1 ส.ค. 2020 เวลา 09:13 • ศิลปะ & ออกแบบ
เรื่องเล่าชมรมศิลป์ Ep.5 : สวนมหัศจรรย์
[ Fragonard’s The Swing ]
ลมวูบใหญ่ที่พัดมาแบบไม่ทันตั้งตัว ทำให้กระโปรงอัดพลีทสีหวานของสาวผมบลอนด์ที่ยืนอยู่ไม่ไกลให้กระพือเปิดขึ้น ในจังหวะที่คล้ายกับภาพตราตรึงของสาวทรงเสน่ห์ตลอดกาลอย่างมาริลีน มอนโรว์
เพียงแต่ฉากตรงหน้านี้ดูทุลักทุเลมากกว่าที่จะชวนให้รู้สึกวาบหวิว
“คุณครับ...ของหล่น”
ผมเอ่ยเป็นภาษาอังกฤษ ขณะที่หยิบหนังสือขนาดย่อม ๆ ที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมายื่นให้กับสาวน้อยที่เมื่อสักครู่มัวแต่สาละวนอยู่กับการจับกระโปรงจนเผลอปล่อยของในมือให้ร่วงหล่นโดยไม่รู้ตัว
ทันทีที่หน้าปกหนังสือนั้นปรากฎแก่สายตา มือของผมก็หยุดชะงัก
“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าใช่คุณอลิซหรือเปล่าครับ”
สาวน้อยต่างชาติในสวนสาธารณะที่มาพร้อมหนังสือศิลปะยุคโรโคโค จะต้องเป็นคนที่ผมมีนัดด้วยในบ่ายวันนี้อย่างแน่นอน
The Swing (French: L'escarpolette), 1767, Wallace Collection, London. ภาพที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของงานศิลปะแบบโรโคโคที่เน้นแนวคิดแบบสุขนิยม การใช้โทนสีพาสเทล แสงเงาที่นวลฟุ้ง ลายเส้นและการประดับประดาที่เน้นเส้นโค้ง อากัปกริยาที่สวยงามเหมือนเต้นรำ
“The Swing” คือภาพที่เรากำลังศึกษาในชมรมศิลป์เมื่อหลายวันก่อน ใครสักคนบอกกับผมว่าเขามีคนรู้จัก ที่รู้จักกับผู้ที่เคยเป็นเพื่อนบ้านของครอบครัวที่สืบเชื้อสายมาจากผู้ครอบครองงานศิลปะสไตล์โรโคโคที่โด่งดังชิ้นนี้
หลังจากที่สืบสาวไปจนถึงฝรั่งเศส ผมก็ได้รับข่าวดีว่ามีสุภาพสตรีท่านหนึ่งที่ยินดีให้ข้อมูลเรื่องนี้กับผม ด้วยเป็นจังหวะที่เหมาะเจาะกับการมาท่องเที่ยวในช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนของเธอพอดี
ดวงตาสีเฮเซลคู่นั้นฉายแววแปลกใจเล็กน้อย ก่อนที่รอยยิ้มสดใสจะปรากฎขึ้น
“ใช่แล้วค่ะ ฉันชื่ออลิซ ส่วนคุณคงจะเป็น....”
ผมแนะนำตัวพร้อมเล่าให้เธอฟังแบบสั้น ๆ ถึงที่มาของการขอนัดพบ ศีรษะของเธอขยับขึ้นลงเป็นทีท่าว่าเข้าใจ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าว หรือการแต่งแต้มสีสันที่ทำให้พวงแก้มของเธอเป็นสีชมพูระเรื่อดูน่ารัก สมวัยที่เพิ่งย่างเข้าเลขสองหมาด ๆ
หลังจากที่เดินคุยสัพเพเหระมาสักครู่ เราก็มาถึงบริเวณที่มีม้านั่งและร่มไม้ บรรยากาศดูร่มรื่นเหมาะกับการนั่งสนทนา ถัดไปเล็กน้อยคือสนามเด็กเล่นที่มีครอบครัวอยู่ประปราย
กระรอกตัวหนึ่งไต่ลงมาจากโคนต้นไม้ใหญ่และหันมามองเราผู้มาเยือนก่อนจะวิ่งแผล็วหายไปในพุ่มไม้
“ถ้าเราตามมันไปอาจจะเจอโพรงกระรอกที่พาไปสู่ดินแดนมหัศจรรย์ก็ได้นะครับอลิซ”
สาวน้อยหัวเราะชอบใจในมุกที่เกือบตลกของผม
“น่าสนใจนะคะ แต่ฉันขอจินตนาการถึงชิงช้าที่สนามเด็กเล่นตรงนั้นดีกว่า น่าจะเหมาะกับภาพที่เรากำลังคุยกัน”
แววตาของเธอวิบวับเป็นประกาย น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นมีจังหวะสูงต่ำที่สนุกสนานรื่นเริงคล้ายท่วงทำนองดนตรีของโมซาร์ท
รู้ตัวอีกทีสวนสาธารณะสมัยใหม่ที่เราอยู่นั้นก็กลายเป็นสวนพฤกษศาสตร์ที่อุดมสมบูรณ์ราวกับป่า ต้นไม้สูงใหญ่แตกกิ่งก้านมากมายเต็มไปด้วยใบชะอุ่ม
และที่กิ่งใหญ่นั้นเองมีเชือกผูกอย่างแน่นหนาเป็นชิงช้า ร่างของหญิงสาวในชุดกระโปรงประดับลูกไม้สีชมพูขาวฟูฟ่องกำลังถูกแกว่งไกวอย่างมีชีวิตชีวา บนที่นั่งที่หุ้มด้วยผ้ากำมะหยี่สีแดงฐานประดับทอง
เครื่องแต่งกายที่หรูหราซับซ้อน ตัดเย็บด้วยผ้าหลายชั้นตามสมัยนิยมของชนชั้นสูงในยุคศตวรรษที่ 18
"อา...The Swing ของฟราโกนาร์”
“คุณรู้ไหมคะ จริง ๆ แล้วคนที่ถูกมอบหมายให้วาดภาพนี้เดิมทีไม่ใช่ฟราโกนาร์ แต่เป็นโดเยน”
“น่าเสียดายนะครับหากเขารับงานนี้ อาจจะทำให้เป็นที่รู้จักในฐานะศิลปะเอกแห่งยุคโรโคโคเช่นเดียวกับฟราโกนาร์ก็ได้”
“บางทีอาจจะเป็นเพราะเขารู้สึกละอายกับคำขอของท่านบารอนผู้ว่าจ้างก็ได้นะคะ”
เธอหัวเราะคิกคักเบา ๆ ก่อนจะพูดต่อ
“คุณย่าเคยเล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟังว่าความประสงค์ของท่านบารอนนั้นชัดเจนมาก เขาอยากได้ภาพชู้รักของเขานั่งอยู่บนชิงช้าที่ถูกไกวโดยบิชอป โดยที่ตัวเขาเองนั้นแอบซุ่มดูอยู่ที่พุ่มไม้ โดยหญิงสาวในภาพนั้นโชว์ข้อเท้าของเธอ หรืออาจจะมากกว่านั้นก็ได้เพื่อความตื่นเต้น”
“นี่ออกแนวอีโรติกเลยนะครับ ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมโดเยนถึงไม่สะดวกใจที่รับวาดภาพนี้”
“ใช่ค่ะ ฟราโกนาร์เลยได้รับช่วงไปและเขาแต่งแต้มจินตนาการนั้นให้โลดแล่นขึ้นไปอีก”
พุ่มไม้ที่ขึ้นสูงเกินไปโดยไม่ได้รับการตัดแต่ง เปรียบเสมือนอารมณ์ปรารถนาที่ขาดการควบคุม
ผมมองฉากที่อยู่เบื้องหน้า พุ่มไม้สูงใหญ่ใกล้กับตำแหน่งที่หญิงสาวโล้ชิงช้า มีรั้วเตี้ยที่ล้มอยู่บ่งบอกถึงการถูกบุกรุกโดยผู้มาเยือนที่ไม่ใช่เจ้าของบ้าน แรงสั่นสะเทือนเบา ๆ เกิดขึ้นหลังพุ่มไม้ ชายหนุ่มในชุดหรูหราคนหนึ่งแอบซ่อนอยู่ สีหน้าของเขาดูตื่นเต้นระคนเปรมปรีดิ์
ชายผู้นี้อาจเป็นบิชอป (นักบวช) ซึ่งเป็นตัวแทนของความถูกต้องตามธรรมเนียม หรืออาจจะเป็นคนรับใช้ หรือสามีของหญิงสาวบนชิงช้า
อีกฟากหนึ่งของชิงช้าคือชายมีอายุผู้หนึ่งที่กำลังออกแรงแกว่งไกวด้วยสีหน้าแช่มชื่น ร่างที่แทบจะกลืนหายไปกับเงามืดของร่มไม้นั้นดูมีความสุข ที่ได้มอบความเพลิดเพลินให้แก่หญิงอันเป็นที่รัก โดยไม่รู้เลยว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้างที่ด้านหน้าของเขา
“นั่นดูไม่เหมือนบิชอปสักเท่าไรนะครับ เขาดูเหมือนสามีของเธอมากกว่าในสายตาของผม”
“จินตนาการของฟราโกนาร์ออกจะร้ายกาจสักหน่อยใช่ไหมคะ ที่เอาเรื่องที่รู้กันแบบลับ ๆ มาขยายให้เห็นอย่างแจ่มชัด”
สีหน้าและท่าทางของหญิงสาวบนชิงช้า แสดงออกถึงความสนุกตื่นเต้น ทว่าสายตาอันเย้ายวนของเธอนั้นกลับหลุบต่ำลงไปพื้นเบื้องล่าง แทนที่จะมองตรงไปยังวิวเบื้องหน้า ไม่ต้องสงสัยว่านี่คือการนัดพบกันแบบลับ ๆ ของคู่รักที่เต็มไปด้วยแรงปรารถนา
ในจังหวะนั้นเองที่ชิงช้าถูกโล้ไปด้านหน้า ขายาวเรียวในถุงน่องผ้าไหมสีขาวของหญิงสาวก็เตะสูงขึ้นด้วยอารมณ์เตลิด จนรองเท้าแตะสีชมพูของเธอกระเด็นลอยละลิ่ว ขณะที่เผยมุมมองที่ไม่ปรากฎต่อสาธารณชนแก่สายตาที่จับจ้องอยู่เบื้องล่าง
การเคลื่อนไหวของชิงช้า (swing) มักจะใช้สื่อนัยยะถึงกิจกรรมทางเพศ / รองเท้าที่หลุดลอยอาจสื่อถึงการสูญเสียความเยาว์วัยอันบริสุทธิ์ของหญิงสาว
แขนข้างหนึ่งเหยียดยาวออกมาผ่านพุ่มไม้คล้ายกับต้องการสัมผัสสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า ก่อนที่ร่างนั้นจะล้มตัวลงด้วยความตื่นเต้น
คราวนี้กลับเป็นผมที่รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมา แม้ว่าจะไม่มีฉากวาบหวิวให้เห็นจัง ๆ แต่กลับแฝงไปด้วยสัญลักษณ์ที่ชวนกระตุ้นความคิดให้เตลิดไปไกลตามที่ศิลปินได้รังสรรค์เอาไว้
อลิซเหลือบมองดูผมแล้วอมยิ้มน้อย ๆ เธอแสร้งทำเป็นไม่เห็นใบหน้าที่แดงระเรื่อของผม พร้อมเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ
“แน่นอนว่าความสัมพันธ์ที่ซุกซ่อนของคู่รักนี้ ไม่พ้นสายตามากมายที่คอยจับจ้องอยู่”
ทันทีที่เธอกล่าวประโยคนี้ เสียงเห่าของสุนัขก็ดังขึ้นจากที่ใดที่หนึ่ง ผมพยายามเงี่ยหูจับทิศทาง จึงพบว่าต้นเสียงนั้นคือสุนัขขนปุยตัวเล็กที่อยู่แทบเท้าของชายสูงวัยผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่นั่นเอง มันเห่าอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยเสียงเล็ก ๆ ของมัน แม้ว่าผู้ที่เป็นเจ้าของจะดูไม่สนใจก็ตาม
ในภาพวาดของสตรีในยุคนั้น มักมีภาพสัตว์เลี้ยงอยู่ด้วยเสมอ สุนัข คือสัญลักษณ์ของความรักที่ซื่อสัตย์ (fidelity) การที่สุนัขนั้นเห่าจึงสื่อถึงความรักที่ไม่ถูกต้อง
“ผมว่ามันพยายามจะเตือนเขาแล้วนะครับ”
เธอเอามือจุ๊ปาก และชี้ไปที่ด้านหลังในทิศตรงกันข้าม รูปปั้นคิวปิดตัวน้อยเทพแห่งความรักกำลังยกนิ้วชี้แตะปาก เพื่อให้เพื่อนสี่ขาตัวน้อยเงียบลง ในขณะเดียวกันก็เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความลับที่ซ่อนเร้น
“อา…Menacing Love ใช่ไหมครับ”
[ Menacing Love ]
“ถูกต้องแล้วค่ะ งานปั้นของฟาลโกเนที่ถูกออกแบบขึ้นสำหรับมาดาม เดอ ปอมปาดูร์ ชู้รักคนสำคัญของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ฉันชอบที่แม้แต่รูปปั้นนี้ก็เล่าเรื่องราวในตัวของมันเอง”
“ส่วนทางนั้นก็มีคิวปิดอีกสององค์ แต่สีหน้าดูจะไม่สบายใจสักเท่าไร ว่าแต่ที่กอดอยู่นั่นคืออะไรเหรอครับ?”
สาวน้อยผมบลอนด์หันมาสบตาผมด้วยแววตาที่ดูหยอกเย้า คำพูดของเธอดูเป็นผู้ใหญ่จนผมอดแปลกใจไม่ได้
“คุณเคยอยู่ในความสัมพันธ์ที่เจ็บปวด แต่ก็เลิกรักไม่ได้ไหมคะ”
“เอ่อ….”
“ไม่ต้องตอบหรอกค่ะ ฉันหยอกคุณเล่น” เธอหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเล่าต่อ
“สิ่งที่คิวปิดทั้งสองกอดอยู่นั่นก็คือรังผึ้งค่ะ…อันที่จริงพิษของเหล็กไนผึ้งว่าร้ายกาจแล้ว ความรักที่เป็นพิษนี่อันตรายยิ่งกว่าอีกนะคะ”
[ Stinking love ]
ผมถอนหายใจยาว ขณะที่มองดูภาพตรงหน้าความคิดหนึ่งก็แว่บขึ้นมาในหัว
“อลิซ คุณคิดว่าสาวน้อยที่กำลังนั่งชิงช้าอยู่นี้ เธอกำลังมีความสุขกับช่วงเวลานี้จริง ๆ ไหมครับ หรือเธอจะรู้สึกเหมือนเป็นเครื่องเล่นของเหล่าบุรุษรอบตัวเธอ”
ริมฝีปากอวบอิ่มคู่นั้นเผยรอยยิ้มออกมา แว่บหนึ่งผมรู้สึกว่าใบหน้าของเธอนั้น ช่างดูคล้ายคลึงกับสาวน้อยบนชิงช้าอย่างหน้าประหลาด
“คุณอาจจะไม่รู้ แต่ว่าผู้คนในฝรั่งเศสช่วงศตวรรษที่ 18 มีความคิดที่เสรีมากกว่าที่คนในปัจจุบันคิดนะคะ
การที่ผู้ชายจะมีชู้รักถือเป็นเรื่องปกติที่ยอมรับกัน ในขณะเดียวกันผู้หญิงเองก็สามารถทำได้แบบเงียบ ๆ เช่นกัน หากว่าเธอพึงใจ และได้ทำหน้าที่มอบทายาทชายสำหรับสืบสกุลให้กับสามีของเธอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
“สำหรับตัวฉันเอง ก็อยากจะคิดว่านั่นคือการเลือกของเธอค่ะ ในยุคนั้นผู้หญิงทั่วไปไม่ได้มีสิทธิในการสืบอำนาจและเงินตราเช่นเดียวกับผู้ชาย แม้ว่าพ่อของเธออาจจะร่ำรวย แต่ทรัพย์สมบัติและที่ดินย่อมตกอยู่กับทายาทชาย
ดังนั้นฉันคิดว่าทางเลือกของการมีอำนาจเหนือบุรุษของพวกเธอ คือความสวยและความสาว แม้ว่ามันจะไม่จีรัง เช่นเดียวกับชิงช้าที่วันหนึ่งก็จะต้องหยุดเคลื่อนไหว แต่อย่างไรในช่วงเวลาสั้น ๆ นั้น เธอสามารถเบ่งบานและมีความสุขไปกับมัน”
กระโปรงสีชมพูขาวที่ดูงดงาม สะบัดพลิ้วไปตามแรงลม ชั่วเวลาหนึ่งสาวน้อยบนชิงช้าดูเปล่งประกายเจิดจ้าราวกับกลีบดอกไม้ที่งดงามในแสงอาทิตย์
ผมหันกลับมาหาอลิซ แต่กลับพบว่าม้านั่งจุดที่เธอนั่งอยู่เมื่อสักครู่เหลือเพียงแต่ความว่างเปล่า แม้ว่าจะมองหาสักเท่าไรก็ไม่มีใครอีก ราวกับร่างของเธอหายไปพร้อมกับสายลมที่พัดพา
กระรอกตัวเดิมโผล่ขึ้นมาจากพุ่มไม้ที่ตัดแต่งไว้เป็นอย่างดี มันเอียงคอดูผมที่นำหน้าฉงน แล้ววิ่งขึ้นต้นไม้ใหญ่หายลับไป
ผมเก็บหนังสือภาพศิลปะโรโคโคที่ตกอยู่ที่พื้นใส่ลงในกระเป๋า แล้วทรุดตัวนอนลงบนพื้นหญ้าใกล้ ๆ โคนต้นไม้ใหญ่ แสงแดดรำไรลอดผ่านใบไม้ไหวในสายลมอ่อน ๆ พัดพาเอาความคิดฟุ้งซ่านทั้งหลายออกไป สัมผัสได้เพียงความรู้สึกสงบและอบอุ่นในช่วงเวลานี้
“They were sitting
They were talking in the strawberry swing
Every moment was so precious…”
🎵 ฟังเพลง Strawberry Swing (2008)
โดย Coldplay ได้ที่นี่ 👇
หมายเหตุ :
(1) ฌ็อง-ออนอเร ฟราโกนาร์ (Jean-Honoré Fragonard) คือ ศิลปินในยุคบาโรค-โรโคโค งานของเขาเป็นที่นิยมอย่างสูงในสมัยศตวรรษที่18 มีเอกลักษณ์ในการสื่อถึงความใกล้ชิด สุขนิยม และมีสุนทรียะที่โรแมนติกไปจนถึงกึ่ง ๆ อีโรติก
หนึ่งในงานที่โด่งดังที่สุดของเขาคือ The Swing ที่เป็นสัญลักษณ์ของงานศิลปะโรโคโค
(2) กาเบรียล ฟรองซัวส์ โดเยน (Gabriel François Doyen) คือศิลปินผู้ได้รับการทาบทามจากบารอนให้วาดภาพชู้รักบนชิงช้า แต่เขาปฏิเสธและแนะนำฟราโกนาร์ให้เป็นผู้รับงานนี้แทน
(3) รูปปั้น Menacing Love ของ เอเตียน โมรีส ฟาลโกเน (Étienne Maurice Falconet) ที่ทำขึ้นสำหรับมาดาม เดอ ปอมปาดูร์
Étienne Maurice Falconet (1716-1791) Menacing Love. Marble, commissioned by Madame de Pompadour, exhibited in the 1757 Salon
เนื้อหาในบทความนี้เป็นข้อมูลจริงผสมส่วนที่แต่งขึ้นเพื่ออรรถรสในการนำเสนอ
แล้วพบกันใหม่ในชมรมศิลปะนอกเวลาครั้งหน้าครับ
Photo:
Wikimedia Commons

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา