไปแล้ว แถมเงินเก็บก็ที่มีอยู่น้อยนิดถูกใช้ไปเรื่อยๆ จนเงินในบัญชีเหลือไม่ถึง 2000 บาท บวกกับความคิดของเราที่ว่า เรียนจบแล้ว จะต้องเลิกใช่เงินพ่อแม่ ก็ยิ่งทำให้ตัวเองเครียดและกดดันมากๆ จนถึงขั้นท้อระดับนึง แต่แล้วตอนปลายๆเดือนสาม (จำวันไม่ได้) อยู่ดีๆก็มีเพื่อนที่แสนดีคนนึงโทรติดต่อมาบอกว่า มีเพื่อนของเราอีกคนนึง รู้มาว่าเรากำลังว่างงาน (ตกงาน 555) และกำลังสนใจ Management Consulting และชื่อบริษัทที่เรากำลังจะถูก Refer นั้นก็คือ Accenture นั่นเอง…
1
ต้องขอบคุณเพื่อน โบ๊ท และ มิ้นมากๆ ที่ทำให้ เกิดเรื่องราวนี้ เรายังจำได้ดี และจะยังขอบคุณเสมอสำหรับการช่วยเหลือในครั้งนั้นฮะ
1
Day Zero
แน่นอนว่าพอเราวางสายจาก HR ที่มาสัมภาษณ์ในรอบแรก ก็ต้องคิดว่าโอเค..กูคงต้องมีเวลาได้เตรียมตัวบ้างละว้า (ดีใจไปด้วยตื่นเต้นไปด้วย) แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ กรณีที่ไม่หน้าจะเกิดขึ้นบ่อยๆในบริษัทปกติ แต่สำหรับ Consult เป็นอะไรที่ Common มากๆ คือต้องการตัวเราอย่างด่วนที่สุด ซึ่งพี่ HR ก็โทรกลับมาหาเราทันทีในวันต่อไปให้เตรียมสัมกับ Senior Manager เลย… ในหัวตอนนั้นคือเอาวะมันไม่เหลืออะไรให้เสียแล้ว บริษัทอื่นแม้งก็ไม่เห็นมีเรียกกูเลย จึงทำสิ่งเดียวที่พอจำเป็นจะทำได้ คือ Practice Interview กับ Research เกี่ยวกับ บริษัทให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนมาถึงวันสัมภาษณ์ ก็เดินไปต่อคิวที่ Reception ของ Accenture ตัวเราก็พยายามเก็บความตื่นเต้นไว้ และสำรวจ Candidate ที่กำลังจะสัมก่อนหน้าเรา สิ่งที่ทำคือไปนั่งใกล้ๆห้องสัมภาษณ์และก็(แอบ)ฟัง ผลที่ได้รับคือใจแอบๆตกไปที่ตาตุ่มเพราะเห้ย มึงโหดไปป่าววะ Bro… พูดอังกฤษคล่องปรื๋อ แถมเรื่องราวของมึงนี้ไม่ธรรมดาเลยหวะเพื่อน จบวิศวะคอมจุฬา ทั้งทำ Extracurricular มามากมาย และยังทำ Startup อีก…มันทำให้เราเข้าใจเลยทันทีว่ายังมีคนอีกมากมายที่ เก่งและพร้อมโชว์ของ ซึ่งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้เจอสถานการณ์ Candidate competition แบบนี้
3
ไม่นาน Candidate คนนั้นออกจากห้อง และก็ถึงตาเราในทันที สภาพตัวเองในตอนนั้นคือ เหงื่อท่วมตัว และรักแร้ แถมยังงงกับตัวเองถึงตอนนี้ว่ามึงจะติ๋มไปไหน คือใส่เนคไทไปด้วยโคตรน่ารัก แต่ที่มันรุนแรงขนาดนี้เพราะ แอร์ที่ตึกเสียทั้งชั้นในวันนั้น… การสัมภาษณ์ตอนนั้นเลยผ่านไปอย่างมีอุปสรรค์ เช่น พูดไป ปาดเหงื่อไป เหงื่อเข้าตาไป เหงื่อลง CV บลาบลา… แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็ไม่ลืมที่จะพยายาม Present ตัวเองให้เต็มที่ และเหมาะสมกับการได้ทำงาน Consult ให้มากที่สุด และแน่นอนคนที่คอยสอน และแนะนำเรา ก็ไม่พ้น โบ๊ท และมิ้น ไม่ว่าจะเรื่อง Pyramid Principal หรือ CAR (Cause, Action, Result) communication เพื่อแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสิ่งที่เราทำไป และ Decision making ต่างๆ ใน CV นั้น เราได้รู้วิธีทำมันจริงๆ และสามารถสรุปผลลัพธ์ออกมมาได้อย่างชัดเจน ขอขอบคุณอีกครั้งเพราะก็ยังคงใช้มันอยู่ทุกวันจนถึงตอนนี้
3
หลังจากการสัมภาษณ์รอบสองก็ผ่านพ้นไป ไม่ทันไร สิ่งที่ทำให้ตื่นเต้นสุดๆก็กลับมาอีกครั้งคือ HR โทรมานัด รอบสาม ในวันรุ่งขึ้น ซึ่งต้องสัมภาษณ์กับ ระดับ MD ในต้นอาทิตย์ถัดไป แต่ครั้งนี้เราดีใจมากเพราะได้รับ Compliment feedback เล็กน้อยจาก HR ว่าเรามี Feedback ที่ดีในรอบสองที่ผ่านมา จึงยอมรับเลยว่ารอบสามเราประหม่าน้อยลงมาก เพราะมีความมั่นใจมากขึ้น และพยายามตั้งสติอยู่เสมอในการตอบคำถาม และแล้วผลก็ออกมาอย่างรวดเร็ว และเราก็ได้รับ Offer จาก Accenture อย่างเป็นทางการในไม่กี่วันถัดมา แถมยังต้องเริ่มงานด่วนที่สุดอีกด้วย ซึ่งกระบวนการที่พูดมาทั้งหมดจนถึงวันเริ่มงานนั้น ใช่เวลาเพียงแค่ 20 วันเศษๆ เรียกได้ว่ามันจะมา มันก็มาแบบ แปบๆชีวิตเปลี่ยนไม่ใช่ยาจกอีกต่อไป…
จนถึงจุดนี้จึงอยากสรุป Key Take Away เล็กน้อยที่จริงๆแล้วเราในตอนนี้นึกย้อนกลับไป แล้วรู้สึกว่ามันเป็นเพราะแบบนี้เราจึงสามารถผ่าน Challenge ต่างๆนี้มาได้
- เร็ว กล้าตัดสินใจ และออกจาก Comfort Zone:
จริงๆแล้วก่อนที่จะกลายเป็นยาจกและเงินเก็บหมดตัว ตัวเราเคยได้ทำงานอื่นมาก่อนหน้าอยู่แล้ว ซึ่งเป็นงานที่ยอมรับว่าเราทำมันได้ดีเลย และเริ่มคุ้นชินกับระบบแล้วด้วย แต่ลึกๆเรารู้ว่ามันไม่ตรงกับสิ่งที่ตัวเองเห็นภาพในอนาคต บวกกับขั้นตอนงานบางอย่างก็ไม่ตรงกับ Preference ของตัวเราสักเท่าไหร่ แม้ว่ามันจะให้ความรู้ต่างๆเยอะเหมือนกัน ตอนนั้นจึงตัดสินใจลาออกทันทีโดยที่ไม่มีงานรองรับใดๆ (ซึ่งตรงนี้ต้องเตือนก่อนเลยว่าถ้าย้อยเวลากลับไปได้ จะแนะนำไม่ให้ทำแบบนั้นเพราะความเสี่ยงต่างๆที่ได้รับมานั้น มันเสี่ยงเกินไป) และมุ่งนี้หาความรู้ที่เราขาด แล้วฝึกฝนให้เราพร้อมอยู่ตลอด
- อย่าปากหนัก และจงขอความช่วยเหลือ (Use your connection):
ยอมรับเลยว่าเราเป็นคนชอบหาข้อมูล คือเป็นคที่มีข้อมูลมากอดไว้เยอะๆแล้วรู้สึก Secure และมีความมั่นใจมากขึ้น และด้วย Nature ตัวเองเป็นแบบนี้ เราจึงพยายามนึกถึงคนที่เรารู้ว่าเค้ามีข้อมูลพวกนั้นและก็ติดต่อไปเพื่อขอความช่วยเหลือแบบตรงไปตรงมา แต่อีกด้านนึงของตัวเราเองนั้นก็เป็นคนที่ โคตร ขี้เกรงใจคน แน่นอนว่าเราก็ต้องมีสติและเตือนตัวเองเสมอเพื่อที่จะไม่รบกวนคนอื่นจนมากไป สุดท้ายแล้วตัวเราจึงได้ข้อมูลที่จำเป็นและเดินทางไปใน Direction ที่ถูกได้
- Be an empty glass:
สำนวนที่ยอมรับว่าจริงสุดๆ และทำให้ชีวิตเรามาถึงวันนี้ได้ ไม่หน้าเชื่อว่าแค่ประโยคสั้นๆนั้น มันครอบคลุม หลักการใช้ชีวิตบางอย่างที่เป็นประโยชน์อย่างมาก
.
o 1.จงเป็นคนโง่และไม่มีความรู้อยู่เสมอ: เป็นหลักการที่ส่วนตัวทำให้เราเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ยอมอดทนที่จะฟังความเห็นหรือความรู้ของคนอื่นอยู่เสมอ แม้ว่าเราอาจจะรู้มันแล้ว แต่เราก็จะมีความคิดที่อยากจะฟังมันซ้ำเพื่อ Proven ว่าเราเข้าใจมันถูกอยู่แล้วจริงๆใช่หรือไม่ ซึ่งไม่ใช่แค่ทำให้เราได้รู้อะไรมากขึ้น แต่ยังส่งผลใก้เรามีเพื่อนมากขึ้น และคุยกับคนได้หลากหลายประเภทอีกด้วย
.
o 2.เป็นคนกระหายที่จะรู้: ซึ่งเป็นอะไรที่ก็ตรงกับ Nature ของตัวเราเพราะเป็นคนชอบข้อมูล ชอบรู้ ชอบฟัง จึงทำให้เรายังพร้อมที่จะรับข้อมูลใหม่ๆเรื่อยๆ (แต่ในประเด็นนี้ ต้องบอกเลยว่ายังมีอะไรตามมาอีกหลายอย่างที่จะคอยเป็นอุปสรรค์ หลังจากทำงานไปซักพัก…ซึ่งจะลอง Digest ต่อใน Part อื่น)
1
- Be honest Be me:
หลังจากกลับมาคิดแล้วว่าอะไรอีกที่ทำให้เราสามารถผ่าน สัมภาษณ์เข้า Accenture มาได้ เราก็นึกได้ว่าทุกครั้งที่มีการสัมภาษณ์ กูใส่เต็มสูบ… เพราะทุกทั้งที่ออกมาเราเชคตัวเองว่า เราหมดพลังงานไปกับการสัมค่อนข้างเยอะจนทำให้ร่างกายยังรู้สึกเหนื่อยแบบ Physical เลย แต่ถามว่าเกี่ยวอะไร? สำหรับตัวเราคิดว่ามันเกี่ยวตรงที่ ทุกการสัมภาษณ์เราจะใส่ความ Honest จริงใจ เข้าไปในแทบทุกอย่างที่เรากำลังสื่อมันออกไป ไม่ว่าจะ Gesture, Eye contact และ คำพูดต่างๆที่มันจะแสดงถึงความจริงใจ และเข้าใจสิ่งที่เค้าต้องการ (เคยได้ยินมาว่ามันคือ Hypnotize dialogue แต่พูดตรงๆว่าเราไม่เคยรู้หรือศึกษาเรื่องนี้มาก่อน แต่เราใช้มันมาตั้งแต่เด็กอาจเพราะเป็น Nature ของเราจริงๆ) ซึ่งหลายครั้งเราจะได้รับ Feedback ในการทำงานจริงๆกลับมาว่าเราเข้าถึงสถาณการณ์ที่ต้อง Manage ได้เร็ว ส่งผลให้เราเข้าไปแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
5
Day One
และแล้ววันเริ่มงานวันแรกก็มาถึง… (To be continued)
TUESDAY, JUNE 30, 2020
อย่าลืมกดติดตาม The Columnist เพื่ออ่านตอนต่อไปกันด้วยนะครับ และถ้าใครมีคำถาม หรอือสนใจอยากทราบเรื่องไหนเป็นพิเศษ สามารถคอมเม้นท์ฝากไว้ใต้โพสท์ได้เลยครับ
สำหรับผู้อ่านที่ใช้ Facebook สามารถติดตามเราเพิ่มเติมได้ที่:
ต้นฉบับ: shorturl.at/fGS29
2
โฆษณา