18 ส.ค. 2020 เวลา 14:17 • ไลฟ์สไตล์
ADIDAS ZX : การเดินทางกว่า 35 ปีจากรองเท้าวิ่งสู่การเป็นคลาสสิคสนีกเกอร์เหนือกาลเวลา
ถ้าจะพูดถึงซีรี่ส์รองเท้าแบรนด์ ADIDAS ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ผ่านเวลามาหลายยุคหลายสมัย และในปัจจุบันก็ยังคงมีการผลิตออกมาจำหน่ายเรื่อย ๆ ไม่หายไปไหน ยังไงหนึ่งในรายชื่อเหล่านั้นก็ต้องมีรุ่น ZX รวมอยู่ด้วย
จากวันแรกจนถึงวันนี้กว่า 35 ปี แล้วที่ซีรี่ส์ ZX ยังคงได้รับความนิยมอย่างสม่ำเสมอ หลายคนบอกว่ามันคือรองเท้าคลาสสิคเหนือกาลเวลา ซึ่งที่เป็นแบบนั้นก็เพราะรูปลักษณ์ภายนอกของมันแทบไม่เปลี่ยนเลย แต่ adidas ZX ไม่เคยถูกมองว่าตกรุ่น และในปัจจุบันถึงขั้นที่ว่าได้กลายเป็นหนึ่งในไอเทมแฟชั่นสายสตรีทไปแล้วด้วยซ้ำ
ติดตามเรื่องราวการเดินทางของ adidas ZX หนึ่งในซีรี่ส์รองเท้าคลาสสิคขึ้นหิ้ง และเหตุผลว่าทำไมมันถึงเป็นซีรี่ส์ที่ไม่มีวันตายได้ที่ Main Stand
ครบเครื่องเรื่องการวิ่ง
ถึงแม้ในปัจจุบันจะยังมีการวางขายกันอย่างกว้างขวาง แต่หากจะเล่าถึงจุดกำเนิดของรองเท้าซีรี่ส์ ZX คงต้องย้อนกลับไปในปี 1984 หรือเมื่อ 36 ปีที่แล้ว โดยในช่วงเวลาดังกล่าว จาคส์ เชสซิ่ง และ มาร์คุส ทาเลอร์ สองดีไซเนอร์หนุ่มแห่ง adidas ได้รับมอบหมายให้ออกแบบรองเท้ารุ่นใหม่โดยมีคอนเซปต์สำคัญว่า
"มันจะต้องเป็นรองเท้าที่เหมาะกับนักวิ่งทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งระยะไหน รูปแบบใด หรือวิ่งบนพื้นผิวอะไร adidas ZX ต้องตอบโจทย์เหล่านั้นได้อย่างครอบคลุมทั้งหมด"
Photo : www.lostockhalljuniors.co.uk
หลังจากที่ระดมสมองกันอยู่สักพัก ในที่สุด adidas ZX คู่แรกก็ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง ภายใต้ชื่อโมเดล ZX 500 ที่ปัจจุบันได้กลายเป็นรองเท้าราคาสูงในตลาดรีเซลไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ความโดดเด่นของ ZX คือการเป็นรองเท้า "Retro Meets Modern" ที่รูปลักษณ์ภายนอกคงไว้ซึ่งความสวยงามแบบคลาสสิคตามแบบฉบับรองเท้าวิ่งดั้งเดิมของค่าย 3 แถบ แต่จะมีการนำเทคโนโลยีล้ำสมัยของแต่ละยุคมาสร้างประสิทธิภาพในการใช้งานให้สูงอยู่เสมอ
เพียงแค่การเปิดตัวในช่วงแรก adidas ZX ก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ไม่สิ ต้องบอกว่ามันประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายเลยมากกว่า ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลกลใดที่ทำให้ adidas ZX ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า โดยหลายฝ่ายลงความเห็นว่า "ความลงตัว" ที่ครบครันทั้งประสิทธิภาพการใช้งาน รวมถึงรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูดี ส่งผลให้ adidas ZX เป็นรองเท้าที่เหมาะกับการใส่ในชีวิตประจำวัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่แต่ละครอบครัวจะต้องมีติดบ้านไว้อย่างน้อยครอบครัวละคู่
ความนิยมของ adidas ZX ถึงขั้นที่ว่าเพียงช่วงระยะเวลาสั้น ๆ 4 ปี ระหว่างปี 1984-1988 มีการผลิตโมเดลต่าง ๆ ออกมาไม่น้อยกว่า 20 โมเดลเลยทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้นจากจุดประสงค์แรกที่ตั้งใจผลิตออกมาเพื่อตีตลาดกลุ่มนักวิ่ง แต่กลายเป็นว่าแม้แต่ "บุปผาชน" ผู้หลงรักในเสียงเพลงและกัญชา วัฒนธรรมที่เฟื่องฟูสุด ๆ ในยุค 80s ซึ่งอยู่ด้านตรงข้ามกับเหล่านักวิ่งผู้รักสุขภาพโดยสิ้นเชิงก็ยังหันมานิยมใส่กันอย่างแพร่หลายเช่นกัน
"ในช่วงงาน Summer of Love (หนึ่งในเทศกาลสำหรับบุปผาชนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด จัดขึ้นในกรุงลอนดอนช่วงยุค 60-80s) ปี 1988-1989 เหล่าบุปผาชนจำนวนมากที่มาร่วมงานต้องการรองเท้าที่สามารถสวมใส่ได้อย่างสบายเท้า เนื่องจากพวกเขาเดินไปนู่นมานี่ตลอดทั้งคืน ZX จึงเป็นอะไรที่ตอบโจทย์เป็นอย่างยิ่ง" จอร์จ กริฟฟิน ผู้อำนวนการฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ adidas กล่าวกับ Highsnobiety
ด้วยการที่ adidas ZX เป็นซีรี่ส์รุ่นรองเท้าที่ประสบความสำเร็จ ขายดีมาตั้งแต่จุดเริ่มต้น ดังนั้นนี่จึงเป็นอีกรุ่นที่มี "แฟนบอย" เป็นจำนวนมาก ดังนั้นในแต่ละครั้งที่มีการผลิตโมเดลใหม่ออกมาวางจำหน่าย สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงคือความถูกใจของแฟนบอยเหล่านี้ ทำให้ส่วนใหญ่แล้วรูปทรงภายนอกของ adidas ZX ตั้งแต่ยุค 80s จนถึงปัจจุบันไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงมากเท่าไรนัก ทุกอย่างยังดูเหมือนเดิม ถึงแม้จะมีโมเดลออกมาหลายร้อยรุ่นแล้วก็ตาม
Photo : blog.size.co.uk
"ทุกครั้งที่จะมีการออกโมเดล ZX ใหม่ก็ไม่ต่างอะไรจาก Star Wars ออกภาคใหม่ หรือวง The Clash บันทึกเสียงอัลบั้มใหม่ เราต้องทำทุกอย่างด้วยความระมัดระวังและความเคารพเป็นอย่างยิ่ง" แกรี่ แอปเดน นักออกแบบจาก adidas กล่าว
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของซีรี่ส์ ZX เกิดขึ้นในช่วงปี 1988 หรือเพียง 4 ปีหลังจากการถือกำเนิดของซีรี่ส์ เมื่อ adidas ได้นำเทคโนโลยีที่มีชื่อว่า Torsion Bar ที่มีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานในการวิ่งให้ดียิ่งขึ้นมาใส่เข้ากับ ZX โดยโมเดลแรกคือ ZX800 และถึงจะมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ แต่เทคโนโลยีนี้ก็ยังคงอยู่กับ ZX มาจนถึงปัจจุบัน
Photo : www.otuzaltinciparalel.com
Photo : snkrtoday.com
"เพื่อให้แน่ใจว่าผู้สวมใส่จะมีอิสระในการเคลื่อนไหวอย่างสูงสุด ตั้งแต่ส้นเท้าจนถึงปลายเท้า Torsion Bar คือเทคโนโลยีที่จะเข้ามาทำให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ พื้นรองเท้าแบ่งออกเป็นสองส่วนเพื่อให้เท้าหน้าและเท้าหลังได้รับการซัพพอร์ตอย่างเป็นอิสระ" จอร์จ กริฟฟิน กล่าว
นอกจาก Torsion Bar อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่เข้ามาเติมเต็มให้กับ ZX ในยุคปัจจุบันคือ Boost (Boost Technology) ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในรองเท้ารุ่นต่าง ๆ ของ adidas
ร่วมสมัย เกาะติดเทรนด์
ถึงจะเป็นซีรี่ส์รองเท้าที่ขึ้นชื่อเรื่องความคลาสสิคเป็นจุดขายขนาดไหน แต่เมื่อมาถึงจุดหนึ่งที่เทรนด์ของโลกเปลี่ยนไป หนทางที่ดีที่สุดคือการรักษาสมดุลให้ลงตัวระหว่างความคลาสสิคและความสร้างสรรค์เพื่อให้เกิดความแปลกใหม่ ซึ่ง adidas ZX ก็ได้ยึดถือแนวทางนี้เช่นกัน
Photo : www.whatsonnortheast.com
เริ่มจากในปี 2008 ทาง adidas ได้ริเริ่มโครงการ aZX ซึ่งเป็นการนำร้านค้าปลีกเสื้อผ้า รวมถึงร้านสตรีทแวร์ชั้นนำทั่วโลกจำนวน 22 ร้าน ตัวอย่างเช่น Wood Wood, ALIFE, Goodfoot, Dave’s Quality Meats และอีกมากมาย มาร่วมกันออกแบบสร้างสรรค์ เติมแต่งสีสันลงไปบนรองเท้า adidas ZX ในแบบฉบับของตัวเอง ส่งผลให้ภาพลักษณ์ของ ZX ดูแปลกใหม่แปลกตากว่าที่ผ่านมา เปิดโอกาสให้ผู้คนกลุ่มใหม่เข้ามาทำความรู้จักรองเท้ารุ่นนี้มากยิ่งขึ้น จากเดิมที่ฐานแฟนคลับเหนียวแน่นอยู่แล้ว
ความสำเร็จจากปี 2008 ทำให้ในปี 2019 ที่ผ่านมาทาง adidas ได้สานต่อแนวทางนี้อีกครั้ง โดยครั้งนี้เป็นการจับมือกับคอมมิวนิตี้สตรีทแวร์ชื่อดังหลายเจ้า เช่น Overkill, Alltimers และ Highs & Lows มาร่วมกันสร้างสรรค์ความแปลกใหม่ให้เกิดขึ้นกับคอลเลคชั่นของ ZX อีกครั้ง
"สิ่งเหล่านี้ (การร่วมมือกับแบรนด์ต่าง ๆ) มีความสำคัญมากต่อแรงบันดาลใจในการผลิตผลงานโฉมใหม่ ผมมักจะใช้เวลานั่งดูผลงานที่ผ่านมาเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับแบรนด์และสิ่งที่ลูกค้าต้องการเพื่อนำมาต่อยอดเป็นประจำ"
"ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพราะไม่แน่ว่าไอเดียจาก 30 ปีที่แล้วอาจเหมาะที่จะนำกลับมาทำใหม่ในตอนนี้ก็เป็นได้" จอร์จ กริฟฟิน กล่าว
Photo : hypebeast.com
ความเป็นไปล่าสุดของซีรี่ส์รองเท้า ZX เกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2019 ที่ผ่านมา เป็นการร่วมมือกันระหว่าง adidas กับ Sneakersnstuff อีกหนึ่งคอมมิวนิตี้สตรีทแวร์ชื่อดังในการนำโมเดลสุดคลาสสิคอย่าง ZX500 นำมาปัดฝุ่นผลิตใหม่อีกครั้ง พร้อมเพิ่มความพิเศษด้วยการใส่เทคโนยีล้ำสมัย 4D ที่ใช้กับรองเท้ารุ่น ZX4000 4D เข้าไปด้วย เพื่อตอบสนองการใช้งานของผู้สวมใส่ให้ดียิ่งขึ้น
"ZX โดดเด่นด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาโดยตลอด เราจำเป็นต้องนำเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่าง 4D มาช่วยให้ซีรี่ส์รุ่นนี้ก้าวเดินต่อไปหลังจากปี 2019 เป็นต้นไป" กริฟฟิน อธิบาย
ส่วนหนึ่งในวัฒนธรรม CHUNKY SNEAKERS
อีกหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ซีรี่ส์รองเท้า ZX ยังคงยืนหยัดอย่างแข็งแกร่งมาถึงปัจจุบันคือการที่มันเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมหรือเทรนด์หรือเรียกกันติดปากว่า Chunky Sneakers
ว่าแต่ Chunky Sneakers ที่ว่ามันคืออะไรกันล่ะ ?
Photo : www.flickriver.com
เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว วัฒนธรรมการเล่นรองเท้าสนีกเกอร์ยังไม่แพร่หลายอย่างเช่นในปัจจุบัน กลุ่มผู้สนใจจริงจังยังจำกัดอยู่ในวงแคบ ๆ และต้องมีความรู้ในเรื่องของรองเท้าแต่ละคู่อย่างลึกซึ้ง อย่างเช่นถ้าคุณใส่รองเท้า Air Jordan 1 แต่ไม่มีความรู้เลยว่ารองเท้าคู่นี้สำคัญกับ ไมเคิล จอร์แดน อย่างไร คุณก็อาจจะโดนคนอื่น ๆ มองค้อนใส่ได้
อย่างไรก็ตามเมื่อกาลเวลาผันผ่านไป วัฒนธรรมเริ่มแพร่หลายมากขึ้นจนกลายเป็นกระแสหลักที่ไม่ว่าใคร ๆ ก็พูดถึง แบรนด์ยักษ์ใหญ่อย่าง Nike และ Jordan ก็เริ่มผลิตรองเท้าที่เข้าถึงคนหมู่มากเพิ่มขึ้น ในขณะที่ adidas มุ่งเน้นไปที่การจับรองเท้ากีฬาเก่า ๆ มาปัดฝุ่นอีกครั้ง ซึ่งตระกูล ZX ก็เป็นหนึ่งในนั้น
วัฒนธรรม Chunky Sneakers คือการนำรองเท้าที่ออกแบบมาเพื่อเล่นกีฬาเป็นหลัก ซึ่งส่วนใหญ่รูปร่างหน้าตาของมันก็จะดูอ้วน ๆ ป้อม ๆ ตามชื่อ Chunky ที่ไม่เคยถูกมองในแง่แฟชั่นเลย ให้สามารถผสมผสานกับเทรนด์แฟชั่นยุคใหม่ได้ และที่สำคัญคือมันได้รับความนิยมเสียด้วย
"นี่ไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ หรืออะไรที่ฉาบฉวย สำหรับผมเริ่มรู้สึกได้ตอนที่ได้เห็น adidas Ozweego 1 ของ Raf Simons ในปี 2013 มันทำให้ผมมองเห็นวิวัฒนาการในการทำงานร่วมกันรูปแบบนี้ และผมก็รู้ทันทีเลยว่ามันจะกลายเป็นเทรนด์ที่ใหญ่ขึ้นในอนาคต"
"เทรนด์นี้เป็นผลพวงจากการนำสไตล์กีฬา เข้ามาผสมกับ High Fashion และไม่ว่าสาเหตุที่แท้จริงจะเป็นยังไง แบรนด์รองเท้ารวมไปถึงแบรนด์แฟชั่นก็ต่างพร้อมใจกันออกสนีกเกอร์รูปทรงป้อมนี้ออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน" เทเลอร์ โอกาตะ ดีไซเนอร์สตรีทแวร์ชื่อดังให้ความเห็น
Photo : www.biyroamer.com
ด้วยวัฒนธรรม Chunky Sneakers นี้เองทำให้รูปทรงภายนอกของรองเท้าตระกูล ZX ที่ดูเหมือนจะตกยุคไปแล้ว และแทบไม่มีกลิ่นอายของการเป็นแฟชั่นไอเทมอยู่เลย กลับได้รับความนิยมสวนกระแสขึ้นมา
ดังนั้นถ้าจะกล่าวโดยสรุปว่าอะไรคือเหตุผลของการที่รองเท้า adidas ZX ยังคงได้รับความนิยม ไม่ใช่แค่ในแวดวงนักกีฬา แต่ในแง่ของแฟชั่นด้วย ทั้ง ๆ ที่ผ่านกาลเวลามานานกว่า 35 ปี และแทบไม่เคยเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอก คำตอบก็คงเป็นเพราะนี่คือซีรี่ส์รองเท้าที่มีจุดเด่นเป็นเอกลักษณ์ชัดเจน แต่ก็ไม่ทำตัวเป็นผู้ใหญ่หัวเก่าที่ไม่ยอมรับสิ่งใหม่ ๆ ตรงกันข้าม ZX กลับสามารถไหลไปตามกระแสความนิยมของแต่ละยุคได้เป็นอย่างดี
บทความโดย เพรียวพันธ์ แสนลาวัณย์
แหล่งอ้างอิง:
โฆษณา