2 ก.ค. 2020 เวลา 14:20 • ปรัชญา
คำถามที่ต้องถามตัวเองเพื่อตอบมัน :) #1
ผมสงสัยมาเสมอว่า...
“ ทำไมคนเราจึงมีเรื่องเข้ามาให้ทุกข์ใจตลอด ? ”
มาคิดๆดูแล้ว...
แทบจะตลอดเวลาที่เรามีเรื่องคิดอยู่ในหัวเล็กๆของเรา วันๆนึงคิดกันเป็นหมื่นๆเรื่องโดยที่เราแทบจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าคิดอะไรไปบ้าง?
แต่พอรู้สึกตัวอีกที....
ก็รู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน....
ท้อใจเหลือเกิน....
เครียดเหลือเกิน...
“ ทุกข์ “ เหลือเกิน...
ผมตั้งคำถามนี้ในหัวมานานมาก
พยายามหาคำตอบอย่างสุดความสามารถและในที่สุดผมก็หาคำอธิบายที่สมเหตุสมผลของมันเจอ...
และผมอยากเเบ่งปันให้ทุกๆท่านครับ :)
ผมจะขอเล่าสาเหตุของความทุกข์ให้ทุกท่านฟังในมุมของวิทยาศาสตร์ก่อนนะครับ :)
เชื่อไหมครับวันๆนึงคนเราคิดกัน 15,000-60,000 ความคิดต่อวันกันเลยครับ
และกว่า 80% ของความคิดเหล่านั้นคือความคิดที่..
“ บั่นทอน “ จิตใจของเราครับ
เเละนอกจากนั้นทุกๆความคิดที่ว่าใช้พลังงานนะครับ
สมองเป็นอวัยวะที่ใช้กลูโคสกับออกซิเจนเป็นแหล่งพลังงานหลักและหากเราคิดวนเวียนคิดซ้ำไปซ้ำมา
สมองก็จะใช้พลังงานอย่างต่อเนื่องและทำให้เรารู้สึก
เหนื่อยล้า...หมดแรง...เหน็ดหน่ายและอีกหลายอย่าง
จึงไม่แปลกที่เราจะรู้สึกว่ามันทุกข์จริงไหมล่ะครับ ?
ทีนี้พอเราได้รู้สาเหตุของมันแล้วและจะทำยังไงให้มันหายได้ล่ะครับ ?
เป็นคำถามที่ตอบยากเหมือนกันนะครับข้อนี้
แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีคำตอบนะครับ
แต่คำตอบมันมีมากมายซะเหลือเกินน่ะสิครับ
จนเราไม่รู้เลยว่าข้อไหน “ ถูกที่สุด ? “
หลายคนบอกให้คิดบวกคิดแต่เรื่องดีๆ
หลายคนบอกให้ออกกำลังกายเพื่อให้สมองหลั่งสารความสุขเพื่อที่เราจะได้มีความสุข
หลายคนบอกให้หาอะไรตลกๆดูเพื่อให้สมองหลั่งสารโดพามีนจะได้ไม่เครียด
และอีกหลายวิธีมากมาย....
แต่มีวิธีไหนที่มันยั่งยืนที่สุดวิธีใดวิธีหนึ่งไหมครับ ?
ถ้าตอบในมุมของผม...
หากเรายังต้องอยู่ในสังคมที่มีผู้คนและเรื่องราวที่เราต้องรู้และต้องสนใจและเก็บมันมาคิดมากมายสำหรับผมวิธีหนึ่งเดียวนั้นมัน “ ไม่มี “ ครับ
อ้าว....แล้วแบบนี้จะเขียนทั้งหมดมาเพื่ออะไร ?
ใจเย็นๆนะครับผมยังเขียนไม่จบ
กรุณาอดทนกันอีกสักนิดนะครับ :)
ที่ผมบอกว่าไม่มีเพราะหากเรายัง “ เก็บ “
ทุกเรื่องที่มีในสังคมมาคิดเอามาสนใจกันตลอดเวลา
ยังไงก็ใจของคุณก็ไม่สงบหรอกครับ
แต่ถ้าคุณคิดว่าคุณสามารถ “ วาง “ เรื่องที่สังคม
“ ยัด “ เข้ามาในหัวคุณหรือที่คุณเป็นคนเอามันมา
“ เก็บไว้เอง “ ลงได้
ผมก็มีหนึ่งวิธีที่จะหยุดความทุกข์นั้นได้ครับ :)
หากยังสนใจอยู่ตามผมมาเลยครับ
ก่อนจะอ่านต่อไปผมอยากให้ทุกท่านช่วยเปิดใจก่อนนะครับอาจจะมีเรื่องเกี่ยวกับศาสนาพุทธเล็กน้อย
หากไม่ศรัทธาอย่างน้อยก็อยากให้ทุกท่านช่วยลองอ่านก่อนสักนิดนะครับ
ผมสัญญามันจะช่วยทุกท่านได้จริงๆครับ :)
ขอบคุณที่ยอมเปิดใจให้ผมนะครับ :)
ทางดับทุกที่ดีที่สุดคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าเคยได้ตรัสไว้
คือคำพูดว่า
“ จงอยู่กับปัจจุบัน “
คำพูดนี้ดูไม่มีอะไรนะครับแต่ลองตอบคำถามนี้ดูก่อนครับแล้วค่อยมาคิดกันอีกที
ตอนนี้มือของทุกท่านอยู่ที่ไหนครับ ?
แน่นอนครับอยู่ที่โทรศัพท์หรือบนโต๊ะหน้าคอมพิวเตอร์เตอร์แน่นอนหากท่านกำลังอ่านบทความของผมอยู่5555555
แต่ผมถามหน่อยมีสักกี่ครั้งกันในวันนึงที่คุณรู้ตัวจริงๆว่ามือของคุณอยู่ตรงไหน
นึกออกกันไหมครับ ?
สำหรับผมเองผมยังนึกแทบไม่ออกเลยครับ
นั่นแหละครับจำนวนครั้งที่เรารู้ตัวว่ามืออยู่ทีไหนก็เหมือนจำนวนครั้งที่เราอยู่กับปัจจุบันในวันๆนึงแหละครับ
อย่างที่ผมได้บอกไปวันๆหนึ่งเราวนเวียนอยู่กับความคิดแทบทั้งวัน จนแทบจะลืมไปเลยว่าปัจจุบันเป็นยังไง
จะมีสักกี่ครั้งที่เราจะสามารถรู้ตัวว่าเราเอามือวางอยู่ตรงไหน?
แล้ววันๆนึงหากเราไม่ได้อยู่กับปัจจุบันแล้วเราอยู่กับอะไร ?
ผมมีคำตอบให้ครับ :)
จิตคนเราวนอยู่ใน 3 ที่ครับ
-อดีต
-อนาคต
-ปัจจุบัน
ถามว่าจริงไหมก็ลองนึกตามผมนะครับ
สมมุติว่าเมื่อเช้าของวันนี้คุณเลิกกับแฟนที่คบกับมา 7 ปี (เลขอาถรรพ์ซะด้วย5555) แล้วคุณก็ไปทำงาน
ผมถามหน่อยทั้งวันนั้นคุณจะคิดถึงอะไร ?
ผมเชื่อว่าไม่ต่ำกว่า70%ต้องตอบว่า ก็นึกถึงเขาถามตัวเองทำไมถึงทิ้งเรา ทำกับเราแบบนี้ ที่ผ่านมามีความหมายไหม ฯลฯ
ถามหน่อยเรื่องมันเกิดขึ้นตอนไหนครับ ?
เมื่อเช้าใช่ไหมครับ แล้วพอมันผ่านมาแล้ว
ไอ้เมื่อเช้าเนี่ยมันคืออะไรครับ ?
“ อดีตไงครับ “
ปัจจุบันคือคุณอาจจะกำลังทำงานอยู่ กินข้าว นั่งอยู่บนโต๊ะหรือจะอะไรก็ว่าไป
แต่หัวคุณอยู่กับเรื่องใน “ อดีต “ ที่เกิดเมื่อเช้า
ไม่พอนะครับตกเย็นคุณอาจจะคิดว่าแล้วพรุ่งนี้เขาจะมาขอคืนดีไหมเขาอาจจะกลับใจนะ ฯลฯ
ตอนนี้ไปไหนแล้วครับ?
“ อนาคต “ ครับถูกต้องครับ
แล้วคุณลองคิดดูนะครับวันๆนึงคุณเล่นโซเชี่ยลรับรู้ข่าวสารมากมายแล้วหากมีเรื่องไหนสะกิดใจคุณคุณก็จะเก็บไปคิดและวนเวียนอยู่ในเส้นทาง อดีต-อนาคตนั่นแหละครับ
อันนี้คือตัวอย่างที่ผมให้คิดตามเพื่อให้เห็นว่าคุณอยู่ที่ไหนใน 3 ที่นี้
หากรู้ที่มาที่ไปของความคิดและจิตของคุณแล้วผมจะพาไปรู้จักกับการจัดการกับมันครับ :)
ถึงจุดที่ทุกท่านรอคอยแล้วครับผมจะบอกแล้วว่าเราจะอยู่กับปัจจุบันยังไงให้ได้นานที่สุดและทำยังไงให้ทุกข์กับความคิดของเราน้อยที่สุด
“ ให้มีสติและเข้าใจความเป็นไปของมันครับ “
ให้เข้าใจในเรื่องที่ว่า “ทุกๆอย่างเป็นอนิจจังครับ “
พูดง่ายๆคือทุกๆสิ่ง “ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป “
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาสุดท้ายก็จะต้องดับไปหายไปไม่ว่ามันจะตั้งอยู่นานแค่ไหนก็ตาม
ความคิดก็เช่นกัน มันเกิดขึ้น อยู่กับเราสักพักหรือาจจะนานหน่อย แต่สุดท้ายมันจะหายไป
ถ้าจะอยากให้หายไปเร็วๆก็ต้องทำให้กระบวนการ
“ ตั้งอยู่ “ ของความคิดนั้นอยู่ได้น้อยที่สุดจริงไหมครับ?
แล้วทำยังไงล่ะ ?
รู้ความเป็นไปและเข้าใจมันไงครับ
ยิ่งเรารู้ว่ามันเกิดขึ้นมาแล้วและสุดท้ายมันจะหายไปได้มากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งวางมันได้ง่ายมากขึ้นเท่านั้น
เช่นกัน
ยิ่งเราเข้าใจว่ามันเกิดขึ้นมาได้ยังไงมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งสนใจมันน้อยลงง่ายมากขึ้นเท่านั้น
อีกเรื่องคือให้มี ”สติ” ในการใช้ชีวิต
ให้รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอย่างปล่อยจิตใจลอยไปกับความคิดพยายามรู้ให้เท่าทันความคิดตัวเอง
พยายามรู้ว่า “ มือ “ อยู่ที่ไหนให้บ่อยขึ้น ;)
วิธีการฝึกสติที่ดีทีสุดสำหรับผมคิดว่าการ นั่งสมาธิ
ได้ผลดีที่สุดครับ อยากให้ทุกท่านลองฝึกดู อาจจะเริ่มจาก 5 นาที 10 นาที วันละเล็กน้อยแต่มันจะช่วยทุกท่านได้มากจริงๆครับ :)
สุดท้ายนี้ผมอยากให้คำคมสั้นๆให้จำไว้เตือนใจ
เวลาที่หลงทางในวงเวียน อดีต-อนาคต นะครับ :)
ถ้าคุณร้อนรนคุณอยู่ในอดีต
ถ้าคุณกังวลคุณอยู่ในอนาคต
ถ้าคุณรู้ตนคุณอยู่กับปัจจุบัน
:)
- จักรภัทร
ส่งท้าย *
หากท่านอ่านมาถึงตรงนี้ได้อย่างตั้งใจ
ผมมีข่าวดีมาบอกครับ....
คุณมีสมาธิดีและตอนนี้ “ คุณอยู่กับปัจจุบันครับ :) “
ขอบคุณที่อ่านครับ
- จักรภัทร :)
โฆษณา