6 ส.ค. 2020 เวลา 23:30
THE ONE% สิ่งที่คนสำเร็จ 1% ของโลกทำคน 99% อยากรู้
10.8 ล้านครัวเรือนหรือ 50.7 ของจำนวนครัวเรือนทั้งหมดในไทย
มีหนี้เฉลี่ย 180,000 บาท
98.5% ของประชากรไทยมีเงินเก็บไม่ถึง 1,000,000 บาท
มีผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอยู่เพียง 4,000,000 คน
(จากผู้ยื่นแบบ 10 ล้านคน)
ใน ASEAN เราเป็นอันดับ 4 มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อคนต่อเดือนที่
18,500 บาทโดยประมาณ ในขณะที่ สิงคโปร์ประเทศที่มีประชากรเพียง 5.6 ล้านคน
มีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 164,000 บาท/คน/เดือน
1
มีผู้ชายคนหนึ่งที่เห็น
ความไม่เท่าเทียมกันของรายได้ หรือ
Income Inequality หรือ Wealth Gap
เขาเลยเขียนหนังสือที่จะช่วยให้ปัญหานี้ดีขึ้น
ผ่านหนังสือที่ชื่อ The ONE%
เห็นหน้าก็คงร้องอ๋อกันแน่นอน
ความหนาของมันก็กำลังดี 220 หน้า
24,000 คำ
ถ้าอ่านไปเรื่อยๆ 2 ชั่วโมงไม่เกินจบแน่นอน
1
และ 2 ชั่วโมงนั้นอาจเปลี่ยนชีวิตคุณ
( 1 ) พอล ภัทรพล
ย้อนกลับไปสมัยที่ YouTube ยังไม่มา
ละครทีวีช่อง 3 ช่อง 7 คือสิ่งบันเทิงไม่กี่อย่างในชีวิต
พี่พอล คือ หนึ่งในซุปเปอร์สตาร์ของเมืองไทย
ที่เป็นทั้งดารา นักร้อง และพิธีกร
จริงๆแล้วนอกจากความเป็นดาราแล้ว
พี่พอลยังทำรายการของตัวเอง
ทำธุรกิจกับเพื่อนๆ จนมีรายได้มากพอ
จะมีอิสรภาพทางการเงิน
แต่พี่พอลไม่ได้เริ่มจากความร่ำรวย
เป็นครอบครัวฐานะปานกลางจากภูเก็ต
ที่ผันตัวเองไปสู่คน 1% ได้สำเร็จ
เมื่อสำเร็จทางการเงินแล้วก็อยากจะแบ่งปัน
สิ่งดีๆให้คนไทยได้รับรู้
จึงเป็นที่มาของการเขียนหนังสือหลายเล่ม
และทุกเล่มก็เป็น All TIME BEST SELLER
สำหรับผมที่เคยมีโอกาสไปสัมภาษณ์และขึ้นเวที
งานสัปดาห์หนังสือพร้อมพี่พอล
1
อยากบอกว่าผู้ชายคนนี้มีดีทั้งหน้าตาและความคิด
ไปเรียนรู้วิธีคิดของพี่พอลกันครับ
( 2 ) นิยามของ 1% -คน 1% คือ-
สำหรับเล่มนี้พี่พอลให้คำอธิบาย
คน 1% คือคนที่ คิด และ ทำ อย่างแตกต่าง
จากคนทั่วๆไปอีก 99% และส่งผลให้เขา
ประสบความสำเร็จในชีวิต
แล้ววิธีคิดของพวกเขาเป็นยังไงหละ
หน้าถัดๆไปมีคำตอบครับ
( 3 ) Concept The ONE%
-Google Map ความสำเร็จ-
สิ่งที่นักเขียนชอบทำกันคือ
เปรียบเปรยบางอย่างให้เห็นภาพง่ายขึ้น
ที่ผมชอบที่สุดในส่วนนี้ของหนังสือเล่มนี้
คือการบอกว่าหนังสือเล่มนี้
คือ Google Map ของความสำเร็จ
ที่ผมชอบเพราะ
1. มันบอกวิธีไปสู่ความสำเร็จได้
2. แต่ต้องเป็นคนอ่านที่ออกเดินทางเท่านั้น
ถึงไปยังจุดหมายได้
เป๊ะและไอเดียดีมากๆครับ
ไปติดตั้ง Google Map ตวามสำเร็จกัน
( 4 ) กฎ 7 ข้อของคน 1%
จากการอ่านหนังสือ และศึกษากว่า 20 ปี
พี่พอล ตกผลึกได้ว่า คนที่ประสบความสำเร็จ
มีกฎในการคิดและทำ 7 ข้อด้วยกัน
1. Origin of great success
2. Extreme ownership
3. Power of Perseverance
4. Flow
5. Super Self Discipline
6. Unstoppable Self-Confidence
7. Entrepreneurial Mindset
สรุปให้ ขอสรุป 1-5 เป็นหลักนะครับ
( 5 ) กฏข้อที่ 1 เริ่มต้นด้วยความสำเร็จในหัว
-2 วิธีเปลี่ยนความคิดในหัวเป็นผลลัพธ์ที่ต้องการ-
สิ่งแรกสุดที่ควรทำคือ เปลี่ยนความคิดในหัวก่อนว่า
เราทำได้
เพราะสิ่งนี้กำหนดความสำเร็จทุกอย่างไว้
การเปลี่ยนนั้นทำได้ 2 วิธี
1. Shock วิธีนี้กะทันหัน ควบคุมไม่ได้
2. Repeat ค่อยเป็นค่อยไป ควบคุมได้
พี่พอลเขาแนะนำให้ใช้ Repeat ในการเปลี่ยน
ไปดูหน้าถัดไปกันเลยครับ
-Repeat : BE DO HAVE model-
ภาษา Coach จะมีสิ่งที่ช่วยให้เราเปลี่ยนความเชื่อและความคิดได้อยู่
มันเรียกว่า BE DO HAVE model
เป็นอย่างไร BE
ก็จะทำอย่างนั้น DO
และก็จะได้ผลลัพธ์จากการกระทำ HAVE
ถ้าอยากเปลี่ยนผลลัพธ์ก็ต้องเปลี่ยนความเชื่อ
วิธีที่หนังสือเล่มนี้แนะนำคือ
ให้คิดย้อนกลับนั่นเอง
อยากได้อะไร (Have) ให้คิดย้อนกลับ
เพื่อให้รู้ว่าต้องทำอะไร (Do) และควรเป็นอย่างไร (Be)
ผมเคยลองแล้วตอนอยากเป็นนักเขียน
ก็จินตนาการว่าตัวเองออกหนังสือสำเร็จ (HAVE)
ถ้าจะออกหนังสือได้ก็ต้องเขียน (DO)
ถ้าจะเขียนได้ต้องเป็นคนช่างสังเกต
และมีความคิดสร้างสรรค์ (BE)
แล้วก็มีหนังสือได้จริงๆ
Work ครับ
-Begin with the end in mind-
เด็กน้อยคนหนึ่งกคุณครูหาว่าเพ้อเจ้อ
เสียใจกลับบ้านมาเล่าให้พ่อฟัง
เมื่อพ่อถามว่าอยากเป็นอะไร
ทำไมคุณครูจึงหาว่า เพ้อเจ้อ
เขาตอบว่า อยากออกทีวี
พ่อจึงสอนว่า จงเชื่อมั่นในตัวเองว่าทำได้
เขียนเป้าหมายไว้ และจ้องมอง คิดถึงมันทุกวัน
ลงมือทำ แล้วมันจะเป็นจริงได้
เด็กน้อยเชื่อฟังพ่อและในเวลาต่อมา
เขาก็ได้ออกทีวีในที่สุด
เขาคือ STEVE HARVEY
ดารา พิธีกรดังชาวอเมริกัน
ถ้าให้ถอดรหัสเคล็ดลับ
เราเรียกสิ่งนี้ว่า
Begin with the end in mind
สร้างสภาวะให้ จิตใต้สำนึกเชื่อ
ว่าเราเป็นสิ่งนั้นจริงๆ ด้วยการโปรแกรม
ความเชื่อลงไป และความเชื่อนั้น
จะพาให้เราไปทำอะไรบางอย่าง
ที่นำไปสู่สิ่งที่เราต้องการนั่นเอง
(5) กฏข้อที่ 2 ความสามารถในการควบคุมทุกอย่างได้
-Reactive VS Proactive-
เคยได้ยินศัพท์ที่ว่า
เหยื่อ กับ ผู้ล่าไหมครับ
เหยื่อตามห่วงโซ่อาหาร
(เช่น กวาง)
มันจะมีความเครียดสูง
เพราะชีวิตเหมือนถูกกระทำตลอดเวลา
ต้องคอยระวังว่า เมื่อไหร่ เสือจะมา
พรากชีวิตไป
1
ส่วน ผู้ล่าจะใช้ชีวิตคนละแบบ
เสือจะเป็นผู้กำหนดว่าเมื่อไหร่
จะใช้ชีวิตแบบไหน
กิน นอน หรือ พักผ่อน
สถานการณ์ทั้งหมดอยู๋ภายใต้การควบคุม
คน 1% ก็เปรียบเหมือนผู้ล่า (Proactive)
เหตุการณ์ต่างๆมีอิทธิพลกับเขาน้อยกว่า
คนอีก 99% (Reactive)
ถ้ายังจำสมการ E+R = O
Event + Response = Outcome
ที่้เคยสรุปให้อ่าน จากหนังสือ
หลักคิดที่คนญี่ปุ่นพกติดตัวไปทำงานทุกวัน
ของคุณ Komiya
พี่พอลก็พูดถึงเรื่องเดียวกันเลยครับ
(6) กฏข้อที่ 2 ความสามารถในการควบคุมได้ทุกอย่าง
ท้อเป็นถ่านผ่านเป็นเพชร
ประโยคที่ครูวิทยากรของผมสอนบ่อยๆ
มันมาจากคำคมของ Thomas Edison
นักประดิษฐ์ก้องโลกที่ว่า
A diamond is a piece of coal that stuck to the job.
แปลว่า ถ่านหินที่ผ่านกระบวนการมายาวนาน
จะกลายเป็นเพชรได้ในที่สุด
1
ถ้าจะเป็นอย่างนั้นได้
เราอาจจะต้องควบคุมกระบวนการให้ได้
ทำยังไงลองไปเรียนรู้กัน
กฏ ข้อที่ 3 กัดไม่ปล่อย
-3 วิธีเพิ่มความกัดไม่ปล่อย-
หนังสือเล่มนี้ให้ไอเดียเกี่ยวกับเรื่องการ
เพิ่มความอดทน หรือ ภาษาคน 1% อาจจะเรียกว่า
กัดไม่ปล่อย ไว้ 8 วิธีด้วยกัน
3 อันที่ผมคิดว่าน่าสนใจคือ
1. เลี่ยงกฏค่าเฉลี่ย 5 คน
ในที่นี่หมายถึง เลี่ยงคนที่ฉุดรัังเราไม่ให้พัฒนา
2. เรียนรู้จากคนที่มีความกัดไม่ปล่อยสูง
เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ
3. ทำอะไรที่ท้าทายตัวเอง
ออกจาก Comfort Zone เสียบ้าง
1
-ไม่ยอมก็ไม่แพ้-
JK. Rowling คือตัวอย่างของคน 1%
ที่มีความกัดไม่ปล่อย
เธอเลิกกับสามีเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง
ยากจนต้องพึงเงินสงเคราะห์
โดนสำนักพิมพ์ปฏิเสธกว่า 10 แห่ง
แต่เธอก็ไม่เลิกล้มจนได้ตีพิมพ์
ก่อนที่นวนิยายเรื่อง Harry Potter
จะเปลี่ยนชีวิตเธอและคนทั่วโลกไปตลอดกาล
สิ่งที่เราเรียนรู้ได้จาก JK. Rowling
น่าจะเป็นความทรหดอดทนไม่ว่าสถานการณ์
จะไม่เป็นใจแค่ไหน
ถ้าอยากเป็นคน 1% มาฝึกความกัดไม่ปล่อยกันครับ
เร็วๆนี้มีหนังสือเล่มหนึ่งถูกแปลใหม่
และติดอันดับขายดีปี 2019 ด้วย
มันชื่อว่า GRIT เขียนโดยสุภาพสตรี
ที่ได้รับเกียรติให้รับรางวัลเงินทุนอัจฉริยะ
แมคอาเธอร์ เฟลโลว์ชิพ
Angela Duckworth
ทั้งที่เธอโดนพ่อของเธอกรอกหูเช้าเย็น
ว่า เธอไม่ใช้คนฉลาด
สิ่งที่เธอได้เรียนรู้คือ สำคัญกว่าความฉลาด
คือความพยายาม
เธอตกผลึกได้มาเป็นสมการง่าย 2 สมการเชื่อมโยงกัน
1. พรสวรรค์ + ความพยายาม = ทักษะ
2. ทักษะ + ความพยายาม = ความสำเร็จ
พี่พอลให้ข้อสังเกตว่า ในความสำเร็จ
ประกอบไปด้วย ความพยายามมากที่สุด
ผมเห็นด้วยเลยครับ
เพราะปราศจากความพยายาม
ต่อให้มีพรสวรรค์ก็ยากที่จะได้ทักษะ
ที่นำไปสู่ความสำเร็จได้
5 July 1991 ในงานเลี้ยง
ชายสองคน
เขียนบางอย่างใส่กระดาษพร้อมๆกันคนละแผ่น
หลังจากที่พิธีกรในงานถามว่า
ถ้าให้นิยามความสำเร็จด้วยคำๆเดียว
คุณจะเขียนว่าอะไร
ชายสองคนนี้เขียนคำเดียวกัน
"Focus" หรือการจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
1
มันก็คงเป็นเพียงเรื่องบังเอิญสนุกในงานเลี้ยงที่จบไป
ถ้าบังเอิญว่าชายสองคนที่เขียนคำเดียวกันนี้
ไม่ได้ชื่อ Warren Buffet และ Bill Gates
คนที่ร่ำรวยและประสบความสำเร็จระดับโลก
คน 1% ล้วนจดจ่ออยู่กับเพียงไม่กี่สิ่ง
และการจำทำสิ่งนั้นได้ดี
จำเป็นต้องรู้จักคำว่า Flow ครับ
-อะไรคือ Flow State-
นิยามง่ายของ Flow State แบบที่ผมเข้าใจ
คือ ภาวะที่เราทำงานได้ดี มีสมาธิ ใช้พลังงานน้อย
เสมือนเวลาหายไป
พวกเราก็น่าจะมีประสบการณ์ประมาณนี้กันบ้างเนอะ
-Flow State ของคน 1%-
งานวิจัยของ Dr. Mihaly นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ฮังกาเรียน
บอกว่า ในสภาวะ Flow
คนเราจะทำงานได้ผลผลิตเพิ่มถึง 500%
มีความคิดสร้างสรรค์เพิ่ม 400%
และสามารถเรียนรู้ได้เพิ่ม 200% จากภาวะปกติ
เคล็ดลับที่หนังสือเล่มนี้เพิ่มเติมให้คือ
คน 1% เขาไม่ได้ฉลาดกว่าคนทั่วไป
แต่พวกเขา เข้าสู่สภาวะ Flow State ได้บ่อยกว่า
เรื่องนี้คล้ายๆกับหนังสือ
ความลับของคนที่ไม่เคยเอางานกลับมาทำที่บ้าน
ของ Mentalist Daigo ที่พูดเรื่องพลังสมาธิไว้
2
คุณ Daigo บอกว่า คนที่ทำงานได้ดี
เข้าไม่ได้เก่งหรือมีพลังสมาธิสูงกว่าคนทั่วไ
แต่เขาสามารถใช้ได้นานจากการ ใช้ให้เป็นช่วงๆ
และรู้จักพักให้ถูกต้อง
ถ้าสนใจลองกลับไปอ่านสรุปกันได้นะครับ ^^
อยู่ในเพจนี่แหละ
-วิธีเข้าสู่สภาวะ Flow-
คุณ Mihaly ยังบอกด้วยว่าวิธีเข้าสู่ภาะว Flow
ได้จะเกิดจาก
การมีระดับ ความท้าทายและ
ความสามารถที่เหมาะสมกับตัวเอง
ทำงานที่ชอบ และ ระดับความยากเหมาะสม
จะช่วยให้เราทำงานที่เขาชอบพูดกันว่า
1
เหมือนไม่ต้องทำงานอีกตลอดชีวิต
แถมประสบความสำเร็จด้วย
เพราะงานวิจัยบอกว่าด้วยภาวะ Flow State
1
ทำให้เรา Productive จนอาจร่นเวลาจาก
4 ปี เหลือ 2 ปีได้
ฟังดูดีจังเลย
มาทำให้ตัวเองมี Flow State กันครับ
วินัย
คิดยังไงกับคำนี้ครับ
สำหรับผมแล้วคำนี้เป็นตัวกำหนด
ขนาดความสำเร็จไม่แพ้ความพยายามเลยครับ
หนึ่งคำคมที่ผมชอบในหนังสือเล่มนี้
กล่าวโดยชายที่ Focus กับการอ่านหนังสือ
บทความวันละกว่า 500 หน้า
เขาพูดว่า
"We don’t have to be smarter than the rest. We have to be more disciplined than the rest."
1
"เราไม่ต้องฉลาดกว่าคนอื่น เราแค่ต้องมีวินัยมากกว่าคนอื่น"
Warren Buffet พูดไว้
ไม่ต้องเชื่อเขาหรอกครับ
ลองทำดูก่อนแล้วให้ผลลัพธ์บอกเรากัน ^^
-กฏ 5 วินาที-
5.4.3.2.1 ทำ
กฏ 5 วินาทีจะช่วยให้เรามีวินัยขึ้นได้อย่างไร
ตามที่ผมเข้าใจคือสมองมักไม่ชอบทำอะไร
ที่ลำบาก แม้เรื่องลำบากนั้นจะทำให้เราสบายภายหลัง
ดังนั้นเมื่อคิดว่าจะทำอะไรยากๆ
และสมองเริ่มรับรู้ มันก็จะพาเราไปหาเหตุผลต่างๆ
ที่ทำให้เรารู้สึกไม่อยากทำ
เราอาจจะเรียกสิ่งนั้นว่า ข้ออ้าง ก็ได้
วิธีแก้ก็คืออย่าปล่อยให้สมองคิดเยอะครับ
คิดได้ ก็ลงมือทำหลังคิดไม่เกิน 5 วินาที
และเมื่อทำแล้ว สมองส่วนอื่นๆก็จะเข้ามาทำงานแทน
ทำให้เราทำงานได้ยาวๆ
ลองไปใช้ดูนะฮะ
ผมเอาไปใช้กับการออกกำลังกาย
พอคิดจะวิ่งก็เปลี่ยนชุดใส่รองเท้าวิ่งเลย
จะได้ไม่โอดครวญ 555
สรุปให้ มองว่าเป็นหนังสือที่ดีมากๆอีกเล่ม
อ่านง่าย มีตัวอย่างหลักการชัดเจน
เป็นประโยชน์กับทุกคน
ขอบคุณพี่พอล และ I AM THE BEST
ที่ให้เกียรติพวกเราสรุปหนังสือดีๆเล่มนี้นะครับ
โฆษณา