20 ส.ค. 2020 เวลา 03:16 • นิยาย เรื่องสั้น

1. หนีรักไปค่ายอาสา

ปิดเทอมเดือนตุลาคม
เมื่อรับผลการเรียน ผมขึ้นรถไฟไปกับเพื่อนๆชมรมค่ายอาสาฯ จุดหมายปลายทางอุบลราขธานี
ไม่มีสัมภาระใด มีเพียงชุดนิสิต เสื้อขาวกางเกงสแลคที่ติดตัวนี่เท่านั้น
เสียงบนรถไฟอึกทึกเป็นปกติ บวกกับเสียงคำรามของล้อเหล็กเบียดกระทบราง
แต่ในหัวของผมนั้นอึกทึกยิ่งกว่ามาก
หญิงที่รักบอกลา และผมสอบตก
เสียงอึกทึกค่อยๆเงียบลงเมื่อระยะทางผ่านไป ลมเย็นพัดปะทะเข้ามา ผมเอามือกอดอก
“พี่เอาเสื้อเราไปใส่ไหม”
ผมหันไปหาต้นเสียง นั่งประจันหน้ากันอยู่นี่เอง เธอยื่นเสื้อแจ็คเก็ตให้
“เราเห็นพี่นั่งสั่นมาตั้งแต่สถานีปากช่องแล้ว”
เธอเป็นน้องปีหนึ่ง ผมจำได้เพราะผมเป็นสตาฟงานกิจกรรมของคณะมาตั้งแต่งานแรกพบที่สนามจุ๊บฯ อีกอย่างคือทรงผมสั้นสีแดง ไฝเม็ดเล็กที่ใต้ตาขวา ท่าทางแก่นๆ และสำเนียงแปร่งๆของเธอ
ตาเธอจ้องผมเขม็ง ท่าทางจะเริ่มหงุดหงิด เมื่อเห็นผมยังแค่มองนิ่งๆ
“แล้วนุ้ยจะไม่หนาวรึ”
“จุ๋มมีอีกตัว เดี๋ยวเราเอาของจุ๋มมาใส่ได้”
จุ๋มที่นั่งอยู่ข้างๆพยักหน้า
ผมรับเสื้อมาใส่เงียบๆ
เสียงเหล็กเบียดกันดังบาดหูเป็นระยะ เหมือนเสียงกรีดร้องของผู้ระทมทุกข์ซักคน
แต่ไม่บาดใจเท่าคำพูดสุดท้ายของคนจะเลิกกัน
ภาพเก่าๆวนเวียนอยู่ในหัว
ยิ้มกว้างกับหน้าหวานๆดวงนั้น ทำให้ผมชอบเธอทันทีที่ได้เห็นในวันแรกพบ
เธอเป็นเด็กกิจกรรมเหมือนผม ไปร้องเพลงเข้าห้องเชียร์ด้วยกัน ทำกิจกรรมน้องใหม่ด้วยกัน
หลังจากนั้นเราก็ตัวติดกัน
บ้านเธออยู่ตลาดน้อย ผมเดินไปส่งเธอที่ปากซอยทุกวัน
บางวันกลับทางถนนสี่พระยา บางวันผ่านหัวลำโพง บางวันเราเดินอ้อมไปทางบางรัก
แต่พอจบปีหนึ่ง เธอถูกรีไทร์
เธอสัญญาว่าจะกลับมาเรียนที่นี่ใหม่ในปีหน้า และเธอก็กลับมาได้จริง
“เราอยากใช้ชีวิตปีหนึ่งใหม่อีกปี อาจจะห่างๆกันหน่อยนะ”
เธอบอกให้ทำเป็นเหมือนไม่รู้จักกัน ผมบอกเพื่อนว่าเราเลิกกันแล้ว เธอเป็นน้องใหม่
เราติดต่อกันผ่านทางจดหมาย ผมเขียนเล่าเรื่องของผม ใส่ในล๊อคเกอร์หน้าชมรม จดหมายของเธอจะถูกเอามาวางตอนบ่ายๆ
วันหยุดเราจะนัดเจอกัน แต่ไม่ใช่ที่คณะ ไปดูหนัง อ่านหนังสือ
เธออยู่กับเพื่อน รอยยิ้มกว้างกับหน้าหวานๆนั้น อยู่ห่างออกไปแค่ไม่ถึงสิบเมตร แต่เราไม่รู้จักกัน
ผ่านไปถึงกลางเทอมต้น จดหมายรอบบ่ายก็หายไป ที่เคยนัดกันก็ไม่มี
หลังสอบกลางภาค ผมเดินเข้าไปหาเธอตอนที่กำลังคุยสนุกอยู่กับเพื่อน นัดพบกันที่หน้าตึกฟิสิกส์ตอนหกโมง
“เราไม่ได้รู้สึกรักเธออีกแล้ว เราเลิกกันเถอะ”
แม้จะเตรียมตัวมานาน แต่เมื่อถึงเวลา หัวใจผมก็เหมือนโดนฉีกทึ้งดึงออกจากอก แล้วโยนมันทิ้งคลองระบายน้ำหน้าตึกฟิสิกส์ให้ปลานิลกินเสียให้หมด
“เดี๋ยวเราจะหลับ พี่อย่าโดดรถไฟไปนะ”
ผมหันมอง แม้แสงไฟในโบกี้จะไม่ได้สว่างนัก แต่ผมก็เห็นความจริงจังในดวงหน้าและแววตาของเธอชัดเจน
....
มีรถทหารมารอรับพวกเราที่สถานีวารินชำราบ
โรงเรียนที่เราจะไปอยู่ห่างจากตัวจังหวัดไปอีกหลายสิบกิโล
เพื่อนๆบอกว่า ตั้งแต่เริ่มตั้งชมรมค่ายอาสาพัฒนา ก็ได้รับความอนุเคราะห์จากหน่วยงานราชการ ทหาร ตำรวจเป็นอย่างดีเสมอมา
“รุ่นพี่ของพวกเราเป็นหลักอยู่ในทุกหน่วยงานทั่วประเทศ ไปที่ไหนไม่ลำบาก ไม่อดอยากหรอก”
ชาวค่ายช่วยกันขนของขึ้นรถ นอกจากสัมภาระส่วนตัวแล้ว ยังมือเครื่องไม้เครื่องมือ เครื่องครัว กีตาร์ กลอง
“พี่จะเอาเสื้อผ้าที่ไหนใส่”
สำเนียงแปร่งๆแต่อ่อนโยนกว่าบนรถไฟเมื่อคืน เจ้าของเสียงยื่นหมูปิ้งให้
ผมทำท่าจะถอดเสื้อคืนให้
“ไม่ต้องหรอก เราไม่หนาว เอาหมูปิ้งไปกิน”
“ใส่ของไอ้มิวได้ ซักบ่อยๆเอา”
“งั้นพี่ก็เอาเสื้อเราไปเลย เราใส่ตัวนี้”
ผมรับหมูปิ้งจากเธอ เป็นอาหารมื้อแรกตั้งแต่เช้าเมื่อวาน
พี่ๆเรียกพวกเราขึ้นรถ ชาวค่ายผู้หญิงขึ้นรถขนส่งของทหารที่มีที่นั่งสองแถวซ้ายขวา มีหลังคา ส่วนพวกผู้ชายขึ้นไปกับรถบรรทุกขนของ
รถเคลื่อนตัวเป็นขบวนตามรถตำรวจนำทาง สองข้างทางช่วงปลายฝนต้นหนาวอย่างนี้เขียวชอุ่ม ท้องนาเป็นสีเขียวเข้ม ต้นข้าวโตเต็มที่พร้อมที่จะออกรวง
ตาพล่ารื้นไปด้วยน้ำตา โชคดีที่มีข้ออ้างจากลมหนาวเดือนตุลาที่กระทบหน้าผมเต็มๆ
โปรดติดตามตอนต่อไป
ปล อ่านแล้วหากชอบใจ ช่วยกด like กดแชร์ หรือกด follow กันด้วยน๊า
คำแนะนำติชมก็สำคัญ รบกวนด้วยครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา