17 ก.ค. 2020 เวลา 11:05 • กีฬา
อินทรีเหล็ก v อัศวินสีส้ม
เรื่องของกระดาษเช็ดก้นและเกมส์ที่เป็นมากกว่าฟุตบอล
ผมขอย้อนอดีตนำความทรงจำจากเกมส์น็อคเอ้าท์ในรอบตัดเชือกของศึกยูโร 1988 ระหว่างทีมเจ้าภาพ เยอรมันนีตะวันตก กับทีมคู่ปรับเก่า เนเธอร์แลนด์ ที่ทั้งสองเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกัน...ถ้าจะมองย้อนกลับไปถึงยุคทองของฟุตบอลฮอลแลนด์ ก็น่าจะเป็นช่วงฟุตบอลโลกปี 1974 ที่พวกเขาสร้าง Total Football ซึ่งเป็นรูปแบบฟุตบอลสมัยใหม่ที่นักเตะเล่นทดแทนตำแหน่งกันได้อย่างตื่นตาตื่นใจคนทั้งโลก จนได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นแชมป์โลกในปีนั้น... ทีมอัศวินสีส้มในปี 74 ภายใต้การคุมทีมของ ไรนุส มิเชลล์ และนักเตะแกนสำคัญอย่าง โยฮัน ครัฟฟ์ ได้เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศแต่กลับไปไม่ถึงดวงดาวได้แค่เพียงรองแชมป์โดยพ่ายให้กับทีมเจ้าภาพอินทรีเหล็กไป 2 ประตูต่อ 1
.
.
ตั้งแต่นั้นมาจนถึงปลายทศวรรษที่ 80’s คนฮอลแลนด์ส่วนใหญ่จะมีปมในใจลึกๆที่ชาติตัวเองไม่ประสบความสำเร็จด้านกีฬาฟุตบอลเหมือนกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเยอรมันนี คุณพ่อพูดกับลูกชายที่กำลังเติบโตว่า “ลูก...หันไปมองประเทศเพื่อนบ้านเราทางนั้นสิ พวกเขาเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกมาแล้ว 2 สมัยเลยนะ...”
.
.
ฮานส์ ฟาน บรุ๊คเคเลน ผู้รักษาประตูทีมชาติฮอลแลนด์ในศึกยูโร 1988 เล่าให้ฟังว่า ยังจำได้ดีเมื่อตอนที่อายุ 17 เขาใส่เสื้อสีส้มนั่งอยู่บนโซฟาดูเกมส์นัดชิงฟุตบอลโลกปี 1974 และต้องร้องไห้กับความพ่ายแพ้ต่อทีมอินทรีเหล็ก...มาคราวนี้ เขาบอกกับตัวเองว่า ครั้งนี้ต้องชนะทีมเยอรมันให้ได้...เจ้าตัวยังได้กล่าวว่า “...นี่คือเกมส์ทึ่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอด 19 ปีในอาชีพค้าแข้งของผม”
.
.
แจน วูเตอร์ส เล่าให้ฟังว่า ...ก่อนเกมส์การแข่งขันรอบตัดเชือกของศึกยูโรปี 1988 ทุกคนในวงการกีฬาต่างก็รับรู้กันได้ว่า เป็นการเจอกันระหว่างทีมยักษ์ใหญ่อย่างเยอรมันนี-ทีมที่เต็มไปด้วยเกียรติยศมากมาย เจอกับทีมเล็กๆอย่างเนเธอร์แลนด์ นักเตะทุกคนในทีมต้องลงเตะภายใต้สภาพแรงกดดันของคนทั้งประเทศ
.
.
ไม่ใช่เกมส์ที่ง่ายแน่ๆ...กับเกมส์การแข่งขันบนแผ่นดินเยอรมัน และต้องปะทะกับทีมเยอรมันซึ่งเป็นชาติเจ้าภาพจัดการแข่งขัน...เกมส์ในครึ่งแรกทั้งสองทีมเล่นกันอย่างรัดกุม เยอรมันนีภายใต้การคุมทีมของฟร้านซ์ เบ็คเค่นเบาเออร์ ใช้เกมส์ต่อบอลกันหาช่องเข้าทำประตูแต่ก็ยังคงดูไม่ได้เปรียบมากนัก ขณะที่ทีมฮอลแลนด์ภายใต้การคุมทีมของ “ท่านนายพล” ไรนุส มิเชลล์ ก็อาศัยความสามารถของ รุด กุลลิท และ มาร์โก แวน บาสเท่น ซึ่งก็ยังไม่มีโอกาสมากนักเช่นกัน
.
.
ครึ่งหลัง...เกมส์ทำท่าจะฉายหนังซ้ำ ย้อนรอยแบบนัดชิงปี 1974 เมื่อเกมส์มีลูกจุดโทษเข้ามาเกี่ยวข้อง นาทีที่ 55 เยอรมันนีได้ลูกจุดโทษจากการเข้าสกัดเจอร์เก้น คลินส์มันน์ และ มัสเธอุส เป็นคนสังหารจุดโทษขึ้นนำ 1 : 0 แฟร้งค์ ไรจ์การ์ด พูดถึงเรื่องนี้ว่า เค้าแค่แหย่ขาสกัด แต่กรรมการเป่าเป็นจุดโทษทั้งๆที่ไม่ได้โดนตัวเลย “คลินส์มันน์ล้มตบตาได้เนียนมาก”
.
.
นาทีที่ 74 ฮอลแลนด์ตีเสมอ 1 : 1 จากการสังหารลูกจุดโทษเช่นกันของโรนัลด์ คูมัน...เบ็คเค่นบอร์เออร์พูดตอกกลับไปถึงลูกนี้ว่า “ถ้าพวกเค้าคิดว่าประตูจากลูกโทษที่เราได้ก่อนหน้าไม่ถูกต้องละก็ ลูกสกัดของเจอร์เก้น โคลเลอร์ ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นการเล่นแฟร์เพลย์ ยิ่งไม่สมควรเป็นจุดโทษ เราก็มีเหตุผลเช่นกันว่าลูกโทษนี้มันไม่เป็นธรรม...”
.
.
แวน บาสเท่น พยายามกระตุ้นบอกเพื่อนร่วมทีมให้สู้ในช่วงเวลาที่เหลือ เขาพูดว่า “เราอยู่ในเกมส์ที่ไม่ได้เป็นรอง เราสามารถชนะพวกเยอรมันได้ ช่วยๆกันสู้หน่อย...”
.
.
ผลการแข่งขันเกมส์นี้จบลงในเวลาด้วยสกอร์ 1 : 2 จากลูกยิงช่วงท้ายเกมส์ของ มาร์โก แวน บาสเท่น ในนาทีที่ 89 ดับฝันและฝังทีมอินทรีเหล็กตกรอบคาบ้าน ถือเป็นชัยชนะครั้งแรกในรอบ 32 ปีที่มีต่อทีมเยอรมันนี
.
.
ฮอลแลนด์ได้เข้าไปชิงชนะเลิศกับทีมสหภาพโซเวียตและได้เป็นแชมป์ยุโรปในที่สุด แต่ตัวผู้จัดการทีม ไรนุส มิเชลล์ พูดว่า “เกมส์ตัดเชือกกับเยอรมันนีคือเกมส์นัดชิงที่แท้จริง”
.
.
นัดนี้ยังมีประเด็นที่เกิดขึ้นหลังเกมส์ เมื่อ โรนัลด์ คูมัน ได้นำเอาเสื้อหมายเลข 10 ของทีมอินทรีเหล็กที่เค้าแลกกับ โอลาฟ โธน ไปทำท่าทางเช็ดก้นต่อหน้ากองเชียร์ฝั่งเยอรมัน...เรื่องนี้ทาง คูมัน เองออกมายอมรับว่ารู้สึกอยากจะขอโทษกับ โอลาฟ โธน เป็นการส่วนตัวที่เขาได้เคยแสดงกิริยาที่ไม่สมควรนี้ในอดีต....
ปัจจุบันแชมป์ฟุตบอลยูโรในปี 1988 ก็ยังคงเป็นถ้วยแห่งเกียรติยศเพียงหนึ่งเดียวของประเทศเนเธอร์แลนด์
.
.
เขียนโดย : เชิดศักดิ์ พัฒนะคูหา
ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากบทความ Netherlands avenge West Germany loss in EURO 1988 semi-final เขียนลงใน UEFA.com
#Holland #Germany #Euro #UEFA
#KhelNowLifestyle #KhelNowThailand
#เล่นเป็นเรื่อง #เล่าเป็นเรื่อง #รีวิวเป็นเรื่อง

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา