16 ก.ค. 2020 เวลา 01:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
MARKETS & ECONOMY UPDATE
BRIEFING : สรุปไฮไลท์สำคัญ
-> จีนวางแผนเตรียมทดลองใช้ Digital Yuan บนแพลตฟอร์ม Food Delivery ยักษ์ใหญ่ของประเทศ ขณะที่กระแสเงินไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นของจีนในเดือนมิถุนายนเพียงเดือนเดียวสูงถึง 1.5 ล้านล้านดอลลาร์
-> เจ้าของ Hedge Fund ชั้นนำของโลกกล่าวว่าทองคำอาจแตะระดับ 3,000-5,000 $/Oz ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า
-> อัตราว่างงานของหลายประเทศในยุโรปจะสูงขึ้นถึง 6% หลังจากนี้ ขณะที่ผลประโยชน์ของผู้ว่างงานในสหรัฐฯ กำลังจะหมดลง ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบเป็นคลื่นลูกที่ 2 ต่อเศรษฐกิจโลก
-> การเทขายพันธบัตรของอังกฤษในปัจจุบันคิดเป็นเกือบ 2 เท่าของการเทขายในช่วงวิกฤตซัพไพรม์เมื่อช่วงปี 2008
(1.) จีนวางแผนเตรียมทดลองใช้ Digital Yuan บนแพลตฟอร์ม Food Delivery ยักษ์ใหญ่ของประเทศ ขณะที่มีกระแสเงินไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นของจีนสูงมากนับตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นมา
Bloomberg รายงานว่าธนาคารกลางของจีนกำลังเตรียมแผนการที่จะทดลองใช้เงิน Digital Yuan บน Platforms จัดส่งอาหารยักษ์ใหญ่ของบริษัท Meituan Dianping ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Tencent Holdings Ltd และ SoftBank Group อีกทีหนึ่ง
นี่เป็นขั้นตอนสำคัญซึ่งจะนำไปสู่การปรับใช้ Digital Yuan อย่างจริงจังในอนาคต
ล่าสุด Meituan Dianping ได้เจรจากับฝ่ายวิจัยของ People’s Bank of China (PBOC) เกี่ยวกับการใช้งานจริงของสกุลเงิน Digital Yuan ที่จะกลายมาเป็นช่องทางหลักในการใช้จ่ายเงินของผู้คนในอนาคต
อย่างไรก็ตามรายละเอียดของความคืบหน้าดังกล่าวยังไม่ถูกเปิดเผยออกมามากหนัก เนื่องด้วยเหตุผลเกี่ยวกับความลับทางการค้า
ปัจจุบัน Meituan Dianping กำลังทำงานร่วมกับ Didi Chuxing ซึ่งเป็นบริษัท Startup ที่ให้บริการทางด้านรถโดยสารผ่าน Application หรือที่เรียกว่า Ride-hailing โดยมีจุดประสงค์เพื่อสำรวจข้อมูลการใช้งาน Digital Yuan ซึ่งจะเชื่อมต่อกับกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Wallet)
เทคโนโลยี Digital Yuan หรือ DCEP* ถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้รัฐบาลปักกิ่งสามารถควบคุมระบบการเงินภายในประเทศในสะดวกยิ่งขึ้นอย่างมาก
* DCEP ย่อมาจาก Digital Currency Electronic Payment
โดยรวมแล้วธุรกิจของทั้ง 2 บริษัทมีการทำธุรกรรมเป็นกระแสเงินหลายพันล้านดอลลาร์ในแต่ละวัน โดยจะมีตั้งแต่อุตสาหกรรมอาหาร ไปจนถึงธุรกิจภาคบริการและการท่องเที่ยว การจองที่พักออนไลน์ และอื่น ๆ
แน่นอนว่าการมีส่วนร่วมของพวกเขาในครั้งนี้ จะยิ่งช่วยผลักดันให้การพัฒนา Digital Yuan เป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ที่สำคัญคือรัฐบาลกลางจะมีฐานข้อมูลในระดับ Big Data มากขึ้นอีกด้วยซึ่งถือเป็นหัวใจหลักในการพัฒนาสกุลเงินนี้ต่อไปในอนาคต
นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยของธนาคารกลางแห่งประเทศจีน ได้มีการปรึกษากันระหว่างบริษัท Streaming วิดีโอเกมชื่อดัง Bilibili Inc สำหรับการพัฒนา Digital Yuan ไปสู่อีกระดับของการใช้งานจริง
ทั้ง 2 บริษัทคือ Meituan Dianping และ Bilibili Inc กำลังใช้งานระบบการจ่ายเงินของ Tencent Holdings Ltd และ Alibaba Group รวมถึงพันธมิตรคือ Ant Group ซึ่งในอนาคตคาดว่าจะเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนา Digital Yuan มากขึ้นกว่าเดิม
อนึ่งแล้ว เรื่องนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย สำหรับการทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงอย่างมากในอนาคต นอกจากนี้ธนาคารกลางในหลายประเทศก็ได้เริ่มพัฒนาสกุลเงิน Digital เป็นของตัวเองแล้ว
เหตุผลที่ระบบการเงินทั่วโลกเริ่มเปลี่ยนไปใช้ Digital Currency มากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องมาจากพวกมันสามารถควบคุมได้ง่ายกว่าเงินกระดาษ และยังสะดวกในการจับจ่ายใช้สอยมากกว่าด้วย
แต่ก็มีสิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือด้านความปลอดภัยทาง Cyber ซึ่งก็ต้องรอดูต่อไปว่ารัฐบาลหรือผู้พัฒนา Digital Currency จะมีกลยุทธ์ใดในการรับรองความปลอดภัยของสกุลเงินเหล่านี้ เนื่องจากการโจรกรรมข้อมูลผ่านระบบ Digital ในปัจจุบันอาจทำได้ง่ายกว่าการโจรกรรมเงินสดที่เป็นกระดาษซึ่งถูกเก็บไว้ในตู้เซฟอย่างดี
นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่น่าสนใจมาก ๆ ก็คือภายในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาเพียงเดือนเดียว มีกระแสเงินไหลเข้าตลาดหุ้นจีนเป็นมูลค่าสุทธิถึง 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ !! ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นจีนมีมูลค่าเพิ่มขึ้นประมาณ 1 ใน 3 หรือประมาณ 33.33% ของตลาดหุ้นทั่วโลก !!
ดัชนี ChiNext ซึ่งติดตามหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้นถึง 60% ในปีนี้ ซึ่งถือว่าเร็วมากจนทำให้มาตรตราวัดโมเมนตัมของตลาดอยู่ในระดับสูงสุดตลอดกาล
ทั้งหมดเหล่านี้เป็นสัญญาณที่อาจบ่งชี้ได้ว่า นักลงทุนทั่วโลกกำลังหันไปเดิมพันในเทคโนโลยีของจีนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระยะสั้น กลาง หรือยาว
ขณะที่รัฐบาลจีน รวมถึงสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่อย่าง PBOC ได้กระตุ้นเศรษฐกิจโดยการประกาศปล่อยเงินกู้มากขึ้น สำหรับนักลงทุนที่ต้องการเดิมพันในเศรษฐกิจของจีน ซึ่งทำให้อุปทานของสินเชื้อทั้งหมดภายในประเทศเพิ่มขึ้น 12.8%
World Maker's Viewpoint
สำหรับมุมองของ World Maker นั้น ต้องบอกเลยครับว่าเรื่อง Digital Currency เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เลยในอนาคต วิถีชีวิตและพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้คนที่เปลี่ยนไปจากการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยี ย่อมทำให้เราเลือกใช้ของที่มันปลอดภัยและสะดวกมากกว่าอยู่แล้วตามธรรมชาติของมนุษย์
ดังนั้น การที่พวกเราเห็นธนาคารต่าง ๆ รวมถึงรัฐบาลทั่วโลกกำลังปรับปรุงหรือหันมาใช้ Digital Currency มากขึ้นถือเป็นเรื่องสำคัญที่ควรใส่ใจไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ครับ เพราะโลกเราในอีก 10-20 ปีข้างหน้าอาจเหลือช่องทางการใช้จ่ายเงินกระดาษอยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้น ซึ่งแม้แต่ประเทศไทยเอง อีกเดี๋ยวก็คงต้องปรับตัวตามเทคโนโลยีโลก
(2.) เจ้าของ Hedge Fund ชั้นนำของโลกกล่าวว่าทองคำอาจแตะระดับ 3,000-5,000 $/Oz ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า
Diego Parrilla ผู้บริหารกองทุน Quadriga Igneo ที่มีมูลค่า 4.5 แสนล้านดอลลาร์ และสามารถทำผลตอบแทนได้ถึง 47% ภายในปี 2020 นี้ ได้ออกมากล่าวว่าพวกเขากำลังเดิมพันอย่างสูงกับทองคำและพันธบัตร
โดยมีมุมมองว่าตลอดทศวรรษต่อไป เศรษฐกิจโลกจะเกิดภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งธนาคารกลางจะไม่สามารถควบคุมมันได้
พวกเขากล่าวว่าการกระตุ้นทางการเงินอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เป็นการเพิ่มขนาดของฟองสบู่ในสินทรัพย์ต่าง ๆ รวมถึงเป็นการเพิ่มหนี้สินให้แก่บริษัทที่เสพติดระบบสินเชื่ออย่างบ้าคลั่ง
แน่นอนว่า "เป็นไปไม่ได้เลย" ที่การทำเช่นนี้จะสามารถป้องกันการล้มละลายของเศรษฐกิจได้ หากพวกเขาตัดสินใจปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นในอนาคต
ผู้จัดการกองทุนซึ่งตอนนี้พอร์ตของพวกเขาเต็มไปด้วยทรัพย์สินป้องกันความเสี่ยง โดยเฉพาะทองคำ กล่าวว่าราคาของพวกมันอาจเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3,000-5,000 $/Oz ในอีก 3 ถึง 5 ปีข้างหน้า จากราคาปัจจุบันที่ระดับ 1,800 $/Oz
Diego Parrilla กล่าวในการให้สัมภาษณ์ว่า
"สิ่งที่คุณจะเห็นตลอดทศวรรษต่อไปก็คือ ความพยายามที่หมดหวัง ซึ่งแม้แต่ปัจจุบันนี้ก็สามารถเห็นได้ชัดเจนในกลุ่มธนาคารและรัฐบาลที่ทำได้แค่พิมพ์เงินออกมาแล้วปล่อยกู้ รวมถึงการประกันความปลอดภัยให้แก่ทุกคนไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และทั้งหมดนี้ก็เพียงเพื่อป้องกันไม่ให้ระบบทั้งหมดต้องพังทลายลง"
มูลค่าพอร์ตป้องกันความเสี่ยงของเขาเพิ่มสูงขึ้น เมื่อความกลัวเรื่อง Coronavirus แพร่เข้าสู่ตลาดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม กองทุนของเขาลงทุนประมาณ 50% ในทองคำและโลหะมีค่า และอีกอย่างละ 25% ในพันธบัตร รวมถึงสินทรัพย์ทางเลือกอื่น ๆ ที่สามารถทำกำไรได้จากความโกลาหลของตลาด
ยกตัวอย่างเช่น การลงทุนในการใช้เงินดอลลาร์ซื้อขายทองคำ ซึ่งอาจทำให้พอร์ตของเขามีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลในอนาคต
Diego Parrilla เป็นผู้มีเรียนจบด้านวิศวกรรมเหมืองแร่ และเคยบริหารแผนกสินค้าโภคภัณฑ์ให้กับ Old Mutual Global Investors ที่ในปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็น Merian Global Investors (UK) Limited
เขาได้อธิบายถึงกลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยงของเขาไว้ดังนี้
"สิ่งที่เราได้เห็นในช่วง 10 ปีก่อนหน้านี้คือการเปลี่ยนแปลงจากอัตราดอกเบี้ยที่ปลอดความเสี่ยง (Risk-free Interest) ไปสู่ความเสี่ยงที่จะอยู่ในสภาพปลอดอัตราดอกเบี้ย (Interest-free Risk) และสิ่งนี้ได้ก่อให้เกิดฟองสบู่หนี้สินพร้อม ๆ กันทั่วโลก"
"ในหนึ่งกุญแจสำคัญของฟองสบู่คือระบบเงินกระดาษ (Fiat Cureency) และสิ่งเดียวที่แสดงประสิทธิภาพในการต่อต้านฟองสบู่ได้ชัดเจนที่สุดในระบบนี้ก็คือทองคำ"
นอกจากนี้เขายังได้กล่าวถึงอีกปัจจัยหนึ่งก็คือความสัมพันธ์กับความผันผวนในตลาด และอัตราเงินเฟ้อ
"นี่ไม่ใช่เรื่องของคำถามที่ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ แต่เป็นเรื่องของคำถามที่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ที่ราคาทองคำจะพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก"
ราคาทองคำพุ่งขึ้นประมาณ 19% นับตั้งแต่ต้นปี 2020 ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ที่ดึงดูดนักลงทุนได้โดดเด่นที่สุดในโลกสำหรับครึ่งปีแรก ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าการขยายตัวอย่างรวดเร็วในงบดุลของธนาคารกลางจะไปลดค่าของเงินสกุลเงินต่าง ๆ และจะกระตุ้นอุปสงค์ในการถือครองสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงให้มีมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม เรื่องของอัตราเงินเฟ้อ ณ ปัจจุบันนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่าย โดยเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และประเทศในเขตยุโรปก็ยังไม่แสดงหลักฐานให้เห็นถึงความเสี่ยงในเรื่องนี้เลย และนักลงทุนเอง ก็ยังใช้จ่ายเงินของพวกเขาไปกับการลงทุนในพันธบัตรต่าง ๆ
แต่ Diego Parrilla ก็ได้กล่าวว่าในระยะยาวจะปรากฏหลักฐานอื่น ๆ ออกมาอีกมากมาย ซึ่งเขายืนยันว่า ฟองสบู่ทุกลูกที่ใหญ่เกินไปจะต้องแตกออก (Too big always fail) และผู้มีอำนาจทั้งหลายจะต้องทำบางอย่างเพื่อป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้น แต่ท้ายที่สุดแล้วมันจะต้องเกิดขึ้นอยู่ดีโดยที่พวกเขาไม่อาจฉุดรั้งเอาไว้ได้
Wolrd Maker's Viewpoint
สำหรับตลาดทองคำโลกในมุมมองของ World Maker นั้น แนวโน้มในระยะยาวยังดูสดใสตามเนื้อหาของบทความ แต่ก็ต้องบอกก่อนว่าในช่วงสิ้นเดือนนี้ไปจนถึงสิ้นเดือนหน้า ตลาดทองคำมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกเทขายอย่างหนักจนราคาลดลงอย่างรุนแรงในระยะสั้น ๆ
ซึ่ง Wolrd Maker ได้เขียนบทความวิเคราะห์และอธิบายถึงที่มาที่ไปของเรื่องนี้ไว้อย่างละเอียดแล้ว ท่านใดที่ยังไม่ได้อ่าน สามารถตามอ่านได้ที่ https://www.blockdit.com/articles/5f096505b82c760cc154a76e
(4.) อัตราว่างงานของหลายประเทศในยุโรปจะสูงขึ้นถึง 6% หลังจากนี้ ขณะที่ผลประโยชน์ของผู้ว่างงานในสหรัฐฯ กำลังจะหมดลง ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบเป็นคลื่นลูกที่ 2 ต่อเศรษฐกิจโลก
Bloomberg รายงานว่าการเทขายพันธบัตรของอังกฤษเพิ่มขึ้นสู่ระดับเกือบ 2 เท่าของจุดสูงสุดในช่วงวิกฤตทางการเงินโลกเมื่อช่วงปี 2008 อ้างอิงข้อมูลเบื้องต้นที่ประเมินจากคู่ค้าหลักของประเทศ
การออกพันธบัตรในปีเศรษฐกิจนี้ (Fiscal Year) เริ่มจากเดือนเมษายน 2020 ซึ่งปัจจุบันคิดเป็นมูลค่าประมาณ 5.67 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่ความต้องการเงินทุนของสำนักงานบริหารหนี้ในเดือนกันยายนถึงเดือนพฤศจิกายน 2020 อยู่ที่ระดับ 1.45 แสนล้านดอลลาร์
บริษัทต่าง ๆ ภายในประเทศมีการออกตราสารหนี้มาเทขายเป็นมูลค่าถึง 2.87 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นระดับที่สุดนับตั้งแต่ Fiscal Year 2010 โดย Barclays Plc กล่าวว่าความต้องการขายพันธบัตรจะถูกชดเชยด้วยการเข้าซื้อจากธนาคารกลางแห่งอังกฤษ (Bank of England)
อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษอายุ 10 ปี ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 0.16% ซึ่งถือว่าใกล้ระดับต่ำสุดตลอดกาลเมื่อเดือนมีนาคม 2020
ภาพรวมเศรษฐกิจของอังกฤษกำลังดูมืดมัว เพราะถูกปกคลุมไปด้วยการระบาดของ Coronavirus และความกังวลเรื่องการสิ้นสุดระยะเวลาในการเปลี่ยนผ่านช่วง Brexit ในวันที่ 31 ธันวาคม 2020
สำนักงานเพื่อความรับผิดชอบด้านงบประมาณของอังกฤษ คาดการณ์ว่าการขาดดุลงบประมาณจะเพิ่มขึ้นถึง 21% ของ GDP ในปีนี้ และจะมียอดการกู้ยืมทั้งปีอยู่ที่ 4.05 แสนล้านดอลลาร์
Silvana Tenreyro ซึ่งเป็น 1 ในผู้กำหนดนโยบายของ Bank of England กล่าวเมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยเธอคาดว่าเศรษฐกิจของอังกฤษกำลังจะสูญเสียแรงส่งหลังจากการฟื้นตัวในรอบแรก และพร้อมที่จะลงคะแนนเพื่ออนุมัติมาตรการกระตุ้นทางการเงินที่มากขึ้น หากเศรษฐกิจต้องการ
ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังกล่าวเสริมอีกว่า การใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบกำลังเป็นเครื่องมือและทางเลือกหนึ่งที่เริ่มมีการพูดคุยกันอยู่ในคณะกรรมาธิการผู้ออกกฏหมายของธนาคารกลาง
World Maker's Comment : ก็นั่นแหละครับ ถ้าพวกเขาตัดสินใจ หรือจำเป็นต้องใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบขึ้นมาจริง ๆ เรื่องของอัตราเงินเฟ้อในอนาคตจะกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงอย่างแน่นอนครับ
ขณะเดียวกัน ข้อมูลล่าสุดจาก Bloomberg ระบุว่ามีลูกจ้าง Full-time ประมาณ 7 ล้านคนในยุโรปที่ถูกสั่งพักงานชั่วคราวอยู่ โดยพวกเขาเหล่านี้กำลังอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกปลดออกจากงานอย่างถาวร หลังจากมาตรการช่วยเหลือเรื่องเงินเดือน 80% ของรัฐบาลหมดลง
Unemployment Rate ภายในเขต EU อาจพุ่งขึ้นได้สูงสุดเกือบ 6% และ Bloomberg ยังได้รายงานอีกว่าอัตราว่างงานที่สูงขึ้นหลังจากนี้จะส่งผลกระทบให้ภาคการบริโภคหดตัวลงได้มากที่สุดถึง 4% ใน 4 ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของสหภาพยุโรป และอาจทำให้ GDP หดตัวเพิ่มขึ้นถึง 1.3%
ทางฝั่งสหรัฐฯ ล่าสุดมีรายงานออกมาว่าผลประโยชน์ของผู้ว่างงานจะลดลง 60% ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกรกฏาคมนี้เป็นต้นไป รายได้ตามสวัสดิการต่อสัปดาห์ของพวกเขาจะลดลงอย่างมาก ขณะที่หลายคนยังไม่สามารถกลับไปหางานทำได้
Thomas Graff ผู้จัดการกองทุนประจำเมือง Baltimore ประเทศอังกฤษ ของบริษัท Brown Advisory กล่าวเอาไว้ว่า
"เรากำลังเข้าสู่คลื่นลูกที่ 2 ของการปลดพนักงานออก ซึ่งจะเป็นในระยะยาวหรือไม่ก็ถาวร และขณะเดียวกันนี้เอง ผลประโยชน์ของผู้ว่างงานก็จะหมดไป ซึ่งอาจหมายความว่าผลกระทบที่รุนแรงบางอย่างกำลังใกล้เข้ามา"
การกดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม และการติชมในเชิงสร้างสรรค์ของคุณ เป็นกำลังใจให้เราและเหล่าอาชีพนักเขียนทุกคนในการพัฒนาผลงานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป ขอเชิญทุกท่านร่วมสร้างสังคมการเรียนรู้ที่ดีด้วยกันกับเรา
World Maker
สามารถติดตาม World Maker ผ่านทาง Facebook ได้แล้ววันนี้ที่
อยากลงทุน อยากมีเงินเก็บอย่างจริงจัง แต่ไม่มีพื้นฐาน World Maker มีคอร์สเรียนดี ๆ มาแนะนำให้ครับ รายละเอียดคลิกเลย !!
โฆษณา