21 ส.ค. 2020 เวลา 01:47 • นิยาย เรื่องสั้น
ผีค่ายฯ
แม้จะไม่ได้นอนมาเลยทั้งคืน ก็ไม่ทำให้ผมข่มตาหลับลงไปได้
เมื่อเดินทางมาถึงในช่วงเที่ยง ชาวบ้านและเด็กๆมายืนรอรับพวกเราด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พร้อม Welcome Drink เป็นน้ำมะตูมมีพิธีการอีกเล็กน้อยโดยกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ครูใหญ่ ทางฝั่งชาวค่ายมีอาจารย์รองคณบดีเป็นหัวหน้าคณะ กับอาจารย์ที่ปรึกษาชมรมค่ายฯ
พี่ๆบอกว่า อาจารย์ไม่เคยขาดการมาค่ายกับเราแม้สักครั้งเดียว
พิธีเปิดค่ายจัดกันกลางแจ้ง แดดช่วงเที่ยงรุนแรงมาก สมชื่อตำบล
โรงเรียนบ้านไผ่ล้อม ตำบลตากแดด
โรงเรียนบ้านไผ่ล้อม มีอาคารเรียนสร้างด้วยไม้เพียงหลังเดียว น่าจะสร้างมาหลายสิบปีแล้ว ใต้ถุนสูง จำนวนหกห้องเรียน มีบันไดทางขึ้นสองข้าง ด้านหน้าอาคารเป็นถนน ตรงข้ามมีลานดินขนาดใหญ่ที่มีหญ้าขึ้นเป็นกอๆทั่วพื้นที่ มีประตูฟุตบอลสร้างจากท่อนไม้อยู่สองฝั่ง ด้านในสุดห่างออกไปเกือบร้อยเมตรคือบ้านพักครู เป็นบ้านไม้ ชั้นล่างปูด้วยปูนซีเมนต์ขัดมัน หลังอาคารเรียนเป็นสระน้ำขนาดใหญ่ น้ำสีส้มสะท้อนแดดเต็มสระ ผู้ใหญ่บ้านบอกว่า สระนี้เป็นแหล่งน้ำส่วนรวมของหมู่บ้าน ชาวค่ายก็จะต้องใช้น้ำนี้เป็นน้ำกินน้ำใช้เช่นกัน
หลังจากพิธีเปิด ชาวค่ายก็แบ่งงานกันเป็นสี่ทีม ผมถูกจัดให้อยู่ทีม โครงฯสวก
“อะไรวะ สวก”
“พ่อครัว หุงข้าว ทำกับข้าว ตักน้ำ ล้างจาน ถ้ามีส้วมก็ไปล้างส้วมด้วย” เพื่อนที่เคยมาค่ายฯก่อนหน้านี้บอก
“แล้วทำไม สวก”
“สอ วอ กอ สวัสดิการ”
ผมถึงบางอ้อ
ฐานบัญชาการของโครงสวกอยู่ที่บ้านพักครู
นอกจากรองคณบดี ชาวค่ายยังจะประกอบไปด้วยอาจารย์ที่ปรึกษา 1 เจ้าหน้าที่กิจการนิสิตอาวุโส 1 ไม่อาวุโส 1 และคนชับรถอีก 1
“เอาแล้วโว้ย คนอกหักมาเป็นพ่อครัว ชาวค่ายคงได้กินข้าวเคล้าน้ำตากันล่ะวันนี้”
พี่พัฒน์ เจ้าหน้าที่อาวุโสตะโกนขึ้น เมื่อผมเดินมาถึงใต้ถุนบ้านพักครู ซึ่งถูกจัดให้เป็นครัวสนาม ห้องเครื่องของค่ายนี้
“ถ้าเคล้าน้ำตาเรายอมอดข้าวดีกว่านะป๋า”
เสียงแปล่งดังสวนขึ้นมาทันที ทุกคนหันไปทางต้นเสียง เห็นสีหน้าดูออกว่าไม่ได้พูดเล่น
“งั้นไอ้หัวแดงมาทำกับข้าว ส่วนคนอกหักไปตักน้ำมาไว้ใช้”
พี่ติ่งคนขับรถพูดน้ำเสียงทีเล่นทีจริง
พี่กุ๋ย เจ้าหน้าที่ไม่อาวุโส รีบเดินไปคว้าถังใส่น้ำยื่นให้ผมกับพวกผู้ชายอีกสองสามคนที่เป็นโครงฯสวกวันนี้ บอกเป็นสำเนียงจันทน์ขนานแท้
“น้ำไม่ต้องตักมาเต็มถังหรอกฮิ เดี๋ยวมีน้ำตาเติมให้อีกจนเต็ม”
ทุกคนหัวเราะกันครืน
เธอคงไม่ใช่คนยิ้มยากหรอก ผมคงเพิ่งสนใจที่จะมองเธอ และเพิ่งได้เห็นเธอยิ้มเป็นครั้งแรก
เมื่อแสงอาทิตย์เริ่มหมด และความมืดคลืบคลานเข้ามาปกคลุมสิ่งต่างๆรอบตัวพวกเรา
เสียงหริ่งเรไรส่งเสียงระงม ดังมาจากทั่วทุกสารทิศแข่งกับเสียงเครื่องปั่นไฟที่ทางราชการนำมาเตรียมไว้ให้
ทั้งหมู่บ้านไผ่ล้อม ที่โรงเรียนสว่างไสวที่สุด ไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึงที่นี่ ทุกบ้านใช้ตะเกียงให้แสงสว่าง
ชาวค่ายต้องอาบน้ำให้เสร็จก่อนมืด และมานั่งล้อมวงกันให้พร้อมก่อนเวลาอาหารเย็น
ห้องเรียนห้องหนึ่งถูกเปลี่ยนเป็นห้องอาหาร และจะเป็นห้องนอนของพวกเราในเวลาต่อไป
ใครเล่นกีตาร์เป็นก็เล่นกีตาร์ คนอื่นๆเปิดหนังสือเพลงค่ายร้องตาม
“เดินทางไกล ท่องเที่ยวไป......” ทุกครั้งมักจะเริ่มต้นด้วยเพลงนี้ เดินทางไกล
ร้องเพลงกันไปจนกว่าพวกโครงฯสวกจะจัดสำรับกับข้าว
ข้าวสุก อาหารอร่อย พี่กุ๋ยเป็นมือหุงข้าวอันดับหนึ่ง ส่วนกับข้าว เชพใหญ่คือพี่พัฒน์ พี่ติ่งเป็นมือสอง ชาวค่ายแค่เป็นลูกมือทำตามสั่ง
เมื่อกินเสร็จ ก็จะแยกย้ายไปตามกลุ่มเพื่อสรุปงาน พวกโครงฯสวกก็แบ่งหน้าที่ ใครทำความสะอาดห้องอาหาร ใครไปตักน้ำ ใครไปล้างจาน
เสียงกีตาร์และเสียงร้องเพลงดังมาจากทางบ้านพักครู
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ เห็นพี่ติ่งเล่นกีตาร์ พี่กุ๋ยตีกลอง เสียงเพลงภาษาอังกฤษถูกร้องโดยอาจารย์พน พี่พัฒน์นั่งบนเก้าอี้ มือถือทัพพีคอยคนซุปในหม้อ อาจารย์วิโรจน์ รองอธิการบดีนั่งฟังเพลงบนเก้าอี้อย่างอารมณ์ดี
ผมรู้จักแต่เพลงไทยยุค 90 กับเพลงลูกทุ่งรุ่นพ่อ ไม่รู้จักเพลงที่กำลังได้ยินอยู่นี่เลย
“พี่ล้างน้ำสะอาดนะ เดี๋ยวเราล้างซันไลน์ให้”
เธอคว้าเอาฟองน้ำไปจากมือผม แล้วยื่นกะละมังใบใหญ่ให้ ผมไม่ได้ตอบอะไร ตักน้ำจากตุ่มที่ผ่านการแกว่งสารส้มจนใสแล้ว คอยรับจานชามมาล้างน้ำสะอาดอย่างที่เธอบอก
“นี่ชุดของพี่มิวใช่ไหม”
ผมพยักหน้า
เธอหยุดมือ หันมาจ้องผมตาเขม็ง
“พูดด้วยก็ตอบหน่อย นี่อกหักหรือเป็นใบ้”
กีตาร์กับกล้องรัวขึ้นพร้อมกัน และเสียงฮิ้วของวงดนตรี
เธอไม่พูดอะไรกับผมอีก หน้าตึงจนล้างจานเสร็จ และเดินกลับเข้าไปอาคารเรียน ส่วนผมยังนั่งฟังวงดนตรีต่อ
“You're my everything
The sun that shines above you makes the blue bird sing
The stars that twinkle way up in the sky….”
คิดถึงดวงหน้าหวานดวงนั้น ที่เคยเป็นทั้งแสงจันทร์แสงดาวในชีวิตผม
“You're my everything
I live upon the land and see the sky above
I'll swim within oceans sweet and warm
There's no storm my love
You're my everything
No, nothing really matters but…”
แต่ตอนนี้ไม่มีเธออีกต่อไปแล้ว
เดินกลับมาอาคารเรียนเมื่อใกล้เวลาที่จะต้องหยุดเครื่องปั่นไฟ และชาวค่ายจะต้องเข้านอน
หลายคนหลับไปบ้างแล้ว คงเพราะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางด้วยรถไฟไทยข้ามคืน
ผมมุดเข้ามุ้ง เพื่อนร่วมมุ้งก็หลับไปแล้วเช่นกัน
ล้มตัวลงนอน
แม้จะไม่ได้นอนมาเลยทั้งคืน ก็ไม่ทำให้ผมข่มตาหลับลงไปได้
เวลาช่างเดินช้า
อย่างที่เขาว่า ยามสุขเวลามักผ่านไปไว
ก็ใช่จะเป็นการอกหักครั้งแรกของผม
ต่างกันแต่ที่ผ่านมา เป็นแค่การผิดหวังจากการแอบรัก หรือบางครั้งก็แค่ได้บอกรักแล้วถูกปฏิเสธ
ครั้งนี้มันคือการตกลงว่าจะเป็นคนรักกัน มีช่วงเวลาที่ดีด้วยกัน
ผมเสียสละให้ได้ในสิ่งที่เธอต้องการ
เธออยากเป็นน้องใหม่อีกปี มีเพื่อนใหม่ การที่มีแฟนเป็นพี่ปีสองจะเป็นอุปสรรค
หรือบางที เธออาจจะมีคนรักใหม่ไปแล้ว
ความคิดวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา
มีคำถาม แต่ไม่มีคำตอบ
เสียงหริ่งเรไรตอนนี้มีคู่แข่งใหม่ เสียงลมพัดใบไม้ และเสียงกรนของชาวค่าย
แต่แล้วผมก็ได้ยินอีกเสียงหนึ่งเพิ่มเข้ามา เสียงกังวานแทรกมาไกลๆ
ผมเงี่ยหูฟัง จนจับความได้ว่าเป็นเสียงของระนาด
ใครกันนะ มาตีระนาดเอาดึกดื่นอย่างนี้
ผมขนลุกโดยไม่รู้ตัว ดึงผ้ามาคลุมโปง
เสียงเพลงจากระนาดดังอยู่นาน แล้วเงียบไป และผมก็หลับได้ในที่สุด
วันต่อมา ผมถูกจัดให้อยู่โครงฯ สพช.
ชื่อเต็มของ สพช. คือ สัมพันธ์ชาวบ้าน
เราจะออกไปทำกิจกรรมกับชาวบ้าน พูดคุย เรียนรู้วิถีชีวิต หรือช่วยชาวบ้านทำงาน
ผมรู้ตัวว่าดีใจ ที่เห็นหน้าตึงๆ ไฝเม็ดเล็กที่ใต้ตาขวา แววตาแก่น สำเนียงพูดแปล่งๆ อยู่ในกลุ่มที่เตรียมตัวเข้าไปในหมู่บ้านด้วย
เธอใส่กางเกงเล เสื้อยืด มีเสื้อเชิ้ตใส่ทับอีกตัว กับหมวกอีกใบหนึ่ง
สีผมของเธอเมื่อต้องกับแสงแดด ขับให้แดงชัดขึ้นอีกมาก
“นอนหลับไม๊” ผมเอ่ยปากถาม
คนที่ตอบผมเป็นจุ๋ม “ไม่หลับเลยพี่ แปลกที่มั่ง ยายนี่ก็พลิกไปพลิกมาทั้งคืน”
เราออกจากโรงเรียน โดยมีชาวบ้านที่เรานัดหมายไว้มาเป็นผู้นำทาง วันนี้จะพาพวกเราไปดูการทำผนังบ้านจากใบไม้
ชาวบ้านที่นี่ ยังนิยมใช้ใบไม้ขนาดใหญ่ เช่นใบสัก มาขัดกับโครงไม้ไผ่ เพื่อใช้ทำเป็นผนัง หลังคาก็ยังมุงด้วยแฝก
เราได้เรียนรู้ขั้นตอนตั้งแต่เริ่มต้น จนเป็นผนังบ้าน
ในตอนที่ชาวบ้านพาพวกเราไปเก็บใบสัก
“แม่คะ ใบนี้ใช้ได้ไม๊คะ”
เสียงแปล่งเอ่ยถามชาวบ้าน
“อันนี่ใบหนาด ไซ่บ๊อได้ดอก มั๊นออน แต่เพินสิเอาไปตากแดด คื่อใบยาสูบ แล่วกะหั๊น เอาไปม๊วนสูบ แก้ไซ๊นัด” *
“อ้อ ค่ะ”
“เธอรู้ไม๊ ใบหนาด เขาไปไล่ผีได้”
ผมเห็นเธอตาลุก
“พี่อย่ามาล้อเราเล่น”
“เธอไม่เคยดูหนังผีสมัยก่อนเหรอ หมอผีเขาก็เอาใบหนาดเนี่ยล่ะไล่ผี”
“มั่วแล้ว” แล้วก็ทำตาเขียวใส่ คนอื่นพากันหัวเราะ
“ลองเด็ดมาบี้ แล้วดมดูสิ กลิ่นแบบนี้ล่ะ กันผีได้”
หลายคนทำอย่างที่ผมบอก
“มั่ว”
เย็นวันนั้นหลังจากเวลาอาหารเย็น ผมปลีกตัวไปร่วมวงดนตรีที่ใต้ถุนบ้านพักครูด้วย
อาจารย์พนร้องเพลงเพราะอีกหลายเพลง ความเพราะเพิ่มขึ้นตามปริมาณที่ลดลงของน้ำในขวดตรานก
“เมื่อคืนมีใครได้ยินเสียงคนตีระนาดไหมครับ”
“เอ็งขึ้นไปดูช้างบน” พี่ติ่งชี้ให้ผมขึ้นบันใดบ้านพักครู
“ปะ พี่พาชึ้นไป”
ผมเดินตามพี่กุ๋ยขึ้นไป ตรงโถงบันใดนั่นเอง ระนาดรางหนึ่งวางอยู่
“แล้วใครเป็นคนตี”
อาจารย์พนบุ้ยปากไปทางพี่พัฒน์
“ผมก็งงนะอาจารย์ ตีสอง คนจะนอน จะลุกขึ้นมาตีระนาดทำไม” พี่ติ่งส่ายหัว ท่าทางยังดูหงุดหงิด
“อ้าว ก็นอนไม่หลับ เสียงระนาดทำให้หลับดีนะ”
“แต่ไม่ใช่ตอนตีสอง วู้ ลุง คืนนี้ไม่ต้องนะ”
ผมกลับมาเข้านอนตามระเบียบของค่าย เมื่อหัวถึงหมอน ก็หลับสนิททันที โดยไม่รู้ว่าจะมีเสียงระนาดฝีมือพี่พัฒน์อีกไหม
“เมื่อคืนใครได้กลิ่นอะไรฉุนๆไม๊ ฉุนมากกกกกกกกก เนี่ยเนี่ย ตอนนี้ก็ยังมีกลิ่น” เสียง ผอค.เขียดตะโกนโหวกเหวกแต่เช้า **
“กลิ่นใบหนาด” พี่ฮุยเอ่ยขึ้น
“ใบหนาด? มาจากไหน”
“เมื่อวานไป สพช บี้ดมกัน เลยจำได้”
“แล้วใครเอามา เยอะเลยมั่งเนี่ย กลิ่นฉุนตลบห้องไปหมด”
“เราเอามาเอง”
เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นแววสลดจากตาคู่นั้น เธอบุ้ยปากมาทางผม
“ก็พี่เขาบอกว่า ใบหนาดมันกันผี คืนก่อนเราได้ยินเสียงระนาดกลางดึกจนนอนไม่หลับ เรากลัวผีอ่ะ”
ชาวค่ายหัวเราะกันครืน
ตาคู่นั้นหันมาทางผม เขียวปั๊ด
หมายเหตุ * “อันนี้ใบหนาด ใช้ไม่ได้หรอก มันอ่อน แต่เขาจะเอาไปตากแดด เหมือนใบยาสูบ แล้วก็หั่น เอาไปมวนสูบ แก้ไซนัส”
หมายเหตุ ** ผอค. ผู้อำนวยการค่ายฯ มักเป็นพี่ชั้นปีที่ 3
โปรดติดตามตอนต่อไป

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา