31 ส.ค. 2020 เวลา 05:09 • ประวัติศาสตร์
ราชอาณาจักรหอคำเชียงรุ่ง สิบสองปันนา (๕)
刀世勋 - ตาวซื่อซวิน-เจ้าหม่อมคำลือ กษัตริย์องค์สุดท้ายของสิบสองปันนา
กษัตริย์พระองค์ที่ ๔๔ แห่งราชวงศ์อาหละโวสวนต๋าน (อาฬโวสวนตาล) มีชื่อรัชกาลว่า...
สมเด็จพระเจ้าหอคำเชียงรุ่ง ที่ ๔๔
ทรงประสูติในยุคสาธารณรัฐจีนคือหลังจาก ดร.ซุนจงซาน (ซุนยัตเซ็น) โค่นล้มราชวงศ์ชิง และเมื่อกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนมีชัยเหนือกองทัพรัฐบาลประชารัฐของจอมพลเจียงไคเช็ค พรรคคอมมิวนิสต์จีนสถาปนาประเทศจีนใหม่ ในวันที่ ๑ ตุลาคม ค.ศ. ๑๙๔๙ (พ.ศ. ๒๔๙๒)
สมเด็จพระเจ้าหอคำเชียงรุ่งที่ ๔๔ ในฐานะเจ้าประเทศราชของสาธารณรัฐประชาชนจีนจึงถูกถอดฐานันดรเป็นประชาชนธรรมดาตามหลักการขั้นพื้นฐานของระบอบคอมมิวนิสต์
สมเด็จพระเจ้าหอคำเชียงรุ่งที่ ๔๔ หรือเจ้าหม่อมคำลือท่านมีชื่อในภาษาจีนว่า ตาวซื่อซวิน - 刀世勋 Dāo shì xūn
แซ่ตาวเป็นคำทับศัพท์ในเสียง "เจ้า" ในยุคหลัง ๆ ธรรมเนียมการขานพระนามเชื้อพระวงศ์ราชวงศ์อาหละโวสวนต๋านแห่งสิบสองปันนาจะเรียกคำนำหน้าเจ้าชายเจ้าหญิงเหมือนกัน ว่า "เจ้าหม่อม" รวมถึงเจ้าผู้ครองนครสิบสองปันนาก็เช่นเดียวกัน
ต่างจากล้านนาที่เรียก "พระเจ้า" หรือ "พญา" จากนั้นในยุคปัจจุบันหลังจากเปลี่ยนมาเป็นเจ้าผู้ครองนครก็ใช้คำว่า "เจ้า" ทั้งหญิงทั้งชาย
ส่วนราชอาณาจักรเขมรัฐตุงคบุรีเรียกเจ้าผู้ครองนครว่า "เจ้าฟ้า" เรียกชายาของเจ้าฟ้าว่า "นางฟ้า" เรียกเจ้าหญิงว่า "เจ้านาง" และเรียกเจ้าชายว่า "เจ้า" เพียงคำเดียว
ตาวเต๋อซวินหรือเจ้าหม่อมคำลือเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายในราชวงศ์หนึ่งเดียวของสิบสองปันนา คือราชวงศ์อาหละโวสวนต๋าน ท่านเป็นราชบุตรของอนุชาเจ้าหม่อมแสนเมืองกษัตริย์สิบสองปันนารัชกาลที่ ๔๓
เจ้าหม่อมแสนเมืองจึงมีศักดิ์เป็นลุงแท้ ๆ ของเจ้าหม่อมคำลือ แต่ด้วยเหตุที่ท่านไม่มีโอรส-ธิดา จึงทรงขอเจ้าหม่อมคำลือเป็นราชบุตร
เจ้าหม่อมคำลือเกิดเมื่อปี ค.ศ. ๑๙๒๘ (พ.ศ.๒๔๗๑) เมื่อทรงเจริญวัยมีชนมายุได้ ๑๖ ปี พระบิดาส่งท่านไปเข้ารับการศึกษาที่นครฉงชิ่ง มณฑลเสฉวน (ในสมัยนั้น-สมัยนี้รัฐบาลจีนแยกนครฉงชิ่งออกมาเป็นมหานครพิเศษ)
ลุถึงปี ค.ศ. ๑๙๔๔ หลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าลุง-พระบิดาบุญธรรม ท่านได้เข้า “พิธีฮับเมือง” คือพิธีราชาภิเษกเป็นกษัตริย์ แต่ในช่วงเวลานั้นเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา และสงครามกลางเมืองระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์จีนกับ รัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋งที่นำโดยจอมพลเจี่ยงเจี้ยสือ (เจียงไคเช็ค)
พิธีฮับเมืองประกอบได้ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ท่านจึงกลับไปศึกษาต่อ
เมื่อทรงจบการศึกษาท่านจึงกลับมาทำพิธีฮับเมืองครั้งที่สอง เมื่อ ค.ศ. ๑๙๔๘ ซึ่งจีนเวลานั้นยังอยู่ในยุคสาธารณรัฐ ก่อนที่กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนจะมีชัยเหนือรัฐบาลประชาราษฎร์ของจอมพลเจี่ยงเจี้ยสือ (เจียงไคเช็ค) เพียง ๑ ปี
ขณะนั้นท่านมีชนมายุได้ ๒๐ ปี ถัดจากนั้นเพียงไม่กี่เดือน กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนมีชัยชนะในสงครามกลางเมือง รัฐบาลจอมพลเจี่ยงหนีลงเรือข้ามฝั่งไปตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นที่เกาะไต้หวัน
และแล้วในวันที่ ๑ ตุลาคม ค.ศ. ๑๙๔๙ (พ.ศ. ๒๔๙๒) ประธานเหมาเจ๋อตง ประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน ณ พลับพลาเทียนอันเหมิน กรุงปักกิ่ง
หลังจากนั้นกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนได้เข้าทำการ "ปลดปล่อย" สิบสองปันนา ด้วยประเทศจีนใหม่ปกครองโดยระบอบคอมมิวนิสต์ ประชากรทุกคนมีสถานะเท่าเทียมกัน ปราศจากชนชั้นโดยเฉพาะเจ้า
เจ้าหม่อมคำลือจึงถูกถอดออกจากการเป็นกษัตริย์เจ้าประเทศราชกลายเป็น “กษัตริย์องค์สุดท้าย” แห่งแคว้นสิบสองปันนา ซึ่งในอดีตเป็นประเทศราชเป็นดินแดนภายใต้อาณัติของราชวงศ์ชิง ต่อด้วยสาธารณรัฐจีนและสาธารณรัฐประชาชนจีนในที่สุด
รัฐบาลจีนใหม่ลดฐานันดรศักดิ์จากกษัตริย์เป็นสามัญชน โดยที่ท่านไม่มีโอกาสแม้แต่จะทันได้ขึ้นแท่นเป็นประมุขรวมถึงบริหารการแผ่นดินเลย เนื่องด้วยหลังจากทำพิธีฮับเมืองครั้งแรกท่านได้แต่งตั้งให้เจ้าหม่อมแสนเมือง พระบิดาเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ จากนั้นท่านกลับไปเข้ารับการศึกษาต่อ จนจบการศึกษาในระดับเตรียมอุดมแล้วจึงได้ย้ายมาศึกษาต่อ ณ มหาวิทยาลัยหยุนหนาน
ด้านชีวิตรักของท่าน...ที่นครคุนหมิงอันเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยหยุนหนาน ท่านได้พบรักกับสาวชาวคุนหมิงชื่อ ศวีจิ้วเฟิน หลังจบการศึกษารับปริญญแล้วทั้งสองท่านได้เข้าสู่พิธีมงคลสมรสกัน เมื่อปี ค.ศ. ๑๙๕๓
เมื่อทั้งสองท่านผ่านการสมรสแล้ว เจ้าหม่อมคำลือได้เข้าทำงานเป็นนักวิจัยด้านภาษาศาสตร์ ที่สถาบันวิจัยชนชาติส่วนน้อยแห่งชาติ สังกัดสภาวิทยาศาสตร์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในมหาวิทยาลัยปักกิ่งเป็นเวลา ๘ ปี
ภายหลังจากที่ทำงานเป็นนักวิจัยด้านภาษาศาสตร์ที่ปักกิ่ง ได้แปดปี เจ้าหม่อมแสนเมืองพระบิดาได้เดินเรื่องต่อรัฐบาลกลางยื่นคำร้องขอให้ย้ายทั้งสองท่านกลับมาประจำที่คุนหมิง เพราะใกล้บ้าน
ศูนย์การนำพรรคคอมมิวนิสต์ส่วนกลางภายใต้การผลักดันของท่านนายกรัฐมนตรีโจวเอินไหลจึงได้อนุมัติให้ท่านทั้งสองย้ายมาประจำที่นครคุนหมิงตามคำร้องขอ
ที่คุนหมิง ท่านทำหน้าที่เป็นนักวิจัยด้านภาษากลุ่มไต-จ้วง แน่นอนที่สุดต้องรวมถึงอักษรไตลื้อด้ววย
ทั้งสองท่านใช้ชีวิตการทำงานอยู่ในนครคุนหมิงอย่างมีความสุขจนกระทั่ง...
ประธานเหมาสติแตกประกาศนโยบายก้าวกระโดดและปฏิวัติวัฒนธรรม ในปี ค.ศ. ๑๙๖๖
นักวิชาการ นักพัฒนาหัวก้าวหน้า ผู้ที่ถูกสงสัยมีแนวคิดไปในทางทุนนิยม อดีตชนชั้นสูง ต่างถูกทำการย่ำยีและพิพากษาโดยศาลเตี้ยของนางเจียงชิงกับแก๊งสี่คนและกองหน้ายุวชนแดง (เรดการ์ด)
เจ้าหม่อมคำลือกับภริยาก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิวัติวัฒนธรรม !!!
แต่นับว่าบุญบารมีของท่านยังคอยคุ้มครอง ทั้งสองท่านได้รับการปกป้องอย่างถึงที่สุดจากท่านนายกรัญมนตรีโจวเอินไหลผู้ซึ่งให้คำมั่นกับชาวไตลื้อสิบสองปันนาว่าจะคอยพิทักษ์รักษาอดีตเจ้ามหาชีวิตของพวกเขา
ดังนี้ ในปี ค.ศ. ๑๙๗๑ จากการจัดการของท่านนายกโจว ศูนย์กลางพรรคคอมมิวนิสต์ (พรรคใหญ่กว่ารัฐบาลนะครับ) ได้ออกคำสั่งให้เจ้าหม่อมคำลือและภริยาไปใช้แรงงานในชนบทโดยทำงานประจำในสวนอ้อยที่เมืองเชียงกุซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเชียงรุ่ง เป็นเวลานาน ถึง ๙ ปี
*** เจตนาของท่านโจวเอินไหลคือส่งท่านไปให้ไกลจากคณะเยาวชนเรดการ์ที่บ้าคลั่งและกักขฬะ เติ้งเสี่ยวผิงก็เช่นเดียวกันครับถ้าไม่มีนายกโจวคงไม่มีเติ้งเสี่ยวผิงรอดตายมาสร้างจีนให้ยิ่งใหญ่ในทุกวันนี้ ***
การใช้ชีวิตและเวลาในสวนอ้อยนี้ มาดามศีว์จิ้วเฟินเล่าว่า ท่านทั้งสองมีความผ่อนคลายหายกังวลแม้จะต้องใช้แรงงานดุจกรรมกรแต่กลับเป็นโอกาสที่ท่านสามารถติดหนังสือหรือตำราเข้าไปอ่านได้ด้วย
ภายหลังจากการอสัญกรรมของท่านโจวเอินไหลกับประธานเหมาเจ๋อตงในปี ค.ศ. ๑๙๗๖ แก๊งสี่คนของนางเจียงชิงถูกจอมพลเย่เจี้ยนอิงทำการยึดอำนาจโดยล่อให้มาโดนจับในการประชุมสภาประชาชน
หลังจากนั้นจอมพลเย่เจี้ยนอิงจัดการให้องครักษ์ไปเชิญตัวเติ้งเสี่ยวผิงที่ท่านส่งไปหลบภัยอยู่ที่ไป๋หยุนซาน นครกว่างโจว เขตอิทธิพลของท่านกลับมาเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศ เป็นการฟื้นคืนชีพของแมวเก้าชีวิตเติ้งเสี่ยวผิง
เติ้งเสี่ยวผิงขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดแล้ว (แต่มีตำแหน่งทางรัฐบาลแค่รองนายกรัฐมนตรี) ได้สั่งยุติคำสั่งต่าง ๆ ของประธานเหมาที่ผิดพลาดทั้งหมด คืนฐานะคืนตำแหน่งให้แกนนำพรรคทั้งที่ตายไปแล้วและยังมีชีวิตอยู่ให้หวนคืนตำแหน่งเดิมทั้งหมด นั่นรวมถึงผู้นำที่ถูกส่งไปใช้แรงงานในชนบทด้วย
แล้วท่านเจ้าหม่อมคำลือกับภริยาล่ะ จะได้ไปไหน ?
โปรดติดตามตอนต่อไป
*กฤตย์ เยี่ยมเมธากร
นครเชียงใหม่
๑๐ กันยายน ๒๕๖๒

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา