16 ก.ค. 2020 เวลา 00:13
อย่าฟูมฟายกับหนึ่งสิ่งที่หายไป
เมื่อปีที่แล้วผมพาแฟนไปร่วมงานวิ่งชื่อ Olympic Day จัดที่สนามศุภชลาศัย
ผมกับเพื่อนๆ ที่ออฟฟิศเคยมางานนี้แล้ว แต่มันเป็นงานวิ่งครั้งแรกของแฟนผม เธอก็เลยตื่นเต้นน่าดู แม้ระยะการแข่งขันจะแค่ 5 กิโลเมตร แต่แฟนก็ซ้อมล่วงหน้าหลายสัปดาห์
เมื่อถึงวันแข่งเราตื่นกันตั้งแต่ตีสาม เพื่อไปให้ถึงสนามทันตีสี่ ก่อนจะออกตัวตอนตีห้า
ก่อนวันแข่ง น้องที่ทำงานผมอาสาไปรับ “บิ๊บ” หรือเบอร์วิ่งมาให้เรา แต่พอเขามาถึงสนามตอนตีสี่ครึ่ง เขาเพิ่งรู้ตัวว่าลืมหยิบบิ๊บของผมกับแฟนมาให้ด้วย
บิ๊บเป็น “เอกสาร” ที่สำคัญที่สุดในการแข่งขันวิ่งระยะทางไกล เพราะมันคือ ID ของนักวิ่ง ข้างหลังบิ๊บจะมีชิพที่เป็นตัวจับเวลาว่าเราได้ออกจากจุดสตาร์ทจริงหรือไม่ และวิ่งไปตามเส้นทางจนถึงเส้นชัยจริงรึเปล่า
เวลาวิ่งอย่างเป็นทางการจะถูกบันทึกไว้ในเว็บการแข่งขัน ตอนเข้าเส้นชัยผู้จัดงานก็จะติ๊กในบิ๊บของเราว่าได้รับเหรียญแล้วรึยัง ได้รับเครื่องดื่มและอาหารแล้วหรือยัง การที่เราไม่ได้เอาบิ๊บมาก็เหมือนเราจะเสียสิทธิ์เหล่านี้ทุกอย่าง
ผมวิ่งไปถามทีมจัดงานว่ามีบิ๊บสำรองมั้ย แต่ปรากฎว่าไม่มีใครหาให้ได้ ส่วนแฟนผมก็ย่อมต้องอารมณ์บูดอยู่แล้ว เพราะอุตส่าห์ซ้อมมาอย่างดี ต้องตื่นนอนแต่เช้า ต้องมารอปล่อยตัวท่ามกลางคนจอแจ แต่กลับไม่สามารถร่วมรายการได้ซะอย่างนั้น ดูท่าทางเหมือนอยากจะกลับบ้านเต็มที
แต่ผมก็คะยั้นคะยอว่า ไหนๆ ก็ซ้อมมาแล้ว และวันนี้ก็มาอยู่ตรงนี้แล้ว ก็วิ่งกันเถอะ วิ่งแบบคนนอกที่มาร่วมรายการก็ได้ แฟนก็เลยยอมวิ่ง
เพื่อนๆ ที่วิ่งระยะ 10 กิโลเมตรปล่อยตัวตอนตี 5 ส่วนผมกับแฟนวิ่งระยะ 5 กิโลเมตรนั้นปล่อยตัวทีหลัง เส้นทางของเราคือวิ่งวนรอบบล็อคผ่านบรรทัดทอง พระราม 4 ราชดำริ พระราม 1 เพื่อวนกลับเข้าสนามศุภฯ
ระหว่างวิ่ง ผมก็คิดได้ว่า จริงๆ ที่เราขาดไปก็แค่เบอร์วิ่งนี่นะ อย่างอื่นเรายังได้รับเหมือนเดิมหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นการได้มาวิ่งท่ามกลางผู้คนมากมาย ได้สัมผัสบรรยากาศกรุงเทพตอนเช้าตรู่ ได้แวะกินน้ำ ได้วิ่งแซงคนโน้นคนนี้หรือถูกคนอื่นแซงกลับ
ตอนที่วิ่งกลับเข้าสนามศุภชลาศัยนั้นบรรยากาศดีมาก ราวกับเราเป็นนักกีฬาทีมชาติที่วิ่งเข้าสเตเดี้ยมอย่างฮีโร่
พอถึงเส้นชัย ผมถามคนที่ยืนแจกเหรียญว่า ขอเหรียญได้มั้ย พอดีลืมเอาบิ๊บมา เขาก็ให้เหรียญกับผมและแฟนอย่างไม่คิดอะไร ตอนเดินไปรับน้ำก็ไม่มีใครว่าอะไรอีกเช่นกัน จากนั้นเราก็มานั่งรอเพื่อนคนอื่นๆ ทยอยเข้าเส้นชัย
แล้วแฟนผมที่ตอนนี้อารมณ์ดีขึ้นแล้วก็ชวนผมไปถ่ายรูปคู่ชูเหรียญ และอัพสเตตัสเฟซบุ๊คไว้เป็นที่ระลึก
สรุปคือวันนั้นผมกับแฟนได้รับประสบการณ์ครบถ้วนทุกอย่าง ขาดแค่เพียงกระดาษแผ่นเดียวตรงกลางอก ดีนะที่ไม่ได้ตัดใจกลับบ้านไปเสียก่อน
ประสบการณ์ในวันนั้นสอนให้ผมรู้ว่า อย่าฟูมฟายกับหนึ่งสิ่งที่หายไป เพราะถ้าเราเอาแต่จับจดกับสิ่งที่หายไป เราจะมองข้ามสิ่งดีๆ อีกมากมายที่มันยังเหลืออยู่
1
ช่วงที่กรุงเทพต้องล็อคดาวน์เพราะโควิด-19 หลายคนทุกข์ใจกันมาก เดินห้างก็ไม่ได้ ไปทำงานที่ออฟฟิศก็ไม่ได้ กินข้าวที่ร้านอาหารก็ไม่ได้ อนาคตหลายๆ อย่างก็ไม่แน่นอน
แต่ถ้ามองดีๆ เกือบทุกอย่างเราก็ยังคงเหมือนเดิม เรายังมีอวัยวะครบถ้วน เรายังมีข้าวกิน เรายังดูเน็ตฟลิกซ์ได้ เรายังโทรหาคนที่เรารักได้ โควิดทำให้บางสิ่งหายไป แต่ก็ยังเหลือสิ่งดีๆ อีกมากมายที่เรายังทำได้เหมือนเดิม
อะไรที่เสียไปแล้วก็ต้องให้มันเสียไป ขอแค่เพียงมองให้เห็นสิ่งดีๆ ที่เรายังมีเหลืออยู่
แล้วจะรู้ว่าชีวิตไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นครับ
โฆษณา