13 ก.ค. 2020 เวลา 00:00 • ธุรกิจ
เมื่อบริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก (เริ่ม) จนปัญญา โดย ทิวัตถ์ ชุติภัทร์
เมื่อประมาณต้นปีที่ผ่านมานิตยสาร Forbes ได้ตีพิมพ์บทความๆนึงที่ไม่ค่อยมีใครสนใจเท่าไหร่ในเว็บไซต์ของตนเอง มีชื่อว่า “The End of Apple” เขียนโดย Stephen McBride ที่เป็น Chief Analyst ให้กับ RiskHedge บริษัทที่วิจัยและศึกษาเรื่อง disruption โดยเฉพาะ ในบทความ McBride ได้เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับบริษัท Apple ตลอด 10 ปีผ่านมา ความสำเร็จที่พวกเขามีต่อ iPhone และทั้งหมดดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่ ภาพลวงตา
Stephen McBride แห่ง RiskHedge
เขาเล่าว่าตั้งแต่ Apple ได้เปิดตัวสินค้าที่เป็นนวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของบริษัทอย่าง iPhone เมื่อปี 2007 ที่มี UX l UI ที่สวยงามมาก รูปจอ Touch Screen ที่ลื่นใหลมากที่สุดในท้องตลาด ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หุ้นของ Apple ก็ทะยานขึ้นฟ้าทันทีและเหมือนกับเส้นต้านไหนๆก็ไม่สามารถรั้งไว้ได้ เพราะว่าหุ้นของ Apple ได้ขึ้นไปถึง 700% แต่อยู่ดีๆตอนช่วงมกราคมปี 2019 หุ้นก็ร่วงลงมาถึงจุดต่ำสุดในรอบ 2 ปีจากเดิมที่ทำจุดสูงสุดตอนกันยายนปี 2018 ที่ 227 เหรียญ เหลือเพียง 152 เหรียญ ซึ่งถือว่าเป็นการลดลงในมูลค่าของหุ้น Apple เยอะที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทเลยทีเดียว
Steve Jobs ตอนเปิดตัว iPhone รุ่นแรกตอนปี 2007
นอกจากนั้นเองถึงแม้ว่ายอดขาย Apple ยังคงโตขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 1993 จนถึงปี 2019 ในตลอดระยะเวลา 17 ปีที่ผ่านมา มีเพียงแค่ปี 2016 ที่ยอดขายน้อยลงกว่าปีที่แล้ว แต่เบื้องหลังของตัวเลขนี้ที่ยอดขายเพิ่มทุกปี แต่ความจริงแล้ว Apple ขาย iPhone ได้น้อยลงทุกปี เมื่อไตรมาศที่ 3 ของปี 2019 ยอดขายโทรศัพท์มือถือของ iPhone ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 10% เลยทีเดียวซึ่งนั่นหมายความยอดขายที่เติบโตขึ้นของ iPhone นี้มีพลพวงมาจากการขึ้นราคาของสินค้า Apple นั่นเอง ซึ่งถ้าดูยอดจำนวนเครื่องมือถืออย่างเดียว Apple ตกไปอยู่อันดับ 3 แล้วและ สัดส่วนในโทรศัพท์มือถือทั่วโลกก็เป็นรองอันดับหนึ่งอย่าง Samsung ถึงครึ่งนึงเลยทีเดียว Samsung ที่ 20.4% และ Apple ที่ 10.5%
ยอดขายเครื่อง iPhone ที่ตอนนี้เป็นรอง Samsung กับ Huawei
ถึงแม้ว่า Apple จะสามารถขึ้นราคา iPhone ได้ต่อเนื่องเรื่อยๆตั้งแต่ iPhone รุ่นแรกตอนปี 2007 ที่ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 16,400 บาท ส่วน iPhone 11 Pro ที่ออกมาช่วงกลางปีที่แล้วจะอยู่ที่ 35,900 ซึ่งแพงกว่าเท่าตัวกับของ iPhone รุ่นแรก แน่นอนว่าเทคโนโลยีของ iPhone รุ่น 11 Pro จะดีกว่า iPhone รุ่นแรกอย่างเทียบกันไม่ได้ เหมือนเอา iPhone รุ่นใดก็ได้มาเปรียบเทียบกับโทรศัพท์บ้านที่หมุนด้วยนิ้วทุกครั้งที่กดปุ่ม แต่ปัญหาของ Apple ตอนนี้คือ Apple ไม่สามารถขึ้นราคาสินค้าได้อีกแล้ว ซึ่งบ่งบอกได้จากการเปิดตัว MacBook Air และ MacBook Pro ที่ราคาถูกลงนิดหน่อยจากเครื่องเมื่อปีก่อน
iPhone 11 Pro เปรียบเทียบกับ iPhone 1
ที่เห็นชัดเลยคงเป็นทั้งตัว iPad Pro และ iPhone SE ที่ราคาเปิดตัวนั้นถูกกว่าปีที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด จนคนแห่กันมาซื้อหลังจากการประกาศเปิดห้างของรัฐบาล ทำให้ร้านๆเดียวที่ไม่โดนผลกระทบอะไรเลยหลังจากการเปิดห้างคือ iStudio ที่ยอดกลับมา 100% เท่าเดิมเลย แต่ร้านอาหารที่โดนผลกระทบจากการกลับมาเปิดห้างหายไป 50-70% ส่วนร้านเสื้อผ้าก็โดนไปประมาณ 30% ทำให้หุ้น Com7 เพิ่มขึ้นเท่าตัว จากเดิมที่ราคาช่วงโควิดที่ 13.70 บาทตอนปลายเดือนมีนา ทำให้ภายใน 3 เดือนหุ้นเพิ่มขึ้นกว่า 100% เป็น 29.75 บาท
ราคาเปิดตัว iPhone SE ที่แสนถูก
ซึ่งถามว่า Apple รู้เรื่องนี้ไหม เขารู้ดีครับเพราะว่ายอดขาย 2 ส่วน 3 ของสินค้า Apple ทั้งหมดมาจาก iPhone หมดเลย เมื่อตอนพฤศจิกายนปี 2018 Apple เลยประกาศว่าจะปิดตัวเลขของจำนวน iPhone iPad และ MacBook ที่ขายออกไปได้ ปัญหาไม่ได้อยู่แค่นั้นครับ 10 สินค้าที่ขายดีที่สุดของ Apple ครึ่งนึงในนั้นคือตัว Dongle ครับ หรือตัวที่เปลี่ยนจาก USB-C เป็น USB ปกติที่เราใช้กัน ยอดตรงนั้นของ Apple ก็ทำกำไรให้ Apple ได้มหาศาลเพราะลองคิดดูครับตัวเชื่อมเหล่านั้นถ้าเราไปซื้อที่ฟอร์จูนทาวน์ หรือ พันธ์ทิพย์ ราคาก็ไม่กี่ร้อยบาท แต่ของ Apple ราคาเป็นพันเลยครับ ซึ่งยอดของพวกนี้ประมาณ 10% ของยอดขายทั้งหมดของสินค้า Apple แต่ถึงอย่างไรก็แล้วแต่ หุ้น และ ยอดขายของ Apple ทุกวันนี้ก็ยังโตอยู่ต่อเนื่อง และ ทำ all-time high ทั้งราคาหุ้นและยอดขาย ก็ต้องมาดูกันต่อว่าในอนาคตอันใกล้ Apple จะหยุดรอยรั่วเหล่านี้ได้ไหม จะแก้ปัญหาจำนวน iPhone ที่ขายได้ลดลงเรื่อยๆได้ไหม หรือจะมีนวัตกรรมใหม่ๆที่ออกมาเหมือนตอน iPad ได้ไหม เราต้องมาลุ้นกันครับ
ยอดขาย iPhone มีส่วนถึง 2 ส่วน 3 ของ Apple ทั้งหมด
ขอขอบคุณภาพจาก Riskhedge, MacRumours, BGR.com, iPhonemod, และ Gartner
โฆษณา