2 ก.ย. 2020 เวลา 01:39 • การเมือง
อ่าน-มา-เล่า 03
“ไม่มีใครมีอุดมการณ์มากขนาดยอมพลีชีพได้”
.
ขึ้นต้นเรื่องด้วยประโยคที่กล่าวไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 โดย พ.อ.อัคร ทิพโรจน์ (ยศขณะนั้น) รองโฆษก คปค.คำกล่าวนี้ให้ใครอ่านก็น่าจะตีความหมายได้ว่าสื่อถึงความไม่เชื่อถือ ออกจะดูแคลนและด้อยค่าบุคคลต้นเรื่อง แต่หลังจากนั้นเพียง 1 เดือนกว่า บุคคลดังกล่าวได้แสดงให้เห็นว่า การพลีชีพเพื่ออุดมการณ์ มีจริง และไม่ต้องเป็นทหารก็ทำได้
พ่อไม่แน่ใจว่าควรเล่าเรื่องนี้ด้วยความรู้สึก “ด้านลบ” หรือ “ด้านบวก” เพียงแต่ต้องแจ้งเตือนว่ามีความตายในเรื่องนี้ และไม่ใช่ความตายโดยปกติ เพราะมันเกิดขึ้นจากสิ่งที่เรียกว่า “อุดมการณ์”
[น่าจะเป็นเรื่องเล่าที่กระเทือนจิตใจไปเสียหน่อย พ่อแม่ผู้ปกครองโปรดให้คำแนะนำบุตรหลาน]
ลายเส้นโดยพ่อเอง
รุ่งเช้าของวันที่ 30 กันยายน พ.ศ.2549 เกิดเหตุรถแท็กซี่สีม่วงคันหนึ่ง พุ่งชนกับรถถังเบารุ่น M41A2 Walker Bulldog ป้ายทะเบียนตรากงจักร 71116 สังกัด ร.31 พัน.3 รอ.จังหวัดลพบุรี ซึ่งจอดเข้าเวรรักษาความปลอดภัยอยู่ที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ในขณะนั้นประเทศไทยอยู่ในช่วงเวลาหลังการรัฐประหารโดย คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (คปค.) สภาพรถแท็กซี่เสียหายเพียงพอที่จะส่งผลให้ชายคนขับได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ไม่ตาย เขายอมรับภายหลังว่าคำนวณความเร็วผิดพลาด ผลคือกระดูกซี่โครงหัก 5 ซี่ ตาซ้ายบวมช้ำ และคางทะลุถึงภายในช่องปาก หลังจากถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเพื่อรักษา ชื่อของเค้า “นวมทอง ไพรวัลย์” ก็เป็นที่รู้จัก และเมื่อเหตุการณ์นี้เป็นข่าวดัง รองโฆษก คปก.กล่าวผ่านสื่อทำนองว่าเขาทำไปเพราะความอยากดัง และกล่าวปรามาสด้วยประโยคต้นเรื่อง
-
ภายหลังจากนอนรักษาตัวอยู่ 13 วัน จนอาการทุเลา “นวมทอง ไพรวัลย์” ซึ่งขณะนั้นอายุได้ 60 ปี ได้ออกจากโรงพยาบาล เขาเขียนจดหมายสั่งลาฉบับสุดท้าย ทิ้งไว้ให้ภรรยาและลูกทั้ง 2 คน ที่มีอายุ 21 และ 17 ปี ณ ขณะนั้น หลังผ่านคืนวันที่ 31 ตุลาคม 2549 มีคนพบร่างสิ้นใจของเขาห้อยอยู่ที่สะพานลอยบริเวณใกล้เคียงสำนักงานข่าวชื่อดังแห่งหนึ่ง ที่ตำแหน่งนั้นพบแผ่นกระดาษเขียนข้อความว่า “อดีตคนขับรถแท็กซี่พลีชีพเพื่อประชาธิปไตยและลบคำสบประมาท รองโฆษก คปค.ว่าไม่มีใครมีอุดมการณ์มาก…” เขากระทำอัตวินิบาตกรรมและยืนยันต่อสาธารณชนด้วยกระดาษหนึ่งแผ่นว่า มีคนยอมพลีชีพเพื่ออุดมการณ์ อันที่จริงมันเป็นความพยายามตั้งแต่การขับแท็กซี่พุ่งชนรถถังเพื่อต่อต้านการรัฐประหารแล้ว แต่ก็มีปัจจัยที่ส่งผลกระทบให้เกิดเหตุการณ์นี้ในเวลาต่อมา
--
เสื้อที่ “นวมทอง ไพรวัลย์” เลือกสวมในวันที่เขาเลือกเองว่าเป็นวันสุดท้ายของชีวิต แสดงบทกวีบทหนึ่งความว่า
“ หยดฝนย้อยหยาดฟ้ามาสู่ดิน
ประมวลสินธุ์เป็นมหาสาครใหญ่
แผดเสียงซัดปฐพีอึงมี่ไป
พลังไหลแรงรุดสุดต้านทาน
อันประชาสามัคคีมีจัดตั้ง
เป็นพลังแกร่งกล้ามหาศาล
แสนอาวุธแสนศัตรูหมู่อันธพาล
ไม่อาจต้านแรงมหาประชาชน ”
มันเป็นบทกวีบทสุดท้ายที่ชื่อ "พลังประชาชน" ของ กุหลาบ สายประดิษฐ์ หรือ ศรีบูรพา
ส่วนจดหมายลาที่ทิ้งไว้ ปรากฏข้อความที่เขียนด้วยลายมือความยาว 35 บรรทัด ทั้งมีระเบียบและอ่านง่าย ท้ายจดหมายทิ้งข้อความถึงครอบครัวว่า “สุดท้ายขอให้ลูก ๆ และภรรยาจงภูมิใจในตัวพ่อ ไม่ต้องเสียใจ ชาติหน้าเกิดมา คงไม่พบเจอการปฏิวัติอีก ลาก่อนพบกันชาติหน้า”
เขาตั้งใจสละชีวิตในวันสุดท้ายของเดือนตุลาคม ด้วยเหตุผลที่ว่ามันเป็นเดือนที่วีรชนรุ่นก่อนเคยสละชีพเพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย และเขียนยืนยันทิ้งท้ายจดหมายว่า “ปฏิบัติการทั้งสองครั้งทำด้วยใจ ไม่มีใครจ้าง”
---
หาก ลุงนวมทอง ยังมีชีวิตอยู่ในปีนี้ (2563) เขาจะมีอายุ 74-75 ปี และจะเจอรัฐประหารอีกอย่างน้อย 1 ครั้ง ในอีก 8 ปีให้หลังรัฐประหาร 2549 การตายเพื่ออุดมการณ์ของเขาปลุกกระแสต่อต้านรัฐประหาร จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้กับระบอบเผด็จการ แต่ที่น่าสนใจไม่แพ้เจตนาอันแน่วแน่และแรงกล้าจนกลายเป็นโศกนาฏกรรมนั้น คือ ปฏิกิริยาของฝ่ายที่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร จากประโยคต้นเรื่องของรองโฆษก คปค.เห็นได้ชัดเลยว่าสื่อความหมายของการเคลือบแคลงสงสัยในการกระทำ กลายเป็นไม่เชื่อ กลายเป็นคำถามสุดคลาสสิก “ใครจ้างมา” จนแทบจะเป็นเครื่องมือด้อยค่าการแสดงออกทางอุดมการณ์การเมืองในทุกยุคสมัย แม้แต่จิตแพทย์ที่ออกมาให้สัมภาษณ์สำนักข่าวภายหลังเหตุการณ์ขณะนั้น ยังให้ทัศนะในเชิงแนะนำว่า คนไม่เห็นด้วยมีมากแต่ก็ใช้วิธีอื่นในการแสดงออกได้ คุยกับครอบครัวเพื่อนฝูงเพื่อปรับทุกข์ ใจเย็น ๆ อดทนรอ แล้วก็อาจจะมีอะไรดีขึ้นในภายหลัง เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการขาดทักษะเชิง Empathy อย่างแท้จริง แม้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ Mindset ลักษณะนี้ยังคงถูกปลูกฝังอยู่ในคนกลุ่มทำรัฐประหาร ผู้ที่เกี่ยวข้องหรือสนับสนุน มาโดยตลอด มันเข้มแข็งพอที่จะกรอบให้สังคมคล้อยตาม จนยากที่จะมีใครฉุกคิดถึงสิ่งที่ลุงนวมทองเผชิญอยู่ ลงไปสัมผัสให้ลึกซึ้งถึงต้นตอ เพียงพอที่จะตั้งคำถามถึงมันด้วยการร่วมกันส่งเสียงดัง ๆ
----
แม้เรื่องของ “นวมทอง ไพรวัลย์” จะผ่านไปนานจนคนส่วนมากลืมไปแล้ว หรือจริง ๆ คือไม่เคยจำ อย่างไรก็ตามเหตุการณ์คล้ายเดิมได้เกิดขึ้นอีกครั้งในอีก 13-14 ปีต่อมา วันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ.2562 ที่ห้องพิจารณาคดี ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะชั้นต้นศาลจังหวัดยะลา ปรากฏตัวขึ้นทำหน้าที่บนบัลลังก์และอ่านคำพิพากษายกฟ้องจำเลย 5 คน ในคดีความมั่นคงจากเหตุฆาตกรรม 5 ศพ จากนั้นนำปืนพกที่เตรียมมา ลั่นไกใส่ตัวเองจนได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก่อนหน้านั้นเขาได้เผยแพร่แถลงการณ์ขนาด 25 หน้า ผ่านทาง Facebook เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยและตั้งคำถามต่อระบบยุติธรรมและตุลาการไทย ผู้พิพากษาคนดังกล่าวมีชื่อว่า “คณากร เพียรชนะ”
ในแถลงการณ์นั้นระบุว่า เขาไม่เห็นด้วยต่อการที่คดีนี้ถูกทำให้เป็น คดีความมั่นคง ทั้งที่ควรเป็นคดีฆาตกรรม เขาพิจารณาแล้วยกฟ้อง ด้วยเหตุผลที่ว่าพยานหลักฐานไม่เพียงพอ แต่อธิบดีผู้พิพากษาฯ ให้แก้คำพิพากษา โดยสั่งประหารจำเลย 3 คน และจำคุกจำเลยที่เหลืออีก 2 คน คำสั่งแก้ไขดังกล่าวนี้ คณากร ระบุว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ทำตามขั้นตอน เพราะสั่งเป็นบันทึกลับมาหาเขาโดยตรง แทนที่จะกระทำอย่างเปิดเผยตามระเบียบสายงาน นอกจากนี้เขาเรียกร้อง การออกกฎหมายเพื่อยุติการแทรกแซงผลคำพิพากษา และความเป็นธรรมทางการเงินแก่ผู้พิพากษาทั่วประเทศ ท้ายจดหมายทิ้งประโยคสำคัญกระตุกให้ฉุกคิด “...คืนคำพิพากษาให้ผู้พิพากษา คืนความยุติธรรมให้ประชาชน”
หลังเหตุการณ์ ผู้พิพากษาคณากร ได้รับการช่วยเหลือรักษาตัวในโรงพยาบาล และแน่นอนเมื่อเขาไม่ตาย คำปรามาสสบประมาทก็ดังขึ้น “ใครจ้างมา?” “จัดฉากหรือเปล่า?” แทบไม่ต่างไปจากเหตุการณ์ลุงนวมทองที่เกิดขึ้นเมื่อ 10 กว่าปีก่อนเท่าไหร่นัก หากแต่ครั้งนี้เป็นหัวข้อด้าน “ความยุติธรรม”
ผลจากเหตุการณ์ คณากร ถูกย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวที่จังหวัดเชียงใหม่ และถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองยะลา ดำเนินเรื่องเอาผิดในคดีความตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นความผิดอาญา พร้อมกับกระบวนการสอบสวนหาข้อเท็จจริงทางวินัย
ในวันที่ 7 มี.ค.2563 เสียงปืนดังขึ้นอีกครั้งที่บ้านพักในจังหวัดเชียงใหม่ เป็นผลให้ครั้งนี้ คณากร เพียรชนะ ได้รับบาดเจ็บสาหัส และสุดท้ายเขาจบชีวิตที่โรงพยาบาล มันคือความพยายามครั้งที่ 2 ในการกระทำอัตวินิบาตกรรม เขาทิ้งจดหมายลาอีกครั้งผ่าน Facebook ระบุสาเหตุของการตัดสินใจ ซึ่งระบุเหตุในกรณีครั้งแรก พร้อมด้วยการถูกสอบสวนทางวินัย การตกเป็นผู้ต้องหาคดีอาญา ความเป็นไปได้ที่จะถูกลงโทษตามระเบียบราชการและถูกดำเนินคดี เป็นผลให้ร่างกายและจิตใจ “ไม่อาจรับไหว” และ เต็มไปด้วยความทุกข์ จากเหตุการณ์นี้ทำให้โลกออนไลน์ส่งเสียงเรียกร้องไปถึงกระบวนการยุติธรรมของไทย ให้ปรับปรุงแก้ไขปัญหาความไม่โปร่งใส และการถูกแทรกแซงที่สั่งสมมานาน เพียงแต่ว่ามันอาจจะเป็นแค่การส่งเสียงที่ดังขึ้นมาหนึ่งระลอกคลื่นให้พอเห็นชัดและหายไปกับกระแสน้ำโดยปกติในที่สุด
ทั้งสองคนเป็นตัวแทนของคนส่วนน้อยในสังคมที่ “น่าจะ” ย้ำว่า “น่าจะ” มีแนวโน้มมองว่าการแสดงออกหรือการทำเพื่ออุดมการณ์นั้น ไม่ใช่เรื่องของคน “อยู่เป็น” ยิ่งหากเป็นอุดมการณ์ฝั่งตรงข้ามอาจไปถึงขนาดที่คิดว่า “มีวาระซ่อนเร้นหรือเปล่า?” ทั้งที่จริงจริงแล้วเราเห็นปัญหาและต้นตอของมันชัด ๆ อยู่เพราะเขาทั้ง 2 ใช้ชีวิตของตัวเองส่งทั้งเสียงและแสง เสมือนพลุไฟในที่มืด ซึ่งมันก็ส่องแสงส่งเสียงเพียงชั่วครู่ ที่สำคัญไม่ได้สวยงามเหมือนพลุ เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ควรเกิดเพื่อชื่นชมยินดี แต่ควรร่วมกันเสาะหาต้นตอ รวมทั้งต้องไม่ทิ้งประเด็นของการเยียวยาจิตใจด้วยหลักวิชาความรู้ทางจิตวิทยา เนื่องด้วยเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ใครหลายคนมักถามถึง ท้ายที่สุดพ่อเชื่อว่ามันไม่มีอุดมการณ์ใดที่สำคัญหรือยิ่งใหญ่เพียงพอที่จะต้องเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อให้ได้มาอย่างแน่นอน เพราะถ้าหากเราไม่มีชีวิตเสียแล้ว อุดมการณ์ใดเล่าที่เราจะรับรู้รสสัมผัสได้จากการทำหน้าที่ของมัน ถึงแม้ไม่เห็นด้วย แต่ขอระลึกถึงชีวิตผู้คนเหล่านั้นที่ยอมสละชีพเพื่อปกป้องอุดมการณ์ที่พวกเขายึดมั่นด้วยจิตคารวะ
ไม่ใช่ “อยู่ไม่เป็น” เลยเลือกที่จะ “ไม่อยู่”
แต่เพราะ “อยู่ไม่เป็น” จึงต้อง “อยู่” หยัดยืนจนถึงวันที่ไม่ต้องมีคำว่า “อยู่เป็น”
จริงจริงต้องการเผยแพร่วันที่ 1 กันยายน เพราะเป็นวันรำลึก 30 ปี การจากไปของ สืบ นาคะเสถียร อีกหนึ่งผู้ยึดมั่นในอุดมการณ์ที่ยอมสละชีพเพื่อรักษาผืนป่าของไทย แต่เขียนเล่าไม่ทัน
ที่มาและอ้างอิงจาก :
คำนำเสนอ โดย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จากหนังสือ “คู่มือต้านรัฐประหาร”. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์สำนักนิสิตสามย่าน, 2562.
ทหารยอมขอขมาแท็กซี่พลีชีพ, นางฟ้าปากกว้าง, 2 พฤศจิกายน 2549, https://tnews.teenee.com/politic/5203.html
จดหมายลาฉบับสุดท้ายของ นวมทอง ไพรวัลย์, https://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/2/2b/Nuamthong.jpg
คณากร เพียรชนะ : เสียงจากทนายจำเลยในคดีสุดท้ายของผู้พิพากษาคณากร "อยากให้อยู่ต่อสู้ไปด้วยกัน", กุลธิดา สามะพุทธิ, 7 มีนาคม 2563, https://www.bbc.com/thai/thailand-51781494
ย้อนความจำ: 'คณากร เพียรชนะ' เรียกร้องอะไรในระบบยุติธรรมของประเทศ, วอยซ์ออนไลน์, 9 มีนาคม 2563, https://voicetv.co.th/read/BkjInDf82
การยอมตายเพื่ออุดมการณ์ คือสิ่งที่ตรงกันข้ามอย่างสุดขั้วกับการอยู่เป็น, วิจักขณ์ พานิช, 8 ตุลาคม 2562, https://prachatai.com/journal/2019/10/84666
#จริงจริงคืออยากเล่าให้ลูกฟัง #อ่านมาเล่า #อ่านมาเล่าจริงจริง #อุดมการณ์

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา