18 ส.ค. 2020 เวลา 23:00
#พลาดท่าต่อกิเลสมาร
“ ...หลังจากพักอยู่ในป่าช้าได้ ๑ คืน พอรุ่งเช้าก็ออกบิณฑบาตเข้าไปในหมู่บ้านพระเนาว์ ส่วนโยมบิดาก็เฝ้าสิ่งของและบริขารอยู่ ณ ที่พัก ท่านบิณฑบาตตามบ้านได้ประมาณ ๒๐-๓๐ หลังคาเรือน เหลืออีกเพียง ๒-๓ หลัง ก็จะพ้นจากเขตหมู่บ้านไป ปรากฏว่าโยมทุกคนตักบาตรแต่ข้าวสุก ได้ประมาณครึ่งบาตร แต่ไม่มีกับข้าวเลย
“ขณะเดินบิณฑบาตอยู่กิเลสเข้าสิงใจ ข้าพเจ้าเกิดอาละวาดขึ้นมา บังคับให้ข้าพเจ้าออกปากขออาหารกับข้าวจากโยมผู้ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ปวารณา โดยข้าพเจ้าไม่รู้สึกตัวว่าผิดต่อพระวินัยที่พระพุทธองค์บัญญัติห้ามไว้ในหนังสือปาติโมกข์ หมวดปาจิตตียวรรค”
ในขณะที่โยมตักบาตรอยู่ ท่านจึงบอกไปว่า... “โยม เช้าวันนี้มีผู้ใส่บาตรให้แต่ข้าวสุก อาหารกับข้าวไม่มี ถ้าได้อาหาร เกลือ พริก ผัก น้ำปลา ปลาร้า ปลาจ่อม ปลาเค็ม อย่างนี้อย่างใดอย่างหนึ่งไป ฉันกับข้าวสุกพอกลืนลงคอง่ายๆ ก็จะเป็นการดี”
โยมจึงนิมนต์ให้รอประมาณ ๑๐-๑๕ นาที แล้วกลับมาใส่บาตรด้วยห่ออาหารขนาดใหญ่เท่าผลส้มโอ เมื่อท่านบิณฑบาตเสร็จแล้วก็เดินกลับที่พัก ด้วยความปีติยินดีว่าได้กับข้าวแล้ว ต่อเมื่อได้เดินพ้นรั้วหมู่บ้านไปแล้ว ท่านจึงรู้ตัวว่าได้ทำผิดไป
1
“ข้าพเจ้าเผลอ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ที่ว่าเห็นโยมไม่ฉลาดในการตักบาตร ที่แท้จริงตัวเราเองไม่ฉลาด โง่บัดซบ กระทำผิดต่อพระวินัยที่ห้ามไว้ เชื่อกิเลสตัณหาฝ่ายพญามารเข้าสิงใจแต่ด้านเดียว คือเห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นความชั่วเป็นของดี ได้อาหารขอมาในทางมิจฉาชีพ ไม่เป็นสัมมาชีพโดยแท้”
ท่านเล่าความรู้สึกในตอนนั้นไว้ดังนี้ “ข้าพเจ้าสะดุ้งกระเทือนรู้ตัวภายหลัง ขณะเดินพ้นรั้วประตูเขตหมู่บ้านไปแล้ว แต่ยังไม่ถึงที่พักกลางป่าช้า ข้าพเจ้ารู้สึกตัว เสียใจเป็นอันมากว่าได้หลงเล่ห์กลของกิเลสตัณหาพญามารเสียแล้ว” เมื่อรู้สึกตัวดังนั้นแล้ว ท่านจึงปฏิบัติตนอย่างสงฆ์ผู้เคารพในพระธรรมวินัย “เมื่อข้าพเจ้ารู้สึกตัวว่าได้กระทำผิดไปแล้วดังนี้ ข้าพเจ้าก็ตัดสินใจได้เร็วพลัน เปิดฝาบาตรออกเอามือขวาล้วงลงไปในบาตร จับเอาห่ออาหารนั้นขึ้นมาขว้างทิ้งเข้าป่าไป โดยไม่มองหน้าไปดูว่าไปตกที่ใด ห่างไกลกี่มากน้อย ไม่ยอมให้ฉันเป็นเด็ดขาด เพราะอาหารได้มาโดยไม่ชอบทางพระวินัยเป็นมิจฉาชีพ ไม่ใช่สัมมาชีพดังกล่าวมาแล้ว เหลือแต่ข้าวสุกแต่อย่างเดียวที่ได้มาโดยชอบ จำต้องฉันแต่ข้าวเปล่าๆ ไปตามมีตามได้ จึงจะจัดว่าเป็นสมณสารูป สงฆ์ผู้ไม่ลุอำนาจชั่วแก่กิเลสตัณหา
เมื่อกลับมาถึงที่พักท่านแจ้งแก่โยมบิดาว่าวันนี้บิณฑบาตได้เพียงข้าวเปล่า โยมบิดามีน้ำตาลที่กลั่นจากต้นตาล ขนาดเท่าผลสมออยู่ ๔ ก้อน จึงแบ่งกันคนละ ๒ ก้อน ท่านฉันน้ำตาลกับข้าวสุกไปเรื่อย ๆ จนน้ำตาลหมดไป ๑ ก้อนครึ่ง ก็มีเสียงโยมเรียกจากริมป่าช้า ขอให้ท่านช่วยบอกทางเข้าไปพบ ปรากฏว่าเป็นโยมผู้หญิง ๒ คน โยมผู้ชาย ๑ คน ได้นำอาหารและเครื่องไทยทานมาถวายหลายอย่าง เมื่อเช้านี้พระคุณเจ้าออกบิณฑบาตตามถนนในบ้าน แลเห็นพระคุณเจ้าอยู่ ตักบาตรไม่ทัน คิดว่าจะนิมนต์ขึ้นฉันในบ้านก็ไม่ทันอีก บ้านดิฉันทำบุญเลี้ยงพระ จึงได้แบ่งอาหารเครื่องไทยทานมาถวายทางป่านี้อีก
ท่านจึงได้ฉันอาหารที่พวกเขานำมาถวาย แล้วจึงให้ศีลให้พรแก่โยมทั้งสามนั้น หลวงปู่ได้กล่าวถึงเรื่องราวในครั้งนี้ว่า “นี่แหละหนอที่ท่านว่าผู้มีศีลมีความสุข ผู้มีศีลมีโภคทรัพย์สมบัติ ผู้มีศีลไปนิพพานได้”
หลวงปู่ผั่น ปาเรสโก
ชีวประวัติหลวงปู่ผั่น ปาเรสโก
เรียบเรียงโดย : พระมหาประกอบ ธัมมชีโว
โฆษณา