5 ส.ค. 2020 เวลา 03:00
ขอบคุณนะครับ…
ในชีวิตคนเรานั้น นานๆจะมีวิธีคิดที่อาจจะเปลี่ยนเราหรือคนรอบข้างเราไปอย่างสิ้นเชิง แต่ละคนก็อาจจะไม่เหมือนกัน ผมเองเคยเล่าไว้ในหลายบทความ วิธีคิดแบบ “อื่นอื่นอีกมากมาย” ของพี่จิก ประภาส ชลศรานนท์นั้นเป็นวิธีคิดที่เปลี่ยนชีวิตผมตั้งแต่วัยรุ่น และมีอิทธิพลทางความเชื่อและส่งผลต่อการกระทำต่างๆ รวมถึงเป็นวิธีคิดที่อยากจะส่งต่อให้ลูกสาวสองคนของผมอย่างมาก
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ฟังอาจารย์เกตุ ดร. กฤตินี พงษ์ธนเลิศ หรือหลายคนรู้จักในนาม เกตุวดี marumura นักเขียนเรื่องราวของปรัชญาธุรกิจและชีวิตญี่ปุ่นที่อ่านง่ายและสนุกมากๆ อาจารย์เกตุเขียนหนังสือดีๆออกมาหลายเล่ม อาจารย์เกตุมาเล่าที่คลาสหลักสูตร abc ในเรื่องอิคิไก เป็นเรื่องราวของชีวิตที่มีความหมาย โดยแนะนำถึงวิธีคิดเริ่มต้นของคนญี่ปุ่นที่เป็นรากฐานอันสำคัญของวัฒนธรรมญี่ปุ่นและนำไปสู่สิ่งที่เรียกว่าอิคิไกในที่สุด..
1
…..
อาจารย์เกตุใช้ชีวิตอยู่ญี่ปุ่นหลายปี เรียนภาษาญี่ปุ่นและศึกษาวัฒนธรรมญี่ปุ่นด้วยความสนใจ ในวัฒนธรรมญี่ปุ่นนั้น มีคำที่อาจารย์เกตุบอกว่าคนญี่ปุ่นพูดบ่อยที่สุดคือคำว่า “ขอบคุณ” โดยมีคำขอบคุณในภาษาญี่ปุ่นอยู่เป็นสิบคำในวาระต่างๆ อาจารย์เกตุเปิดวีดีโอที่คนญี่ปุ่นขอบคุณทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน คู่แข่ง อาจารย์ นักเรียน อาหาร แม้กระทั่งสถานที่หรืออุปกรณ์ที่ช่วยอำนวยความสะดวก หรือธรรมชาติรอบตัว เสมือนว่าเป็นดินแดนแห่งความรู้สึกขอบคุณต่อทุกอย่างจริงๆ (ถ้าไทยเป็น land of smile ญี่ปุ่นก็คือ land of gratitude) คนญี่ปุ่นรู้สึก appreciate สิ่งต่างๆรอบตัว การขอบคุณอาหารก่อนทานก็คือการขอบคุณคนทำอาหารที่สละเวลามาทำอาหารอร่อยๆให้ สัตว์หรือพืชที่สละตัวมาเป็นส่วนประกอบ การขอบคุณคู่แข่งในการแข่งขัน ขอบคุณอุปกรณ์ ก็เพราะคู่แข่งทำให้ได้เรียนรู้ อุปกรณ์ช่วยให้สามารถแข่งขันได้ในวันนี้ ความรู้สึกขอบคุณเรื่องทั้งหลาย ทำให้เกิดความรู้สึกอ่อนน้อมต่อเรื่องราวรอบตัวเสมอ
2
อาจารย์เกตุเล่าถึงคำขอบคุณคำหนึ่งในหลายๆคำที่พูดว่า “โอคาเกะ ซามะเดะ” ที่แปลเท่าที่แปลได้ในภาษาไทยว่า ขอบคุณร่มเงาของท่านที่ทำให้ฉันมีวันนี้ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ แต่อาจารย์เกตุเล่าถึงเหตุการณ์หนึ่งว่าตอนที่ย้ายมาอยู่อพาร์ตเมนท์ในญี่ปุ่นใหม่ๆ อาจารย์เกตุเดินสวนกับคุณยายที่อยู่ติดกันโดยบังเอิญ คุณยายเจอหน้าแล้วโค้งให้อาจารย์เกตุอย่างสุภาพจริงใจแล้วพูดว่า โอคาเกะ ซามะเดะ ซึ่งอาจารย์เกตุก็งงว่าคุณยายทำไมถึงขอบคุณใหญ่โตแบบนั้น เลยไปถามครูสอนภาษา คุณครูเลยเล่าว่าคุณยายรู้สึกขอบคุณจริงๆที่อาจารย์เกตุมาอยู่ที่ห้องนั้นแทนที่จะเป็นนักเลงอันธพาลหรือวัยรุ่นเสียงดัง ทำให้คุณยายได้มีชีวิตที่สงบตามที่คุณยายชอบ อาจารย์เกตุถึงเริ่มเข้าใจความหมายของการ “รู้สึกขอบคุณ” ของคนญี่ปุ่นมากขึ้น
…….
ผมมาคิดต่อจากที่อาจารย์เกตุสอน แล้วลองมองมุมเรื่องความรู้สึกขอบคุณซึ่งปกติก็คงมีบ้างแต่ไม่ได้พยายามสังเกตอย่างชัดเจนนัก เลยรู้สึกว่าถ้าเรามีความรู้สึกขอบคุณกับคนรอบข้าง ธรรมชาติ หรือเรื่องราวใกล้ตัวอยู่เป็นประจำนั้น ที่เราจะได้จากความรู้สึกแบบนั้นแน่ๆคือความอ่อนน้อมถ่อมตน ความรู้สึกตัวตนที่เล็กลง ซึ่งอาจารย์เกตุบอกว่าเป็นต้นทางของอิคิไก หรือชีวิตที่มีความหมาย เพราะเมื่อเราอ่อนน้อมถ่อมตน เราก็จะสร้างความสุขให้คนอื่นได้ง่าย เป็นความสุขเล็กๆที่เราสะสมคุณค่าจนมี purpose ที่ทำเพื่อผู้อื่นได้
3
ผมเพิ่งฟังเรื่องการดูลักษณะนิสัยคนว่าคนๆนั้นเป็นคนดีหรือไม่ หรือแม้แต่มีคนบอกว่าถ้าจะเลือกคู่ชีวิตให้ดูว่าเวลาเขาเจอคนเสิรฟ แม่บ้าน หรือคนที่ต่ำทางสถานะกว่า เขาคนนั้นด่าบ๋อย ดูถูกแม่บ้านรึเปล่า เพราะจะแสดงถึงจิตใจส่วนลึกที่ไม่น่ารักไม่น่าคบเป็นแฟนมากๆ แต่ถ้าใครมีความรู้สึกขอบคุณและ appreciate สิ่งที่ได้รับในใจ แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็คงไม่เกิดอย่างแน่นอน และถ้าเขารู้สึกขอบคุณคนเสริฟได้ เขาก็น่าจะรู้สึกถึงคุณค่าของเราได้เช่นกัน
2
ในทางธุรกิจนั้น ถ้าผู้นำมีความรู้สึกขอบคุณอยู่ในใจ ไม่รู้สึกว่าข้ามาคนเดียว แต่มาเพราะทีมงานที่ช่วยกันแล้ว การแสดงออกถึงการรับฟังผู้น้อย การดูแลทุกคนให้เท่าเทียมกัน ความเมตตาก็จะเกิดขึ้นในการกระทำ รวมถึงการให้เกียรติ เสียสละตัวเองเพื่อส่วนรวม เห็นคุณค่าของงานและของเพื่อนร่วมงานก็จะทำให้ผู้นำได้รับการยอมรับอย่างแน่นอน
ในส่วนของพนักงานนั้น ถ้าเราได้รับมอบหมายงานไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็ตาม ถ้าเรารู้สึกขอบคุณเจ้านายที่ให้โอกาส ขอบคุณงานที่ทำให้เราได้เรียนรู้ ได้แสดงฝีมือ เราก็จะมีทัศนคติที่แข็งแกร่งและทำงานนั้นด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ เป็นการสร้างคุณค่าของตัวเอง และยิ่งถ้าเปรียบเทียบกับพนักงานอีกประเภทที่ได้รับงานก็ต้องคิดก่อนว่าอยู่ใน job description หรือไม่ หรือชักสีหน้าเพราะมองว่างานนั้นไม่น่าสนุก หรือเป็นงานที่น่าเบื่อ ความก้าวหน้าก็คงจะต่างกันอย่างมาก
1
…….
ในช่วงสามวันที่ผ่านมา ผมคิดถึงเรื่อง “ขอบคุณ” นี้ค่อนข้างมาก และรู้สึกว่าเรื่องราวนี้ทำให้มุมมองที่เห็นไม่ชัดนักได้ชัดขึ้น ผมเพิ่งพานักเรียนหลักสูตร abc ไปทำกิจกรรมแรลลี่ที่โคราชเมื่อวันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา โดยปกติเราก็ทำกันเต็มที่และมีความสุขเมื่อนักเรียนขอบคุณทีมงานว่าจัดได้ดี แต่พอฟังเรื่องนี้ก่อนไป มุมมองผมเริ่มเปลี่ยนไป ผมเริ่มคิดขอบคุณนักเรียนที่เสียสละเวลาวันหยุดมากับเราโดยที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเจออะไร เริ่มขอบคุณที่เขาไว้ใจ บอกให้ทำอะไรก็ทำ เสียสละเวลานอน ยอมทำตามกฎที่อาจจะไม่เห็นด้วย ฯลฯ ความรู้สึกแบบนี้ยิ่งทำให้อยากทำหลักสูตรให้ดียิ่งขึ้น ทำให้ตัวเราเล็กลงมากและเริ่มเหมือนจะเริ่มเห็นคำว่า อิคิไก อยู่ลางๆ..
1
ผมเพิ่งเริ่มความคิดนี้ได้ไม่กี่วัน ยังต้องขบคิดและฝึกอยู่อีกมาก ตอนนี้ก็เริ่มคิดขอบคุณสมาชิกครอบครัวทุกคนที่มี เริ่มค่อยๆคิดว่าควรจะขอบคุณใครอีกดี ซึ่งยิ่งคิดยิ่งรู้สึกถึงมุมมองใหม่ที่มีผลต่อความคิดอย่างมาก ก็เลยนอกจากอยากเขียนบทความนี้เพื่อชวนกันลองคิดถึงความรู้สึกขอบคุณคนรอบข้าง ครอบครัว พาร์ทเนอร์ ทีมงาน เพื่อนข้างบ้าน คู่แข่ง ธรรมชาติดีๆรอบตัว และนอกจากขอบคุณเรื่องราวต่างๆแล้ว ผมก็ยังอยากจะขอบคุณผู้อ่านทุกคนที่เสียสละเวลามาอ่านบทความยาวๆนี้เป็นเวลาหลายนาที ขอบคุณที่ช่วยแนะนำให้ความเห็นด้วยมุทิตาจิตที่มีความปรารถนาดีต่อผู้เขียน ขอบคุณที่เป็นกำลังใจและเข้ามาทักทายเวลาเจอหน้ากัน ขอบคุณ facebook ที่สร้าง tool แสนมหัศจรรย์นี้ให้มีเพจนี้ ขอบคุณตัวละครและผู้เล่าเรื่องที่ผมเอามาเขียนในบทความทุกท่านที่เป็นเสมือนอาจารย์ครูพักลักจำของผม ทำให้ผมได้ฝึกทักษะและมีพลังในการเขียนอย่างที่ไม่เคยคิดว่าจะทำได้มาก่อน …
โอคาเกะ ซามาเดะ ขอบคุณมากๆนะครับ…
1
โฆษณา