ณ.สถานสักการะนี้ ผ้าไตรจีวรนั้น เป็นเรื่องราวขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัจจัยสี่เป็นเรื่องวัตถุธาตุทั้งหมด ก็เพื่อบำรุงในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้กับญาติโยมที่มาร่วมอนุโมทนาบุญ และผู้พี่มาสร้างสรรค์ทำจิต”รู้จักกรรมหนีกรรม “ ผู้ที่ร่วมอนุโมทนานี้ก็จะเกิดมีสติปัญญา ในการรู้จักกรรม ว่ามันเป็นทุกข์ ธรรมให้รู้จักกรรม ที่เกิดจากทุกข์ ให้ยุติคำว่ากรรม จึงเกิดเป็นบุญกุศลขึ้น ในนามของอาตมานี่ ให้เป็นที่ประจักษ์ต่อศูนย์ของธรรม เพื่อน้อมนำ สิ่งเล็กๆน้อยๆทั้งหมดนี้ไว้ในศาสนาขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า (ปร) สาธุ สาธุ สาธุ
เมื่อสร้างบุญอนุโมทนาไปแล้ว อาตมาภาพที่หนุนนำธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้ามาแจกแจงเหตุและผล ให้ไปเกิดจากบุญ ไปสู่บารมีหนีกรรม เพราะศาสนาขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อสร้างบุญไปล้างบาป ล้างการกระทำของเรา ให้เกิดเป็นปัญญาให้รู้สิ่งเหล่านั้น สิ่งนั้นคือความทุกข์ จิตของเราก็มีปัญญาเกิดขึ้น เกิดขึ้นรู้จักทุกข์ จึงไม่อยากอยู่กับทุกข์ เราจึงมีทุกข์ เลยหนีนี้ทุกข์ การหนีทุกข์นั้นมีหลายอย่างหลายประการ แล้วแต่... แต่ละคนไม่เหมือนกัน อยู่ที่ปัญญาบารมีที่สะสมมา บางคนก็หนีกรรมหนีความทุกข์ เอาตำรับตำรามาอ่าน มาท่องจำเป็นผู้รู้ เค้าก็บอกว่าหนีกรรมเป็นผู้รู้ บางคนก็นำเรื่องให้บูชา ตะกรุดผ้ายันต์ แม้แต่หมายถึงต่างๆ อุปโลกน์กันขึ้นมา นี่คือการหนีกรรมหนีความทุกข์ เค้าไม่เคยบอกเราเลยว่า ท่านทั้งหลายที่มาเพื่อจะหนีทุกข์ ท่านมีปัญญาหรือท่านโง่ และท่านมีปัญญาท่านต้องรู้ว่า คาถา อาคม วัตถุธาตุทั้งหลาย ที่บังเกิดอยู่ในโลกนี้ คือเรื่องราวของกรรม หากินหานอนไปวันหนึ่งคืนหนึ่งเท่านั้น ไม่ทำให้จิตใจเราหมดความทุกข์ไปได้ จิตของเราไม่สามารถนำกายนี้หนีทุกข์ แต่กลับพัวพันไปอยู่กับทุกข์ คือให้ มั่งมีศรีสุข มียศฐาบรรดาศักดิ์เกิดขึ้น ทะเยอทะยานไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนกับเปรต ไม่เคยหยุดยั้ง มีเท่านี้จะเอาเท่านั้น ขอไปเรื่อยเรื่อย แต่เปรตก็รู้อยู่แล้วเขาขอส่วนบุญไปเรื่อยเรื่อย เอาไหมเขาก็ไม่รู้จัก ได้แต่ขอ....ร้อง..ปรื๊ด..ปรื๊ด ขอส่วนบุญ.... ขอส่วนบุญฉันบ้าง แต่เราให้บุญไปเอาไหม ไม่รู้จัก ก็เหมือนคนทั่วไป เสาะแสวงหาเงินยศถาบรรดาศักดิ์ เขารู้จักไหมว่าปัจจัยที่ได้มาวัตถุบ้านช่องอะไรต่างๆเค้ารู้จักไหม เค้าก็ไม่รู้จัก แก้วแหวนเงินทองก็ไม่รู้จัก สร้างบ้านใหญ่โตที่หลับที่นอนอย่างดีรู้จักไหม เค้ารู้ว่าเป็นที่นอนที่นั่งบ้านใหญ่โต ดูเป็นสง่าราศีเกิดขึ้น รู้จักบ้านหลังนี้มากน้อยแค่ไหน เค้าอยู่ไปวันหนึ่งคืนหนึ่งเท่านั้น เพราะว่าไม่เคยได้รับรู้เรื่องราวเหตุผลของธรรม ไม่เคยได้ฟังไม่เคยได้ยิน ได้ยินแต่ขอให้ชาตินี้ อยู่กับกรรมให้มากที่สุดเท่านั้นเอง ไม่ให้อยู่กับธรรม เหมือนกับญาติโยมมาให้อยู่กับธรรม อยู่ไหว ..อยู่ไม่ไหว..ต้องไปอยู่กับกรรม
สมมุติว่าเข้าพรรษาสามเดือน เอ้า..มาอยู่กับธรรมซะ ไปสร้างบุญสร้างกุศลหนีกรรม อยู่อย่างมากก็วันสองวัน อาทิตย์สองอาทิตย์อะไรต่างๆก็ต้องจากไป..ไปอยู่กับกรรม แล้วก็จะร้องว่า.. ฉันทุกข์จังเลย ฉันหงุดหงิด ฉันไม่พอใจ อย่าโง้นอย่างนี้ ทำไมไม่หันไปถามพระ พระที่เขานั่งนิ่ง.
.ไม่มีอารมณ์..ไม่มีอะไร เค้าร้องอะไรบ้าง นั้นเค้ามีสติปัญญา เรายังไม่มีสติปัญญา เราก็ให้สัจจะกับตัวเอง ไม่ใช่สัจจะภายในใจ สัจจะวาจา ที่เปล่งออกมาให้วิญญาณหูเราได้ยิน ข้าพเจ้าในหนึ่งพรรษานี้ จะสวดมนต์ทุกวันเช้าเย็น ปฏิบัติบูชาวันละ 5 นาที เปล่งออกมา สัจจะมันก็เข็นเราไปทำทุกวันทุกวัน จะเหน็ดเหนื่อยอย่างไรเหนื่อยอย่างไร จะกลับบ้านมาเที่ยงคืนค่อนคืน ก็ต้องทำ..ต้องสวดมนต์ภาวนา แล้วจะกล้าทำกรรมใหญ่ๆไหม เช่นไปเที่ยวที่นู่นที่นี่ เรากล้าทำไหม เราก็ไม่กล้าทำ เพราะเป็นห่วงเป็นใย สัจจะของตัวเอง เพราะสัจจะทำ จะเข็นเราไปสู่ธรรมนั้นเอง ถ้ามาพิจารณาแล้ว วันหนึ่งเราไปอยู่กับกรรมเสียนาน เราอยู่กับบุญกุศลบารมีนิดเดียว แล้วจะบอกว่านั่งปฏิบัติยังไม่ไปไหนเลยยังวุ่นวาย นั่งนิดนั่งหน่อยก็ปวดเมื่อยตรงนี้ตรงนั้นเกิดขึ้น พยายามนึกถึงว่า กายมนุษย์ๆนะ กายมนุษย์ต้องรู้จักคำว่านิ่ง อดทนขันติ เราจะเอากายสัตว์มาทำไม กายของสัตว์ กายที่ไม่รู้ อะไรนิดอะไรหน่อยก็ยุกยิกดุ๊กดิ๊กไปเรื่อยเรื่อย กลับซ้ายกลับขวาไม่มีความอดทน ทนแล้วได้อะไร เหมือนกับคนที่มาสร้างบุญสร้างกุศล เสียสละจากบ้านเข้ามาสร้างบุญสร้างกุศล เราต้องการอะไร เราต้องการบุญหนีกรรม แต่จิตใจมันไม่หนีกรรม มันผูกมัดอยู่กับกรรม ให้อารมณ์มันบังคับอยู่ ขอให้มาศึกษากัน ตรงไหนคืออารมณ์ ตรงไหนคือสติ ตรงไหนที่เรียกว่าจิต จิตควบคุมเรื่องราวทั้งหมด จะทำอย่างไงที่ให้จิตเราควบคุมได้ ให้รู้จักคำว่า อารมณ์ รู้จักสติขึ้นมา ทำให้กายมันมีบุญเสียก่อน เมื่อกายมีบุญ จิตมีความขันติอดทนขึ้น ค่อยศึกษาให้เป็นเรื่องเป็นราว
สมมุติว่าเค้าชั้นที่เขาสอนอยู่นี้ ชั้นจะจบอยู่แล้ว แต่เราไม่เอา จะเรียนชั้นจบเลย มันจะรู้เรื่องไหม มันก็ไม่รู้เรื่อง เค้าให้มาแต่กลับปฏิเสธ หรือไม่ปฏิเสธแต่หลงไปเลย ว่า”ข้ารู้...ทำได้แล้ว” มันมีแต่ตัวรู้ ที่ประจักษ์ให้มันเห็นชัดมันไม่มี ต้องทำให้ประจักษ์แก่ตัวเราเอง ใครใครก็พูดได้ โลภโกรธหลงเนี่ย ตัวตนหน้าตาเขาเป็นอย่างไรไม่รู้จัก เพราะฉะนั้น... ต้นตอเค้ามี เค้าไม่ได้มาเป็นแบบรู้จักเค้าหรอก อย่างที่โยมนั่งกันอยู่อย่างนี้ รอยของใคร ใครทำมาก่อน. รอยองค์พระสิทธัตถะ เเท่นของท่าน ที่นั่งของท่าน เราก็ขอท่านนั่งบ้าง จะลงจากแท่น เราก็ขอบคุณท่าน เพราะไม่สามารถจะนั่งกันอยู่ง่ายๆ คนที่มีบุญกุศลบารมี พอนั่งได้ก็มานั่งได้ เราควรจะภูมิใจนะ ว่า เรานั่งสมาธิ เรามีบุญวาสนาบารมีนะ มานั่งแท่น ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านปล่อยรอยนี้ไว้กับดินฟ้าอากาศ เรามานั่งเห็นมั้ยสง่างาม จิตใจก็ไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนอะไร นั่งเฉย เพราะนั่งแท่นที่หนีกรรมไปแล้ว ถามว่าหิวอะไรไหม ก็แท่นนี้ไม่มีการหิวโหยอะไรทั้งนั้น ง่วงเหงาหาวนอนก็ไม่มี แท่นของพระสิทธัตถะเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นไม่นั่งแท่นของไฟเข้า นั่งปุ๊บมันก็ยุกยิกดุ๊กดิ๊ก มันร้อนเหมือนกับนั่งแท่นของของกรรมยังไง ทำไมถึงพูดยังงั้น ไปดูสิ พอเค้าเล่นหวยอวยโป หรือว่าไปนั่งเสพสุรายาเมาอะไรกันต่างๆ แท่นนั้นมันร้อน แต่เราก็ชอบนั่ง ร้อนร้อนอย่างนั้น เดี๋ยวมันก็เผาเราทั้งเป็น เยอะแยะไปที่เผาทั้งเป็น แล้วนั่งอย่างนี้เป็นยังไง เย็นสบาย เพียงแต่เราฝืน... ฟื้นให้เรารู้จักว่าแท่นนี้เป็นแท่นขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แท่นขององค์พระสิทธัตถะท่านก็นั่งมาแล้ว ท่านฝากไว้กับดินฟ้าอากาศ เรารู้จัก ผู้ที่รู้จักเขาก็นำมาบอกเราให้นั่งอย่างนี้นะ ทำอย่างนี้ เราก็ทำตามตัวอย่างเช่นนี้ นี่คือแท่น แล้วคนทำบุญ เมื่อก่อนนี้คนทำบุญก่อนนั่งทำบุญอย่างนี้ เราก็ขอเขามาที่เค้าฝากไว้กับดินฟ้าอากาศ แต่สมัยนี้มันไม่ใช่เอามาจากดินฟ้ากาด เอามาจากตำรับตำราความนึกคิด นึกคิดอุปโลกน์ขึ้นมา ก็นั่งเขียนนั่งอุปโลกน์ขึ้นมา ให้ไปนั่งอย่างที่สบาย มีความสุขอะไรต่างๆ. ไปแนะนำเขาไป กรรมทั้งนั้น ไปหลอกเค้าว่า ได้ฌานโน้นฌานนี้ ใช่ชั้นโน้นชั้นนี้ มีที่ไหน ฉะนั้นสิทธัตถะก็อยู่ในเวียงวังมีปราสาทสามฤดู ทำไมไม่อยู่ ไม่ต้องรอนแรมไปอยู่กับใบไม้แห้งแห้ง ฝนตกฟ้าร้องก็มีเสื้ออยู่ชุดเดียวเท่านั้น ทำไมท่านถึงทำอย่างนั้น เพื่อจะให้ “รูปสอนจิต” เหมือนกับตอนนี้กายพ่อแม่หรือรูปกำลังสอนจิตเราแล้ว. ลูกเอย..พ่อแม่จะสอนเจ้านะ สอนเจ้ามาตั้งแต่อยู่ในท้อง ตอนเกิดมาก็สอนอยู่ร่ำไป ตอนนี้สอนให้ลูกมีธรรม ลูกอดทนนะ เพราะตอนนั้นที่อยู่ในท้องแม่ แม่อดทนอย่างเดียว พอโตมาลูกก็ไม่รู้จักคำว่าอดทน คราวนี้ลูกรู้จัก มีสติสัมปชัญญะรู้จักคำว่า ขันติอดทน เมื่อเจ้ามาแล้ว พ่อกับแม่จะสอนเจ้า ให้อดทน จะทำให้กายของพ่อแม่นี้เจ็บปวดรวดร้าว เพื่อจะให้ลูกนี้มีจิตที่เข้มแข็ง ต่อสู้อุปสรรค อารมณ์กรรมตัวกระทำ รูปของแม่กำลังสอนจิตของเรา มีพ่อแม่อย่างนี้ประเสริฐนัก หาที่ไหน อยู่ที่ว่า เรามีสติสัมปชัญญะจะพาพ่อแม่มาหาเหตุหาผล หาเรื่องราวต่างๆให้พ่อแม่สอนเรา เหมือนอาจารย์นอกสอนจิตนั่นแหละ แต่เราต้องใช้ขันติมากๆ เราถึงจะไปได้ แต่เวลาเรียนหนังสือหนังหา เป็นชั้นๆสูงๆบ้าง หนังสือหนังหามันต้องท่องกันเปรี๊ยะๆๆไปเลย ต้องตอบเขาให้ได้ทุกตัวอักษร ตั้งหน้าตั้งตาไปเป็นกรรม หาเงินหาทอง แต่นี่ เขาบอกให้อดทน นั่งดูหนังสือทั้งวันทั้งคืนไม่หลับไม่นอน..ดูกันได้ แต่เวลาให้ทำอย่างนี้ 5 นาทีก็จะตายแล้ว 10 นาทีก็แย่อะไรอย่างนี้ เขาอุตส่าห์สอนให้จบ ถึงแท่นที่ไม่ต้องเกิดแก่เจ็บตายมากนัก เราทำไมไม่ทน พยายามเข้า พยายามดูแลตัวเอง
เมื่อกี้นี้ได้พูดถึง เรื่องราวของพระธุดงค์ พระธุดงค์ที่ได้จำพรรษาสามเดือน ที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าตอนนี้พืชไร่ธัญญาหารที่ญาติโยมเค้าปลูกกันมากมาย จะทำให้เดินไปเดินมาไปเหยียบย่ำของเค้าเข้า ที่จริงเป็นกลอุบายขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้ภิกษุรูปนั้นๆ จำพรรษา จำพรรษาให้มีร่างกายแข็งแรง และเพื่อศึกษาอารมณ์กรรมตัวกระทำของญาติโยม ที่เค้ามาหาหรือสัตว์ต่างๆ ซึ่งไม่ได้ทำสมาธิหนีกรรม ก็ตาเห็นหูได้ยิน ก็ได้ศึกษาเรื่องราวเหล่านั้น อ้อ.... สิ่งเหล่านี้เป็นของเรา เราก็จับมันมาทิ้งให้หมด นี่เข้าใจกันอย่างนี้นะ ไม่ใช่เดินกันไปหาเงินหาทอง หาชื่อหาเสียง เข้าป่าอยู่ในถ้ำอยู่ในเหว อดข้าวอดน้ำ ต้องฝึกต้องสร้างบารมี แต่สมัยนี้ทำไม่ได้ เพราะขันติไม่สามารถจะนำมาให้ได้ เพราะบังคับขันติก็โวยวายกันแล้ว ไม่พอใจครูบาอาจารย์ที่สอน ไม่พอใจเรื่องราวต่างๆมากมาย ครูบาอาจารย์เค้าก็ไม่ชี้แนะ แนวทางให้ เราก็จบ คำว่า”ขันติ” ไม่มีบารมีให้แก่จิตของตัวเอง ฉะนั้นการสะสมบุญกุศลบารมี ต้องทิ้งเวลาของกรรมให้หมด เช่นเวลานี้ ควรจะพักผ่อนหลับนอน เอ๊ะ... ทำให้เราโง่ เราทิ้งตัวโง่ไป มานั่งฟังธรรมปฏิบัติ เอ๊ะ...เราฉลาด ใครมาทำร้ายเรา มดกัดยุงกัดเราก็รู้ เราฉลาด ถ้าเรานอนหลับไป งูจะมากัดมดจะมากัด เราหลับไป ไม่รู้เรื่อง วิญญาณทั้งหกไม่ทำงานเสียแล้ว เพราะอารมณ์ไม่ไปปรุงแต่ง จริงๆอยากจะสอนเหลือเกินคำว่าตัวหลับนี่ ทำไมมันถึงโง่ อารมณ์มันหมดไปได้อย่างไรตัวหลับ ไว้ต่อคราวข้างหน้าก็แล้วกัน เมื่อมีโอกาสชีแนะก็จะชีแนะให้ ให้รับรู้ แต่ขณะนี้ ให้สร้างตัวนี้ให้ได้ ขันติคำว่าอดทน ถามตัวเองว่าอดทนได้แค่ไหน จะเป็นบารมีหรือไม่อยู่ที่ตัวของเรา ไม่มีใครเขาช่วยเราได้เทวดาเหาะมาตัวเขียวๆก็ช่วยไม่ได้ แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ช่วยเราไม่ได้ แต่ชี้ให้เห็นเรื่องราวต่างๆ เราก็ทำในสิ่งที่ เราใช้ความพยายามของเราเท่าที่เราจะทำได้ ท่านไม่สามารถจะไปบังคับจิตของเราได้ เราใหญ่กว่าผู้ชี้แนะเรื่องราวต่างๆมากมายนัก ไม่มีใครกำหนดหรือจับเราได้ ไม่ใช่ทางโลก เค้าอยากจะให้เราทำอะไร เราไม่ทำกลับเราใส่กุญแจใส่โซ่ใส่ตรวน ธัมมะไม่ใช่อย่างนั้น อยู่ที่จิตอย่างเดียวเลย จิตต้องไปศึกษาวิญญาณทั้งหกอย่างเดียว ถ้ายังไม่รู้ ทำให้ได้เสียก่อน แล้วมาถามไถ่ แล้วจะบอกให้ ค่อยเป็นค่อยไป ก็ขยายความมาพอสมควรแก่เหตุ แก่เวลา เดี๋ยวจะไม่มา รู้จักศาสนาที่แท้จริงขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่สามารถอยากทำบุญ ไว้ในศาสนาได้ ทำกันบ่อยๆอย่างนี้ ก็สอนกันบ่อยๆชี้ได้ ทำกันครั้งสองครั้งให้ติดต่อเนื่องก็ต้องทำกันอย่างนี้ ทางโลกเค้าเรียกว่า ถนอมนำ้ใจให้แก่กายของแต่ละคน