5 ส.ค. 2020 เวลา 05:45 • การศึกษา
ความคิดและอารมณ์มีอิทธิพลต่อชีวิตคนเราอย่างมาก นับตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงเรื่องของความสำเร็จหรือความล้มเหลวในชีวิตเลยทีเดียวดังเรื่องราวที่เกิดขึ้นในครั้งพุทธกาล
นางปฏาจาราเป็นลูกสาวเศรษฐีแห่งเมืองสาวัตถี เมื่อเจริญวัยขึ้นมาก็ลักลอบได้เสียกับคนรับใช้ในบ้าน ต่อมาเศรษฐีผู้เป็นบิดาได้เตรียมจัดงานแต่งงานให้กับนางและบุตรเศรษฐีที่หมั้นหมายกันไว้ เมื่อปฏาจารารู้ ก็รีบบอกชายคนรักให้พาหนีออกจากบ้าน ทั้งสองได้ไปอาศัยอยู่ ณ ชานเมืองแห่งหนึ่ง ต่อมาปฏาจาราได้ตั้งครรภ์ นางตั้งใจว่าจะกลับไปคลอดลูกที่บ้านของบิดามารดา
แต่ปรากฏว่า นางได้คลอดลูกในระหว่างเดินทาง จึงยังมิได้กลับไปเยี่ยมบ้านเมื่อตั้งครรภ์ลูกคนที่ 2 นางก็ตั้งใจจะกลับไปคลอดลูกที่บ้านของบิดามารดาให้ได้ แต่แล้วนางก็คลอดลูกระหว่างทางอีกเป็นครั้งที่ 2 ท่ามกลางพายุฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก สามีของนางจึงรีบไปหากิ่งไม้และใบไม้เพื่อจะนำมาทำที่กำบังฝน เคราะห์ร้ายเขาได้ถูกงูเห่ากัดตายในป่าปฎาจารารออยู่นาน ไม่เห็นสามีกลับมา
ครั้นฝนซานางจึงอุ้มลูกน้อยที่เพิ่งคลอดไว้แนบอก แล้วจูงลูกคนโตออกเดินตามหาในที่สุดก็พบร่างของสามีนอนตายอยู่ แม้จะโศกเศร้าเพียงใดนางก็ฝืนทนพาลูกน้อยทั้งสองเดินทางต่อไป ด้วยหวังจะไปพึ่งบิดามารดา
เมื่อมาถึงริมฝั่งแม่น้ำที่เชี่ยวกราก เพราะฝนเพิ่งตกหนักเมื่อคืนที่ผ่านมา นางจำต้องให้ลูกคนโตรออยู่ที่ริมฝั่ง แล้วตนเองก็อุ้มลูกคนเล็กเดินฝ่ากระแสน้ำข้ามไปก่อนพอข้ามฟากไปได้ก็หาใบไม้มาปูพื้น แล้วนำทารกน้อยวางบนที่นอนนั้น
แล้วนางก็เดินฝ่ากระแสน้ำรีบกลับมารับลูกคนโต มาถึงกลางลำน้ำก็เหลียวกลับไปดูทารกน้อยด้วยความเป็นห่วง จึงได้เห็นเหยี่ยวตัวหนึ่งบินโฉบเอาลูกคนเล็กของนางไป ปฏาจาราตกใจมากรีบตบมือส่งเลียงร้องไล่เหยี่ยว
ฝ่ายลูกคนโตเห็นท่าทางของแม่ก็เข้าใจว่าแม่เรียก จึงเดินลงน้ำมาและถูกกระแสน้ำพัดพาจมหายไปปฏาจาราจึงต้องสูญเสียลูกทั้งสองไปต่อหน้าต่อตา ลูกคนหนึ่งถูกเหยี่ยวโฉบไปเป็นอาหาร ลูกอีกคนก็จมน้ำตาย นางโศกเศร้าหัวใจแทบสลาย พยายามพาร่างกายและจิตใจที่บอบช้ากลับไปหาบิดามารดา
แต่แล้วเมื่อเดินทางมาถึงถิ่นที่เคยอยู่อาศัย กลับไม่พบบ้านที่ตนเคยอยู่ นางเที่ยวถามผู้คนจนได้รู้ว่า บ้านหลังนั้นได้ถูกพายุถล่มทับคนในบ้านตายหมดแล้ว อีกทั้งศพของบิดามารดาของนางก็ถูกเผาบนเชิงตะกอนไปเรียบร้อยแล้ว
ในห้วงความคิดของปฏาจารามีแต่ภาพความตายของบุคคลอันเป็นที่รัก คนแล้วคนเล่า จนในที่สุดนางคิดว่า ชีวิตของนางไม่เหลืออะไรอีกแล้ว เท่านั้นเอง ปฏาจาราก็ไม่อาจประคองอารมณ์ได้อีกต่อไป นางร้องไห้คร่ำครวญเพ้ออย่างคนเสียสติ ปล่อยผ้าผ่อนหลุดลุ่ยไม่ไยดี เที่ยวเดินไปอย่างไร้จุดหมาย จนสุดท้ายพลัดเข้าไปในเชตวันมหาวิหาร ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางพุทธบริษัท ปฏาจาราก็ได้เดินเข้าไปอย่างเลื่อนลอย
1
พระพุทธองค์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตา ปรารถนาที่จะโปรดนางปฎาจารา จึงทรงเอ่ยทักนางด้วยพระสุรเสียงที่ไพเราะดุจเสียงท้าวมหาพรหมว่า
"ดูก่อนน้องหญิง เธอจงกลับได้สติเถิด"
พระสุรเสียงที่ไพเราะและเปี่ยมบุญฤทธิ์นั้น เสมือนน้ำทิพย์ชโลมใจที่กำลังแห้งผากไร้ที่พึ่ง ปฏาจาราผู้จมอยู่ในความทุกข์และอารมณ์เศร้าหมอง ก็พลันกลับคืนสติ เมื่อมีคนโยนผ้าห่มมาให้ นางก็รีบรับผ้ามานุ่งห่ม แล้วตั้งใจฟังธรรม
เมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมจบลง นางก็บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน ต่อมานางได้บวชเป็นภิกษุณี และได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันตเถรี อีกทั้งยังได้รับการยกย่องจากพระบรมศาสดาไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะทางด้านผู้ทรงพระวินัย
จากคนที่สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง จนดูเหมือนหมดหนทางที่จะเยียวยาแก้ไข แต่เมื่อปรับความคิดและอารมณ์เสียใหม่ก็สามารถพลิกชีวิตให้มาอยู่ในเส้นทางของความสำเร็จได้เช่นกัน
ชีวิตคนเราจะสุขหรือทุกข์ จะสมหวังหรือผิดหวัง จะล้มเหลวหรือสำเร็จ จึงเป็นสิ่งที่เราเลือกได้
อีกตัวอย่างหนึ่ง เป็นเรื่องราวชีวิตของ เพชฌฆาตเคราแดงในครั้งพุทธกาล ชายคนหนึ่งมีลักษณะแปลกประหลาดน่ากลัว คือมีนัยน์ตาเหลือกเหลือง มีเคราสีแดง เขาจึงเป็นที่หวาดกลัวของคนทั่วไป อยู่มาวันหนึ่งชายผู้นี้ได้พลัดเข้าไปในหมู่โจรกลุ่มใหญ่ซึ่งมีจำนวนถึง 499 คน เขาจึงขอฝากตัวเป็นบริวารพวกโจรเหล่านั้น
ต่อมาโจรกลุ่มนี้ถูกจับได้และถูกตัดสินประหารชีวิตทั้งหมด แต่ปัญหาก็คือไม่มีใครยอมเป็นเพชฌฆาต เพราะชาวเมืองไม่อยากจะทำบาป ครั้นเสนอหัวหน้าโจรว่าให้ฆ่าลูกน้องทั้งหมดแล้วจะปล่อยตัวไป หัวหน้าโจรก็ไม่ยอมทำ อีกทั้งโจรที่เป็นลูกน้องก็ไม่มีใครยอมรับข้อเสนอนี้เช่นกัน จนกระทั่งมาถึงนายเคราแดง ปรากฏว่านายเคราแดงตอบตกลง เมื่อได้ทำหน้าที่ประหารโจรครบทัง 499 คนแล้ว นายเคราแดงก็ได้รับการอภัยโทษ
จากนั้นมา นายเคราแดงก็ได้ทำหน้าที่เป็นเพชฌฆาตประจำเมือง ได้ประหารชีวิตนักโทษไปถึง 2,000 คน เป็นเวลาถึง 55 ปี เรี่ยวแรงของนายเคราแดงก็ถดถอยลง ทำให้ตัดคอนักโทษไม่ขาด จึงต้องถูกให้ออกจากตำแหน่ง
ตามธรรมเนียมยุคนั้นมีข้อกำหนดว่า คนที่เป็นเพชฌฆาตห้ามใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย อีกทั้งห้ามนุ่งผ้าใหม่ และห้ามกินข้าวยาคูที่เจือน้ำนม ต้องนุ่งแต่ผ้าเก่า ๆ กินอาหารหยาบ ๆ ดังนั้นเมื่อนายเคราแดงพ้นจากตำแหน่ง ก็คิดว่าจะนำเงินที่เก็บไว้มาใช้ให้ความสุขสบายแก่ตนเองอีกครั้ง เขาจึงเตรียมผ้าใหม่ พวงมาลัยมะลิ เครื่องหอมทาตัวและให้คนเตรียมข้าวยาคูเจือด้วยน้ำนมอย่างดีไว้รอท่า เมื่อลงไปอาบน้ำในแม่น้ำชำระล้างร่างกายแต่งตัวอย่างดีแล้วก็เตรียมจะกินข้าวยาคู
ครั้งนั้น พระสารีบุตรผู้เป็นอัครสาวกเบื้องขวาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เห็นด้วยญาณว่า เพชฌฆาตเคราแดง คือบุคคลที่ท่านควรจะไปโปรด เมื่อพระสารีบุตรออกจากนิโรธสมาบัติท่านจึงไปปรากฏยืนตรงหน้าของเพชฌฆาตเคราแดง ฝ่ายเพชฌฆาตเคราแดงเมื่อเห็นอาการกิริยาของพระสารีบุตร ก็รู้ได้ทันทีว่า พระเถระมาบิณฑบาต เขาคิดในใจว่า เราทำบาปมาตั้งมากมาย เมื่อมีพระมาโปรดให้ทำบุญบ้างก็ดีเหมือนกัน เขาจึงถวายข้าวยาคูนั้นแด่พระสารีบุตร
ส่วนตนเองคอยยืนพัดอยู่ข้างหลังขณะที่พระสารีบุตรฉัน เพชฌฆาตเคราแดงแม้จะถวายข้าวยาคูไปแล้วแต่ใจก็ยังมีความอยากที่จะได้ลิ้มรสข้าวยาคูนั้น พระสารีบุตรรู้วาระจิตจึงแบ่งไว้ส่วนหนึ่งแล้วบอกว่า นี้ส่วนของท่าน ท่านจงรับไปกินเถิด เพชฌฆาตเคราแดงก็ดีใจ ส่งพัดให้คนอื่นถือ แล้วรับข้าวยาคูส่วนที่พระเถระแบ่งให้มานั่งกิน พระเถระยังบอกคนที่ถือพัด พัดให้เพชฌฆาตเคราแดงด้วย เขาจึงกินข้าวยาคูไป มีคนคอยพัดให้ด้วยสบาย ๆ
อารมณ์ก็เบิกบานเหลือเกิน พอกินเสร็จก็มายืนพัดให้พระเถระเมื่อพระเถระอนุโมทนาแล้ว ก็แสดงพระธรรมเทศนาโปรดแต่เพชฌฆาตเคราแดงกลับฟังธรรมไม่รู้เรื่อง เพราะจิตพะวงเห็นแต่ภาพตนเองกำลังฆ่าคน เฝ้าคิดว่า...บาปเราเยอะ...บาปเราเยอะ อารมณ์ก็กลายเป็นหดหู่ เศร้าหมอง จึงฟังธรรมไม่รู้เรื่องเลย
พระเถระรู้ด้วยวาระจิต จึงถามเพชฌฆาตเคราแดงว่า ดูท่านไม่มีความสงบเลย เป็นเพราะเหตุใดหรือ
เพชฌฆาตเคราแดงก็ตอบว่า เป็นเพราะข้าพเจ้านึกถึงภาพที่ตนเองเคยฆ่าคน
พระเถระก็จึงถามต่อด้วยกุศโลบายว่า การที่ท่านฆ่าเขานั้น เป็นเพราะท่านอยากจะฆ่า หรือเพราะท่านต้องทำตามหน้าที่ เพชฌฆาตเคราแดงฟังแล้วก็คิดได้ จึงตอบพระเถระว่า ข้าพเจ้ามิได้อยากฆ่าเขาเลย
แต่ต้องทำตามหน้าที่ที่พระราชามอบหมาย พระเถระจึงกล่าวว่าก็ในเมื่อท่านไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าเขาจะมัวคิดเรื่องอกุศลอะไรมากมายเล่า
เมื่อเพชฌฆาตเคราแดงไม่คิดกังวล ก็รู้สึกผ่อนคลายมีอารมณ์สบาย เมื่อพระเถระแสดงธรรม เพชฌฆาตเคราแดงก็สามารถตรองตามใจก็เริ่มนิ่งเป็นสมาธิ สุดท้ายได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน พระเถระเห็นอย่างนั้นแล้วก็ลุกขึ้น เพชฌฆาตเคราแดงก็ลุกไปส่ง เมื่อพระเถระจากไปแล้วทันใดนั้นเองได้มีแม่โคตัวหนึ่งวิ่งมาขวิดเพชฌฆาตเคราแดงจนถึงแก่ความตาย แล้วเขาก็ได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต
การที่เพชฌฆาตเคราแดงผู้เคยทำบาปกรรมมามาก สามารถเข้าถึงความเป็นพระอริยบุคคลได้ ย่อมมาจากเหตุปัจจัยหลายประการประกอบกัน ทั้งบุญเก่า บุญใหม่ โดยเฉพาะบุญทางด้านการมีกัลยาณมิตร แต่กุญแจสำคัญที่ทำให้บุญเหล่านั้นได้ช่อง ก็คือ
ความคิดและอารมณ์ที่ดี ๆ นั้นเอง เพชฌฆาตเคราแดงรู้จักสร้างอารมณ์สบาย ด้วยวิธีการง่าย ๆ เช่น อาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดสะอ้าน อีกทั้งเป็นคนคิดบวกได้ แม้ในเหตุการณ์ที่ผิดหวัง เช่นเมื่อครั้งที่เขากำลังจะได้กินข้าวยาคูที่เฝ้าอดใจรอมาตลอดชีวิต เมื่อพระสารีบุตรมาปรากฏยืนตรงหน้า ยังสามารถคิดบวกได้ว่า
ดีเหมือนกันที่จะได้ทำบุญ ทั้งที่ใจก็ยังไม่คลายจากความอยากกินข้าวยาคูนั้น นอกจากนี้ในการปฏิบัติธรรม เมื่อถูกภาพความทรงจำเก่า ๆ ตามมาหลอกหลอน ก็สามารถรอดพ้นได้ เมื่อได้รับการแนะวิธีคิดที่เหมาะสม เมื่อคิดบวก คิดดี ก็มีอารมณ์สบาย และสิ่งเหล่านี้ก็คือ กุญแจไปประตูสวรรค์
เมื่อทุกคนเข้าใจความจริงข้อนี้แล้ว จึงควรส่งเสริมซึ่งกันและกัน ให้มีความคิดในทางสร้างสรรค์ และมีอารมณ์ที่เบิกบานอยู่เป็นนิจ โดยการชักชวนกันสวดมนต์ นั่งสมาธิ
เพื่อสร้างพื้นฐานที่ดีของความคิดและอารมณ์ อีกทั้งต้องช่วยกันสร้างบรรยากาศที่ดี ด้วยรอยยิ้มและปิยวาจาที่จะช่วยยกใจผู้ฟังให้เกิดความสบายใจ เกิดความเชื่อมั่น มีกำลังใจในการทำความดี ดังที่ยอดกัลยาณมิตรในกาลก่อน ได้กระทำเป็นแบบ
อย่างอันงดงาม
แม้ชีวิตในวันนี้ เราไม่อาจรู้ได้ว่า เราจะต้องพบเจอกับสิ่งใด จะดีร้ายแค่ไหน ขอให้เราดูแลความคิดรักษาอารมณ์ที่ดีไว้เพียงเท่านี้เราก็จะมีกุญแจสู่ความสุขและความสำเร็จอยู่ในมือแล้ว
เจริญพร
โฆษณา