15 ส.ค. 2020 เวลา 23:00
#เผชิญภัยจากมาตุคาม (ผู้หญิง)
“ หลวงปู่จวน กุลเชฏฺโฐ คือพระสุปฏิปัณโณผู้สร้างวัดเจติยาคีรีวิหาร ตั้งอยู่ที่ตำบลนาแสง อำเภอศรีวิไล จังหวัดหนองคาย ซึ่งเป็นศาสนสถานที่เหมาะสมยิ่งแก่การเจริญภาวนา ในปี ๒๕๑๒ ท่านริเริ่มการสร้างบันไดวน ๗ ชั้น ขึ้นไปยังยอดภูทอก ผู้ที่ได้ไปเยือนย่อมรู้สึกอัศจรรย์และซาบซึ้งในภูมิปัญญา ศรัทธา และวิริยะของทั้งพระสงฆ์และผู้ที่มีส่วนร่วมในการรังสรรค์สิ่งก่อสร้างดังกล่าวนี้
หลวงปู่จวนอุปสมบทเมื่ออายุครบ ๒๑ ปีบริบูรณ์ ในฝ่ายมหานิกาย ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๔๘๖ ได้บวชในฝ่ายธรรมยุต พระอุปัชฌาย์ คือ พระครูทัศนวิสุทธิ (พระมหาดุสิต เทวิโร) ซึ่งเป็นหลานของพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) หลวงปู่จวนเล่าถึงเหตุที่พระอุปัชฌาย์ตั้งฉายาให้ว่า “กุลเชฏฺโฐ” ไว้ดังนี้
“พอได้รับแต่งตั้งให้เป็นอุปัชฌาย์ได้เพียง ๕ วัน ก็มาอุปสมบทข้าพเจ้าเป็นนาคแรก นับว่าข้าพเจ้าเป็นนาคแรกที่สุดของท่าน ท่านจึงได้ตั้งฉายาให้ข้าพเจ้าว่า “กุลเชฏฺโฐ” แปลว่า พี่ชายคนใหญ่ที่สุดของหมู่ของพวกในวงศ์ตระกูลนี้”
หลังจากญัตติเป็นธรรมยุตแล้ว ในพรรษาที่ ๔ หลวงปู่จวนได้มีโอกาสร่วมจำพรรษากับ ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ที่วัดป่าบ้านหนองผือ จึงได้รับโอวาทและคำชี้แนะในการปฏิบัติที่มีประโยชน์ยิ่ง
เมื่อออกพรรษา ท่านได้กราบลาท่านอาจารย์เพื่อออกธุดงค์ โดยเดินทางไปจนถึงจังหวัดทางภาคเหนือ ซึ่งในพื้นที่นี้เอง ท่านต้องเผชิญภัยจากมาตุคาม(ผู้หญิง) อยู่หลายครา จนถึงครั้งที่หนักหนาสุด เพราะฝ่ายหญิงเป็นผู้มีกิริยาดี ตลอดจนผู้ปกครองของเธอก็สนับสนุนให้ท่านลาสิกขาออกมาเพื่อช่วยกันทำมาหากิน
หลวงปู่จวนซึ่งในขณะนั้นยังเป็นพระหนุ่ม ได้พยายามเจริญอสุภกรรมฐานแต่ก็ไม่เป็นผล ในคืนที่กำลังจะตัดสินใจว่าจะลาสิกขาหรือไม่นั้น ท่านได้อธิษฐานว่า
“...หากข้าพเจ้าจะได้มีวาสนาได้เห็นธรรมเจริญต่อไปในทางพระพุทธศาสนา ก็ขอให้มีเหตุใดเหตุหนึ่งมาช่วยคลี่คลายเรื่องที่กำลังประสบนี้ด้วยเถิด..”
ในยามเช้าที่ออกบิณฑบาตตามปกติ ก็มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นสมดังคำอธิษฐานในคืนที่ล่วงมา
“เช้าวันต่อมาเมื่ออกบิณฑบาต หญิงสาวผู้นั้นก็มายืนรอใส่บาตรตามเคย ข้าพเจ้าพยายามไม่มองหน้าหญิงนั้นเลย พอเปิดฝาบาตรจะรับบาตร ก็ให้บังเอิญว่าผ้าประจำเดือนของหญิงนั้นได้หลุดลงที่พื้นดิน แม้หญิงนั้นจะตกใจ พยายามใช้เท้าเหยียบให้จมโคลน ปกปิดภาพของจริงไว้ แต่ข้าพเจ้าก็ทันเห็นเลือดสีแดงเต็มตา ในใจเกิดความรู้สึกสลดสังเวชขึ้นมาทันที ด้วยเห็นถนัดเป็นของปฏิกูลพึงรังเกียจ ระลึกขึ้นมาได้ว่า เราได้อุตส่าห์สละชีวิตจากเพศฆราวาสมาสู่เพศบรรพชิต หนีจากของต่ำมาหาของสูงแล้ว เรายังจะย้อนกลับไปหาชีวิตที่เราสละแล้วอีกหรือ”
เมื่อคิดได้ดังนี้แล้วท่านจึงปิดฝาบาตรทันที กลับไปยังที่พัก เก็บบริขารและหนีออกไปจากที่แห่งนั้น โดยที่ยังไม่ได้ฉันภัตตาหารใดๆ ต่อมาภายหลังท่านได้เล่าเรื่องนี้ถวายท่านพระอาจารย์มั่น เมื่อท่านพระอาจารย์มั่นได้ฟังแล้ว ก็กล่าวว่า
“เป็นธรรมดาของพระหนุ่มที่จะต้องพบเหตุการณ์เช่นนี้ ความสำคัญอยู่ที่ว่า จะต้องเจริญกรรมฐานต่อสู้เอาชนะกิเลสมารตัวร้ายนั้นอย่างไรต่างหาก”
หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ ได้ต่อสู้กับกิเลสมารอย่างสง่างาม ครองสมณสารูปอันเป็นที่เคารพเลื่อมใสตราบจนวาระสุดท้ายแห่งชีวิต... “
หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ
:ไม่ขอคืนสู่ชีวิตที่สละแล้ว
โดย เทียบธุลี
โฆษณา