14 พ.ย. 2022 เวลา 10:17 • หนังสือ
อ่าน-มา-เล่า 05
โอกาสที่ดีจะมีได้ ถ้าอยู่ในเมืองที่ดี
.
ช่วงที่พ่อได้มีโอกาสคลุกคลีกับงานการเมือง พ่อเริ่มต้นด้วยความคาดหวังว่าจะใช้ทักษะและความรู้อันน้อยนิดจากวิชาสถาปัตย์และการออกแบบที่ติดตัวมา เพื่อใช้ให้มีประโยชน์ในการพัฒนาอะไรที่จับต้องได้ ดังนั้นเมื่อต้องจับคู่ระหว่างความสามารถที่มีกับนโยบายทางการเมือง คำตอบวนเวียนอยู่ไม่ไกลจากประเด็นเชิงกายภาพและเรื่องที่คนอย่างพ่อสามารถทำงานได้ ในที่สุดความสนใจจึงไปตกอยู่ในเรื่องของการ ‘พัฒนาเมือง’ และ ‘ว่าด้วยผังเมือง’
ขณะเดียวกันเมื่อย้อนมาสำรวจตัวเองก็พบว่าความรู้ที่มีแทบหาส่วนที่นำมาใช้ได้เลย….น้อยมาก กลายเป็นประสบการณ์ต่างหากที่เอื้อให้เกิดความสะดวกในฐานะเป็นเครื่องมือช่วยให้มองเห็น ‘ความไม่รู้’ และสรุปว่าต้องหาทางศึกษาค้นคว้า
แรงปรารถนาที่อยากได้อยู่ในเมืองซึ่งเอื้อให้เรามีทางเลือกในการใช้ชีวิตมากกว่าที่เป็น อย่างน้อยให้สามารถเดินทางด้วย ‘วิธี’ ที่เหมาะสมที่สุดโดยไม่พึ่งแต่รถยนต์ส่วนตัว มีพื้นที่สาธารณะให้ใช้งานหลากหลายกว่าสวนออกกำลังกายของอบต.แถวบ้าน บังคับให้พ่อค้นพบว่าการที่เราจะมีเมืองที่ดีได้อย่างใจฝันนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องระบุตัวตนของผู้ที่มีอิทธิพลแท้จริงต่อการพัฒนาเมือง โดยเฉพาะตัวละครที่ถืออำนาจและสามารถใช้อำนาจนั้นในการทำให้เมืองกลายเป็นแบบที่แย่กว่าหรือดีกว่าที่เป็นอยู่ได้
ข้อสรุปที่พ่อเลือกฟันธงเอาเองโดยอิงจากบริบทของสังคมไทย
‘องค์กรปกครองท้องถิ่น’ เป็นตัวละครสำคัญที่สุด แต่นั่นยังไม่พอต่อการแก้สมการ กลไก, แนวคิด, ปัจจัย, เครื่องมือ, ฯลฯ เป็นสิ่งที่ต้องมองหาเพื่อความเป็นไปได้ในการมีเมืองแบบที่ฝัน
••
ในที่สุดหนังสือเล่มหนึ่งที่พ่อหยิบมารวบรวมไว้ในกองดองจากงานหนังสือของสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง ก็ให้สิ่งที่พ่อมองหา ‘การสร้างเมืองที่มีความสุข’ คือกรอบง่ายๆ อันเป็นเป้าหมายการสร้างเมือง "เราจะสร้างเมืองอย่างไรให้มีความสุข" ประโยคเรียบง่ายที่พ่อได้จากทั้งหมดของเนื้อหาที่ผู้เขียนต้องการสื่อสาร แต่เส้นทางการสร้าง Happy city ไม่เรียบง่ายอย่างนั้น แถมมันซับซ้อนเกินกว่าใครคนเดียวจะอธิบายให้ความหมายทั้งหมดของมัน
ผู้เขียนจึงเลือกพาไปดูเมืองกรณีศึกษามากมายจากหลากทวีป และชวนไปสัมผัสชีวิตและแนวคิดของทุกผู้คนที่เกี่ยวข้องกับมัน เพื่อให้เห็นถึงปัญหาข้อจำกัด และแนวทางดำเนินการที่แตกต่างกันออกไป
•••
ความเป็น ‘เมือง’ เริ่มมานานมากมากมากมาก แต่ความเป็น ‘เมืองที่มีปัญหา’ เริ่มมาไม่นาน อย่างน้อยก็ไม่ไกลเกินช่วงอายุของปู่-ย่า ตา-ยายของลูก กว่าคนที่อยู่ในเมืองจะรู้ว่าเมืองมีปัญหา เมืองก็กลายเป็นปัญหาที่สายเกินแก้ของคนในเมืองไปเสียแล้ว พ่อมาตระหนักว่าตัวเองอยู่ในเมืองที่มีปัญหามาโดยตลอดเมื่อไม่นานมานี้เอง โดยเริ่มจากคำถามแสนง่าย “ทำไม?" ทำไมถึงไม่สามารถเดินทางไปทำงานด้วยรถสาธารณะที่สะดวกสบายและรวดเร็วได้ ทำไมพ่อถึงต้องขับรถยนต์เพียงอย่างเดียวเพื่อไปพื้นที่ศึกษาอันไกลจากบ้าน 30 กม.
ทำไมเราไม่มีพื้นที่สาธารณะอันหลากหลายให้ใช้งาน ทำไมการปั่นจักรยานออกจากบ้านไปสัก 10 กม.เป็นเรื่องเสี่ยงอันตราย ทำไมพื้นที่สร้างสรรค์อย่างแกลลอรี่ พิพิธภัณฑ์ ห้องสมุดสาธารณะ ไม่อยู่ใกล้บ้านเราแค่ปั่นจักรยานถึง และอีกมากมายใน…. ทำไม?
(เป็นคำถามที่ดูเหมือนไม่มีทางหาทางออกได้เลย ถ้าอยู่ในประเทศนี้)
••••
อันที่จริงมันมี ‘อำนาจ’ อย่างหนึ่งที่ทรงอิทธิพลต่อความเป็นเมืองที่แย่หรือดีได้ ยิ่งเมื่อมันถูกบังคับใช้โดยยึดผลประโยชน์ของบางกลุ่มเป็นเจตจำนงเบื้องหลัง ไม่ใช่การกระจายผลประโยชน์สู่ทุกคนอย่างเสมอภาค ความทุกข์ของคนบางกลุ่มจะมากและหนักอย่างไม่สมดุลกับความสะดวกสบายของอีกฝั่ง
พ่อคิดว่าอำนาจนั้นคือ ‘กฎหมาย’ และอย่างที่พ่อเชื่อ อำนาจนี้ไม่เคยยึดผลประโยชน์แท้จริงของประชาชนส่วนใหญ่ อย่างน้อยก็ในประเทศเรา ความทุกข์เช่นนั้นปรากฏเด่นชัดใน ‘เมือง’ โดยฝั่งไหนทุกข์มาก/ทุกข์น้อยสามารถสังเกตได้จาก ‘ทางเลือก’ ที่มี
•••••
ลูกจะเห็นว่าแค่กิจกรรมอย่างเดียวในเมือง เราก็สามารถมองออกได้ไม่ยากว่าปัญหาของการที่เมืองไม่ได้ถูกออกแบบผ่าน ‘อำนาจ’ เพื่อสนองทุกคน ทำให้ความทุกข์เด่นชัดมากขึ้นขนาดไหน เราลองพิจารณาที่ ‘การเดินทาง’ หากว่าเราต้องเดินทางจากบ้านที่ปทุมธานีเพื่อไปทำภารกิจในกรุงเทพฯ โดยไม่ใช้รถยนต์ส่วนตัว ‘ทางเลือก’ สำหรับผู้มีอันจะกินพร้อมทรัพย์สินเหลือเฟือ จะสามารถเรียกรถแท็กซี่ให้หรูระดับใดก็ได้ผ่านสมาร์ทโฟน แล้วมาจอดรอที่หน้าบ้านได้เลย
แต่หากเงินเป็นสิ่งขาดแคลน ลูกต้องวางแผนมากกว่า ตั้งแต่เวลาตื่นนอน วิธีการเดินทาง สายรถประจำทาง วินมอเตอร์ไซค์ และก็ต้องเตรียมแผน 2 - 3 ไว้ด้วยเผื่อเกิดสิ่งไม่คาดคิดระหว่างทาง เช่น ขึ้นรถเมล์ผิดสาย, นั่งรถเลย, รถเมล์ไม่วิ่ง, นาฬิกาไม่ปลุก, รถเมล์เกิดอุบัติเหตุ, ฯลฯ เพียงแค่การเดินทางธรรมดาก็ไม่ต้องพรรณนาให้มากความแล้วว่าทุกข์ในเมืองเกิดขึ้นอย่างง่ายดาย และหนักหนาสาหัสกว่ามากหากลูกไม่ใช่คนมั่งมี
••••••
เมื่ออำนาจเอื้อความสะดวกสบายให้แก่คนในเมืองที่มีรายได้มากกว่า ทิศทางในการพัฒนาจึงตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางเศรษฐกิจ กลไกการตลาดเข้ามามีบทบาทสำคัญในการขยายตัวของเมือง ย่านปริมณฑลที่เราอาศัยอยู่มักเรียกว่าชานเมืองส่วนขยาย ปัญหาของย่านแบบนี้คือขาดแนวทางพัฒนาอย่างจริงจังจาก ‘รัฐ’ และปล่อยให้พื้นที่ว่างเปล่าถูกจับจองโดยเอกชนเพื่อพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ท้ายที่สุดย่านชานเมืองแบบที่เราอาศัยอยู่จึงเติบโตไปอย่างไร้ทิศทางตามมีตามเกิด
หากโชคดีได้เอกชนพัฒนาดีก็ดีไป ฝ่ายท้องถิ่นก็ดูแลจัดการแค่แก้ปัญหาไปเป็นเรื่องๆ ปัดกวาดเช็ดถูตามหน้าที่ แต่ไม่สามารถสร้างสรรค์อำนาจที่มีเพื่อให้เกิดความเป็นไปได้ใหม่ของการพัฒนาเมืองโดยคำนึงถึงประโยชน์และลดความทุกข์ของทุกคนได้เลย
•••••••
สิ่งที่ได้จากเรื่องเล่าของผู้เขียน Happy city สร้างแรงบันดาลใจและความเป็นไปได้ใหม่ของการปรับปรุงเมืองให้ความทุกข์น้อยลง ด้วยการสร้างสำนึกและจิตวิญญาณของความเป็นเจ้าของ แน่นอนว่าการที่เราอยากจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง มันจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้หากเราไม่ได้เป็นเจ้าของมันหรืออย่างน้อยก็มีความรับรู้ว่าเราเป็นเจ้าของมันได้
แม้เราได้สิทธิในการเป็นเจ้าของแล้ว แต่ขาดอำนาจในการตัดสินใจ ออกความเห็น มีส่วนร่วมในการออกแบบวางแผน การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงใดใดที่เป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ก็ย่อมไม่เกิดขึ้น ดังนั้นการทำให้กฎหมายข้อบังคับต่างๆ กลับมาเอื้อให้สิทธิแก่ประชาชนส่วนใหญ่ ย่อมเป็นอีกเครื่องมือที่ขาดไม่ได้ในการพัฒนาเมือง ท้ายที่สุดคือการเรียนรู้จากเมืองร่วมโลกทั้งหลายที่เคยผ่านปัญหาเดียวกันมาแล้ว ไม่ต่างจากคีย์ลัดที่ช่วยให้เราไม่ต้องว่ายวนกับการหาหนทางแก้ไขนานนัก
พ่อพบว่ามีกรณีศึกษาที่น่าสนใจมากมายในเล่มและอาจจะมากมายกว่านี้อีกนอกเหนือจากที่ผู้เขียนเลือกนำมาเล่า เพียงแค่เราต้องพยายามสรรหา สิ่งสำคัญที่สุดซึ่งเราต้องจำไว้ให้ขึ้นใจจากเรื่องเล่าของผู้เขียนคือ ไม่มีวิธีการใดเป็นสูตรสำเร็จในการแก้ปัญหาหรือสร้างทางแก้ไขเมือง เราเลือกเรียนรู้จากตัวอย่างได้ แต่สุดท้ายแล้ว เราต้องเลือกและสร้างเส้นทางของตัวเอง
••••••••
ชัยชนะของการพัฒนาเมืองเพื่อ ลดความทุกข์ เพิ่มความสุข ดังตัวอย่างในเล่มดูน่าชื่นชม สร้างแรงกระตุ้นให้หัวใจสูบฉีด จนอาจเผลอบอกกับตัวเองว่า เฮ่ย!...เราอยู่ในเมืองที่ดีกว่านี้ได้นี่หว่า แต่ลูกต้องไม่ลืมว่าทุกตัวอย่างเหล่านั้น ล้วนผ่านความสูญเสีย ต้องยอมทิ้งบางอย่างเพื่อแลกกับอะไรบางอย่าง การจะมีถนนที่รถไม่ติด ก็คือการที่คนต้องยอมทิ้งรถ เลือกการเดินทางที่ร่างกายต้องออกแรงมากขึ้น เช่น เดินหรือปั่นจักรยาน
ต้องยอมเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนในเมืองและตัวเอง เพื่อรื้อถนนและแทนที่มันด้วยสวนขนาดเล็กหรืออะไรก็ตามที่จำต้องสละทิ้งเพื่ออนาคตที่ดีขึ้น แต่สิ่งที่พ่อคิดว่าคนรุ่นเดียวกันหรือคนรุ่นก่อนหน้าต้องคิดให้หนักคือ “พวกเราจะยอมให้เป็นอย่างนี้ ทนอยู่กับความทุกข์ในเมืองอย่างนี้ ผลาญทรัพยากรเช่นนี้ต่อไป แล้วปล่อยให้คนรุ่นต่อมาในอนาคตหาทางแก้ไขดิ้นรนเอาเองหรือ?”
.
โปรดอ่าน: Happy City: เปลี่ยนโฉมชีวิตด้วยการออกแบบเมือง
ผู้เขียน: Charles Montgomery
ผู้แปล: พินดา พิสิฐบุตร
ภาพสเกตช์จากถนนแห่งหนึ่งในจังหวัดเฮียวโงะ ประเทศญี่ปุ่น
#จริงจริงคืออยากเล่าให้ลูกฟัง #อ่านมาเล่า #อ่านมาเล่าจริงจริง #happycity #urbandesign
#่jingjingkhue

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา