27 ส.ค. 2020 เวลา 08:48 • กีฬา
แม็กนัส คาร์ลเซ่น : อัจฉริยะแชมป์โลกหมากรุกผู้อ่านสถานการณ์ล่วงหน้าได้ 20 ตา
2
"หมากรุก" ... แค่ได้ยินชื่อก็น่าเบื่อแล้วสำหรับคนรุ่นใหม่ ที่ภาพจำของกีฬาชนิดนี้คือภาพของเหล่าๆ อากงนั่งหวดกันในสภากาแฟ หรือไม่ก็ตามวินมอเตอร์ไซค์
ไม่ใช่แค่ที่ไทยเท่านั้น อีกฟากโลกอย่าง นอร์เวย์ ก็ไม่ต่างกัน หมากรุกคือกีฬาของคนแก่มาหลายสิบปี จนกระทั่งวันหนึ่งมีเด็กอัจฉริยะที่ชื่อว่า แม็กนัส คาร์ลเซ่น เลือกที่จะเล่นมัน และกลายเป็นแชมป์ของประเทศตั้งแต่อายุ 13 ปี และกลายเป็นแชมป์โลกในเวลาต่อมา
1
แรงกระเพื่อมจากการเป็นราชาโลกหมากรุกของ แม็กนัส ส่งผลเป็นอย่างมาก ร้านค้าอุปกรณ์เล่นหมากรุกขายหมดเกลี้ยงทั้งประเทศ เพราะเหล่าคนรุ่นใหม่เหมาไปเล่นกันจนเกลี้ยงแผง
1
แค่ได้แชมป์อย่างเดียวไม่พอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แบบนี้แน่....แต่เพราะอะไร แม็กนัส คาร์ลเซ่น จึงทำได้ ติดตามได้ที่นี่
"GIVE A LOVING HAND" แบบสุดใจ!
1
"ฟ้าส่งมาเกิด" เป็นคำที่เรามักจะใช้พูดถึงใครสักคนที่เกิดมามีความพิเศษยิ่งกว่าใคร แต่สำหรับ แม็กนัส คาร์ลเซ่น จะใช้คำนั้นคงไม่ถูกนัก เพราะหากจะอ้างอิงตามหลักวิทยาศาสตร์ก็คงต้องเรียกว่า "การส่งต่อความอัจริยะผ่านพันธุกรรม" จึงจะถูก
2
Photo : scandinaviantraveler.com
เมื่อ เฮนริค ที่ปรึกษาของบริษัทไอทีระดับแถวหน้าของประเทศ พบรักกับ ซิกรัน วิศวกรเคมี เราสามารถเดาได้ว่าลูกๆ ของพวกเขาทั้งคู่จะต้องมีคุณภาพชีวิตแบบไหน ... ลูกสาวคนแรกชื่อ เอลเลน เป็นเด็กเก่งด้านการเรียน มีมันสมองระดับคุณภาพ จดจำอะไรหลายสิ่งหลายอย่างได้อย่างน่าทึ่ง ทว่านั่นยังไม่มากเท่ากับลูกชายคนที่สองที่ลืมตาดูโลกในปี 1990 ... แม็กนัส เป็นขั้นกว่าของ เอลเลน เข้าไปอีก
1
แม็กนัส ไม่ใช่แค่จดจำเก่งเท่านั้น แต่เด็กคนนี้เกิดมาพร้อมกับสมองขั้นกว่า ใต้หัวของเขามีความสร้างสรรค์เต็มไปหมด หากได้ลองทำอะไรแล้วสามารถมีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่ทำได้เป็นวันๆ แม็กนัส ในวัยเด็กเล็ก ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการประกอบตัวต่อหรือจิ๊กซอว์ ที่น่าทึ่งคือ เขาสามารถต่อจิ๊กซอว์แบบ 50 ชิ้นได้ตั้งแต่อายุ 2 ขวบ และตอน 4 ขวบ ก็สามารถต่อเลโก้ Lego ในระดับเลเวลเด็ก 10-14 ขวบได้อย่างสบายๆ ซึ่งนั่นผิดกับเด็กผู้ชายรุ่นเดียวกันเขาคนละเรื่อง
2
"แม็กนัส เป็นเด็กที่มีสมาธิสูงมาก เขาสามารถนั่งเป็นเวลานานๆ ได้แม้แต่ในวัยเด็กก็ตาม" แม่ของเขากล่าว
1
ส่วนวิชาหมากรุกนั้นเริ่มจาก เฮนริค ผู้เป็นพ่อ เดิมที เฮนริค เริ่มสอนกับ เอลเลน พี่สาวของเขาก่อน โดยตลอดการเล่น แม็กนัส จะมานั่งมองและทำหน้าเหมือนคิดเองเออเองอยู่คนเดียว จนกระทั่งเข้าอายุได้ 8 ขวบ แม็กนัส จึงเริ่มเล่นเป็นครั้งแรก
เอลเลน เริ่มเล่นเก่งมันเริ่มทำให้ แม็กนัส สนใจอยากจะแข่งกับเธอบ้าง และนั่นคือสิ่งที่เฮนริคผู้เป็นพ่อง้างรอมาตั้งนานแล้ว เขาไม่ได้บังคับให้ลูกเล่น แต่ถ้าเมื่อไร แม็กนัส เอ่ยปาก เขาสามารถเริ่มสอนได้ทันทีเพราะเตรียมบทเรียนรอจนถึงเวลาที่เหมาะสม
1
"แรกเริ่มที่ผมสอนนั้นผมไม่ได้สอนเขาทั้งหมด ผมไม่อยากให้มันยากเกินไป ไม่อยากให้เขาต้องจดจำอะไรเยอะๆ มันจะไม่สนุกและท้อแท้ ผมเลยเริ่มเกมง่ายๆ ด้วยหมากที่มีแค่ขุน (King) กับเบี้ย (Pawn) เท่านั้น เมื่อเขาเริ่มเข้าใจผมจึงเริ่มเพิ่มหมากตัวอื่นๆ เข้าไป ซึ่ง แม็กนัส หัวไปทางนี้ไวมากแต่เขาไม่รู้ตัวหรอก ตอนนั้นเขาแค่หวังว่าจะชนะพี่สาวของเขาให้ได้เท่านั้นเอง" เฮนริค เล่าย้อนความไปตอน แม็กนัส เริ่มรู้จักความอยากชนะเหนือพี่สาวและเขาก็ทำได้หลังจากนั้นไม่นาน
1
Photo : hunonchess.com
สำหรับ แม็กนัส ถ้าได้ลองทำอะไรขึ้นมาแล้วชอบขึ้นมา เขาไม่เคยหยุดหรือทำมันแบบครึ่งๆ กลางๆ ที่คือทัศนคติที่เกินเด็ก แรกๆ เขาแพ้ให้กับพ่อเสมอ แต่นั่นคือจุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่ของเขาที่คนเป็นพ่อเห็น
เฮนริค มีอิทธิพลต่อการหลงรักหมากรุกสำหรับ แม็กนัส เป็นอย่างมาก ทั้งๆที่ใจของผู้เป็นพ่ออยากจะให้ลูกได้ฝึกเล่นแบบจริงจัง แต่เขากลับไม่เคยบังคับ แม็กนัส เลยแม้แต่ครั้งเดียว มีเพียงแค่การทำให้ดู อยู่เห็น เป็นให้ได้ซึมซับ และสุดท้ายด้วยการสอนแบบค่อยๆเติมความรักและความเข้าใจ แม็กนัส ก็ติดหมากรุกจริงๆขึ้นมา
2
"ผมค่อยๆ ถูกทำให้หลงรักหมากรุกทีละน้อยๆ และสุดท้ายผมก็ชอบมัน เพราะมันให้ความรู้สึกที่ดีเสมอเวลาที่ผมชนะ ผมสามารถฝึกหมากรุกได้หลายชั่วโมงต่อให้ไม่ต้องใช้กระดาน ผมเปิดตัวเองกว้างมาก ค่อยๆ คิดวิเคราะห์ความเป็นไปได้ มันน่าประหลาดที่หมากรุกมันไม่มีวันสิ้นสุด" แม็กนัส ย้อนความไปในตอนนั้น
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ด้วยศักยภาพในการเล่นหมากรุกที่เพิ่มขึ้นทุกปีของ แม็กนัส ทำให้ เฮนริค ไม่อาจจะอยู่เฉยได้
1
เพื่อคนเป็นลูกแล้วเท่าไหร่ เฮนริค ก็ทำได้เขายื่นมือเเห่งความรักและความเข้าใจอย่างไม่หยุดยั้ง เขาเริ่มจัดตารางงานและสร้างสมดุลชีวิตใหม่ เหตุผลก็เพราะว่าอยากจะใช้เวลาในการสร้างความเป็นเลิศให้ลูกชายมากขึ้น จนกระทั่งวันที่เขารู้ว่า แม็กนัส เก่งเกินกว่าจะเล่นแค่ในบ้าน เฮนริค ถึงขั้นเสียสละขอพักงานที่มีรายได้มั่นคงและเป็นกระเป๋าเงินหลักของครอบครัวเป็นระยะเวลา 1 ปี เพื่อช่วยลูกชายตามฝัน
2
ยัง ... ยังไม่จบแค่นั้น ไม่ใช่แค่ เฮนริค เท่านั้นที่ทิ้งหน้าที่หลัก แต่เขาไปทำเรื่องลาพักการเรียนให้แม็กนัสเพื่อพาไปแข่งชิงรางวัลทั่วยุโรปอีกด้วย เขาพร้อมที่จะเสี่ยงกับอนาคตของลูกชายแบบเต็มร้อย และมั่นใจว่าจากที่สังเกตมาตลอด แม็กนัส จะยิ่งใหญ่ได้ด้วยเส้นทางนี้
5
อัจฉริยะด้านการอ่านสถานการณ์รอบตัว
1
แม็กนัส ลุยแข่งทั่วยุโรปพร้อมกับพ่อของเขา ในช่วงเวลาเพียง 2 ปี ที่ต้องพักการเรียนเป็นระยะๆ เขาลงแข่งระดับทางการมากกว่า 300 เกม ตั้งแต่อายุ 12 ปี เมื่อความอัจฉริยะ บวกเข้ากับประสบการณ์จะเป็นอะไรไปได้นอกจากความ "ไร้เทียมทาน"
1
ระดับเยาวชนมีน้อยคนนักที่จะหยุดเขาได้ แม็กนัส ติดท็อป 10 ทั้งของยุโรปและโลกในรุ่นเล็กโดยตลอด โดยตำแหน่งสูงสุดคือ รองแชมป์โลกรุ่นอายุไม่เกิน 12 ปีในปี 2002 พร้อมกับค่อยๆ ไต่ระดับไปเรื่อย กระทั่งตัดสินใจเทิร์นโปรในปี 2004 ถึงตอนนี้ไม่มีอะไรหยุดเด็กคนนี้ได้แล้ว
1
หลังจากที่ตอนแรกเป็นแค่การพักการเรียนชั่วคราว ตอนนี้ แม็กนัส ไม่ต้องพึ่งการตัดสินใจของพ่ออีกต่อไป เขาไปขอลาออกจากโรงเรียนอย่างเป็นทางการ และลงแข่งขันแบบแบกอายุทันที โดยการแข่งขันที่สร้างชื่อของเขาคือรายการที่เมือง เวค อาน ซี ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในรายการ คอรัส ทัวร์นาเมนต์ (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น ทาทา สตีล ทัวร์นาเมนต์) ที่เพียงการแข่งขันแมตช์แรก เหล่าผู้เล่นคนอื่นๆ ที่อายุมากกว่าต้องหยุดนิ่งดูการเดินหมากที่เหนือชั้นเกินอายุของ แม็กนัส และเริ่มเรียกเขาว่า "โมซาร์ท แห่งหมากรุก" ... รายการนั้นเขาสามารถคว้าอันดับ 1 ในกลุ่มซี ทั้งๆ ที่ตอนนั้นเขายังมีเลเวลเพียง "อินเตอร์เนชั่นแนล มาสเตอร์" เท่านั้น
2
โลกหมากรุกของผู้ใหญ่นั้นแตกต่าง เขาจะต้องเจอกับคู่แข่งที่เก่งกว่าเดิม และต้องรับมือกับการเดินหมากที่มีหลากหลายรูปแบบ เดิมทีนั้นตัวของ แม็กนัส ขึ้นชื่อในเรื่องของการเดินหมากแบบรวดเร็วฉับไวตามฉายาโมซาร์ท แต่รูปแบบดังกล่าวบางทีก็ใช้ไม่ได้ในการแข่งขันระดับสูง ดังนั้นเขาจึงฝึกฝนจนได้สไตล์อีกหนึ่งแบบที่เป็นลายเซ็นของเขา ซึ่งสไตล์ดังกล่าวถูกเรียกว่า "งูเหลือม"
2
"งูเหลือม" คือ การค่อยๆ ล้อมคู่แข่งและบีบไปทีละนิดจนหายใจไม่ออก การเดินหมากลักษณะนี้จะต้องใช้ความสร้างสรรค์ในหัวและแบกความเสี่ยงในเวลาเดียวกัน แต่ถ้าวางแผนมาดีพอโอกาสชนะก็สูงขึ้นเป็นเงาตามตัว
3
"ผมสู้สุดใจตลอดนะ การที่เด็กกว่าคนอื่นไม่ใช่เรื่องได้เปรียบอย่างที่ใครเข้าใจ ผมว่าตอนเด็กๆ ผมเดินหมากห่ามเกินไป ... ซึ่งตอนนี้ผมว่าผมน่าจะดีกว่าตอนที่ผมเดินหมากสมัยวัยรุ่นนะ ตอนนั้นผมเกลียดการแพ้มาก เมื่อผมยังเด็กมันเหมือนกับว่าบางครั้งผมตาบอดไป"
เรียกได้ว่างานเดียวแจ้งเกิดก็ว่าได้ เพราะหลังจากได้ฉายาโมซาร์ท ก็กลายเป็นที่สนใจในทุกเวที การเดินหมากของเขาเป็นไปได้หลายทิศทาง จะให้อ่านเกมแบบเพ่งพินิจก็ทำได้ หรือจะให้เดินหมากเปิดเกมแบบสายฟ้าแลบก็ไม่ใช่ปัญหา ครั้งหนึ่งในการแข่งขันที่ มอสโก แม็กนัส ต้องเจอกับ อดีตแชมป์โลกอย่าง อนาโตลี คาร์ปอฟ ก่อนที่ "โมซาร์ท" จะฉายแสงแบบรวดเดียวจบ เดินหมากเร็วปานสายฟ้าและคว้าชัยชนะไปได้อย่างรวดเร็ว
Photo : Netkaup.is NCO eCommerce
เห็นได้ชัดว่าความเป็นเด็กอัจฉริยะไม่ได้ทำให้ แม็กนัส ได้เปรียบคนอื่นไปเสียทุกเรื่อง แต่มันคือเรื่องของการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์รอบข้างต่างหาก เมื่อเขายังเด็กเขาเคยชนะได้ด้วยหมากอะไรก็ได้ที่คิดออก แต่เมื่อถึงวัยที่ต้องเจอกับคนที่เหนือกว่าอีกขั้น เขายังสามารถประยุกต์สไตล์เพื่อรับมือ และผลักดันตัวเองให้ไปสูงขึ้นได้อีกเรื่อยๆ แบบไม่มีหยุดอีกด้วย
"บางครั้งผมคิดการเดินหมากล่วงหน้าได้ 1 ครั้ง บางครั้งผมก็คิดได้ล่วงหน้าถึง 20 ครั้ง แต่จำนวนครั้งมันไม่ได้สำคัญอะไรหรอก การเคลื่อนหมากที่ถูกที่ถูกเวลานั่นแหละคือเดอะเบสต์ของเดอะเบสต์แล้ว"
1
ใช้ชีวิต...พิชิตแชมป์
สถิติต่างๆ ถูกทุบกระจายโดย แม็กนัส คาร์ลเซ่น เพราะตอนอายุ 14 ปี เขากลายเป็นนักหมากรุกระดับสูงสุด "แกรนด์มาสเตอร์" ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์หลังจากได้ที่ 2 ในรายการ ดูไบ โอเพ่น เมื่อเดือนเมษายน เพียงไม่กี่เดือนหลังเทิร์นโปรเท่านั้น
1
จากนั้นตามด้วยการก้าวขึ้นมาคว้าแชมป์โลกในการแข่งขันที่อินเดียในปี 2013 ในตอนนั้น เขาเอาชนะแชมป์เก่าอย่าง วิศวนาถัน อานันท์ ที่อายุมากกว่าเขาเกิน 20 ปี
3
"แม็กนัสมีสัญชาตญาณในการเดินหมากตั้งแต่กำเนิด มันเหลือเชื่อมาก ความคิดมากมายเกิดขึ้นในหัวของเขาแน่ มันยืดหยุ่นจนดูเหมือนว่าเขาเข้าใจโครงสร้างและการจัดระเบียบของหมากทุกตำแหน่ง" อานันท์ ที่แพ้เสียแชมป์โลกในปีดังกล่าวยอมศิโรราบ
1
การคว้าแชมป์นั้นว่ายากแล้ว แต่การรักษาแชมป์นั้นยากยิ่งกว่า ... หลายคนที่เคยเป็นแชมป์ให้ความเห็นไปในทิศทางนี้กันหมด ด้วยเหตุผลที่ว่าเมื่อมีชื่อเสียงชีวิตของคุณจะเปลี่ยนไป เงินจะเข้ามามากขึ้น หน้าที่และภาระรับผิดเองก็ด้วย การจัดการตัวเองให้อยู่ในกรอบของการเป็นมืออาชีพแบบแต่ก่อนไม่เพียงพอ และ แม็กนัส รู้ดี เขาจึงเริ่มทำตัวให้สมกับสมญานาม "นักหมากรุกที่เก่งที่สุดในโลก" เพื่อให้เขาสามารถรักษาความเป็นหนึ่ง และป้องกันแชมป์ในทุกๆ ปี ซึ่งจริงๆ แล้วมันคือนิสัยของเขามาตั้งแต่สมัยเป็นแชมป์ระดับเยาวชนแล้ว
2
"ตอนเด็กๆ ผมฝึกเล่นที่บ้านเป็นส่วนใหญ่ หลังจากนั้นผมเลยลองไปเข้าสมาคมหมากรุกดู แต่แวบเดียวผมก็เก่งที่สุดในสมาคมแล้ว และนั่นมันไม่สนุกเลย ผมมองว่าอาจจะเป็นเพราะสมาชิกคนอื่นๆ ไม่ได้อุทิศตัวเองเพื่อหมากรุกเท่าผม ดังนั้นการฝึกที่ง่ายกว่าคือการไปหาคู่แข่งในอินเตอร์เน็ต" นี่คือความทะเยอทะยานของ แม็กนัส ผู้ล่าฝันอย่างเต็มที่ให้สมกับที่คนในวงการหมากรุกยกย่องไว้
2
นอกจากนี้เขาดูแลตัวเองแบบแชมป์มาโดยตลอด ทั้งที่สมัยนั้นเขายังเป็นมือไร้อันดับ ทุกการแข่งแต่ละรายการ แม็กนัส จะเตรียมตัวอย่างดี และไม่เหลือสมาธิให้กับสิ่งไร้สาระ แม้แต่อย่างเดียว
"ระหว่างทัวร์นาเมนต์ผมไม่ออกเที่ยวเตร่ ผมไม่ปาร์ตี้ ไม่แม้แต่จะออกจากห้องด้วยซ้ำ ผมว่ามันเสียเวลาและเสียพลังงานโดยใช้เหตุ ผมเข้าใจนะถ้าคุณจะบอกว่าไม่เข้าใจ แต่เมื่อคุณเล่นหมากรุกมาถึงระดับของผมแล้วการเตรียมสภาพร่างกายและสภาพจิตใจมันสำคัญมาก ไม่ต่างจากนักกีฬาชนิดอื่นๆ หรอก"
ยัง เท่านั้นยังไม่พอ แม้คำพูดจะดูเย่อหยิ่งอยู่บ้างตามประสามือ 1 ของโลก แต่ แม็กนัส เองก็ไม่ใช่คนหัวแข็ง เขาเคารพคู่แข่งของเขาทุกคนเพราะถือว่าเป็นหนึ่งในผู้ให้วิชา โดยเฉพาะในรายของ แกร์รี่ คาสปารอฟ นักหมากรุกระดับแถวหน้าของโลกชาวรัสเซียที่สอนเชิง แม็กนัส ในการแข่งขันเมื่อหลายปีก่อน
แม็กนัส ลดอัตตาในตัวเองทั้งหมดเมื่อเจอหมากของ แกร์รี่ เขาตัดสินใจไปขอวิชาและให้ แกร์รี่ เป็นอาจารย์สอนหมากรุกอีกสไตล์ให้กับตัวเอง
3
"ตั้งแต่ปี 2005 ผมทำงานกับ แกร์รี่ แม้ผมจะเป็นอันดับ 1 ของโลกในปี 2008 แต่เขาก็ยังเป็นคนที่คอยเซ็ตอัพหมากของผมอยู่เลย จนถึงวันหนึ่งเขายอมรับในฝีมือของผม เราจึงเลิกเป็นศิษย์-อาจารย์ กลับมาเป็นคู่แข่งและคู่ซ้อมกันในภายหลัง"
3
สิ่งที่แม็กนัส ได้จากแกร์รี่ ไม่ใช่การลอกหมากมา แต่มันคือวิธีการเตรียมตัว การวางแผน และการศึกษาคู่แข่ง นอกจากนี้การได้ดวลกันบ่อยๆ ทำให้เขาได้ประสบการณ์ในการเจอกับคนที่เก่งเท่าๆ กันซึ่งต้องใช้ความสร้างสรรค์อย่างมากหากใครคนหนึ่งจะกลายเป็นผู้ชนะในเกมนั้น ทั้งหมดนี้ทำให้เขากลายเป็นอันดับ 1 ของโลกและคว้าแชมป์โลก 4 สมัยติดต่อกัน ในปี 2013, 2014, 2016 และ 2018 รักษาตำแหน่งมาจนถึงทุกวันนี้
"ผมเล่นด้วยสมาธิและความสร้างสรรค์ แต่ทุกๆหมากผมไม่เคยเอาตัวเองไปซ่อนอยู่หลังคำว่าเพลย์เซฟแน่นอน หลายคนเชื่อว่าผู้เล่นที่เก่งเท่ากันมาแข่งกัน เกมจะจบลงด้วยการเสมอกัน แต่ผมไม่คิดแบบนั้นหรอกนะ ผมเชื่อว่าผลการแข่งขันสามารถบอกได้ตั้งแต่ก่อนที่เกมจะจบด้วยซ้ำ ต่อให้คุณกำลังเข้าตาจนสุดๆ ทว่าสุดท้ายมันมีโอกาสชนะซ่อนอยู่เสมอ ผมไม่เชื่อว่าจิตวิทยาทำให้เอาชนะได้ เพราะการเดินหมากที่สุดยอดต่างหากที่ก่อให้เกิดชัยชนะ" แม็กนัส เล่าถึงวิธีการของเขา
ยิ่งกว่าแชมป์คือการสร้างแรงบันดาลใจ
การก้าวขึ้นมาเป็นแชมป์โลกและหมายเลข 1 ของโลกของ แม็กนัส นั้นมีอิมแพ็ครุนแรงในนอร์เวย์เป็นอย่างมาก นอกจากเขาจะเป็นคนหนุ่มที่เก่งกาจแล้ว เขายังเป็นนักกีฬายอดเยี่ยมในงาน Chess Oscars ในปี 2009, 2010, 2011, 2012 และ 2013
Photo : www.chessdom.com
หนังสือพิมพ์และสื่อชั้นนำต่างๆ มีผลอย่างมากในการทำให้ แม็กนัส กลายเป็นไอค่อนของคนรุ่นใหม่ หนังสือพิมพ์ Verdens Gang (VG) เลือกให้เขาเป็นบุคคลแห่งปี 2 สม้ย นอกจากนี้ยังได้รางวัลนักกีฬายอดเยี่ยมของนอร์เวย์อีก 1 สมัย รวมถึงการติด 100 อันดับบุคคลทรงอิทธิพลของโลกจากนิตยสาร TIME ในปี 2013 อีกด้วย
1
ชื่อเสียงที่เข้ามาทำให้คนนอร์เวย์ติดตามการแข่งขันของ แม็กนัส แบบเข้มข้นตลอดมา โดยในช่วงปี 2009 แมตช์การถ่ายทอดสดจากเมืองจีนของ แม็กนัส กลายเป็นช่วงมีเรตติ้งคนดูมากที่สุดในประเทศเลยทีเดียว
1
เขากลายเป็นเหมือน "ร็อคแอนด์โรลสตาร์" ในโลกแห่งหมากรุก มีสปอนเซอร์มากมายเข้ามาสนับสนุน ทั้ง Microsoft บริษัทผลิตซอฟต์แวร์อันดับ 1 ของโลก, เป็นนายแบบของเสื้อผ้าแบรนด์ G Star Raw และบริษัทเทคโนโลยี Nordic Semiconductor เขาทำเงินได้ราวๆ ปีละ 8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามการยืนยันจาก Forbes
2
แม็กนัส คว้าทุกอย่างมาไว้ในมือด้วยการเป็นนักหมากรุก และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขาเป็นขวัญใจของคนรุ่นใหม่ และเด็กๆ มากมายหันมาเลือกเล่นหมากรุกเหมือนกับเขา ซึ่งเขาก็รู้ดีว่า เขามีวันนี้ได้เพราะการได้รับการหนุนหลัง มีมือที่คอยโอบอุ้ม ให้การสนับสนุนเขาเสมอ
1
"Give A Loving Hand" หรือหมายถึงการหยิบยื่นมือแห่งความรัก ซึ่งเป็นสิ่งที่ เฮนริค คุณพ่อมอบให้แก่ แม็กนัส คาร์ลเซ่น ผ่านการสอน และการสนับสนุนในการแข่งขัน ทุ่มเททุกอย่าง จนเขาประสบความสำเร็จ แนวคิดนี้เหมือนกับที่ บริดจสโตน บริษัทด้านยานยนต์ และชิ้นส่วนขนส่งของญี่ปุ่น ได้เห็นความสำคัญของการหยิบยื่นโอกาสด้วยความรัก และสนับสนุนนักกีฬาจากทั่วทุกมุมโลก เพื่อให้พวกเขาได้ "Chase your dream" การไล่ล่าความฝันของตัวเองดั่งที่ตั้งใจไว้
2
และนั่นทำให้ตัวของ แม็กนัส เอง ตัดสินใจเพิ่มบทบาทตัวเองเพื่อสังคม ... หลังจากที่เขารู้ว่าตัวเองมีเด็กๆ ติดตามเยอะ เขาจึงเริ่มสร้างแอปพลิเคชั่นที่ชื่อว่า Play Magnus ซึ่งเป็นเกมหมากรุกออนไลน์ โดยเด็กๆ หรือใครก็ตามที่ลงชื่อเข้าเล่นสามารถเลือกที่จะแข่งกับ แม็กนัส ในแต่ละระดับและช่วงอายุได้ โดยเขาบันทึกการเดินหมากแต่ละช่วงชีวิตตั้งแต่เด็กจนเป็นแชมป์โลกไว้เป็นฐานข้อมูลของตัวเกม เพื่อให้คนที่เล่นรู้สึกเหมือนได้ดวลหมากรุกกับยอดฝีมือผู้นี้จริงๆ
3
แม็กนัส ตั้งใจอย่างมากที่จะทำให้หมากรุกเข้าถึงคนรุ่นใหม่ในนอร์เวย์ให้ได้ เขาอยากให้เส้นทางของนักหมากรุกนอร์เวย์ไม่ได้หมดจบลงที่เขาเท่านั้น
บางครั้งแรงบันดาลใจก็มีค่ามากยิ่งกว่าเงินทอง มรดกแห่งความสำเร็จของแม็กนัสสามารถสร้างปรากฎการณ์ในนอร์เวย์ได้สำเร็จ เพราะหลังจากที่เขาคว้าแชมป์โลกได้ อุปกรณ์การเล่นหมากรุกก็ถูกขายเกลี้ยงหมดสต็อกเป็นครั้งแรกในประเทศนอร์เวย์
เขาไม่อาจโกหกใครได้ว่าหากฝึกหมากรุกอย่างตั้งใจและต่อเนื่องชีวิต ทุกคนจะดีขึ้นอย่างเขา 100% แต่ที่แน่ๆ คือหากทุกคนฝึกได้เหมือนที่เขาทำแล้วละก็ พวกเขาเหล่านั้นจะกลายเป็นคนที่ใช้ชีวิตอย่างมีปัญญาและสมาธิ ซึ่งเป็นสิ่งที่หาซื้อจากที่ไหนไม่ได้แน่นอน เพราะแม็กนัสรู้ดีว่า หมากรุก คือประตูบานสำคัญที่เปิดโอกาสให้เขามีวันนี้...ส่วนคำถามที่ว่า แม็กนัส จริงจังกับเรื่องนี้ขนาดไหน? เอาเป็นว่าเขาสนับสนุนการให้เด็กๆ เข้าถึงกีฬาหมากรุก ถึงขั้นผลักดันให้มีวิชาหมากรุกในหลักสูตรการสอนระดับประถมเลยทีเดียว
2
"หมากรุกทำให้เด็กๆ มีสมาธิ มีหน่วยความจำกว้างใหญ่มหาศาลผ่านการฝึกฝน ที่สำคัญที่สุดคือเด็กๆ จะได้เรียนรู้วิธีใช้ความสงบเพื่อก่อให้เกิดปัญญา ดังนั้นไม่จำเป็นต้องบังคับเรียนก็ได้ ขอแค่มีชมรมหมากรุกก็โอเคแล้ว หากเด็กๆ ก้าวข้ามได้พวกเขาจะพบว่าหมากรุกมันโคตรสนุกเลย" แม็กนัส กล่าวทิ้งท้าย
1
บทความโดย ชยันธร ใจมูล
3
แหล่งอ้างอิง :
โฆษณา