Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ออฟฟิศโลกแตก
•
ติดตาม
2 ก.ย. 2020 เวลา 23:30 • ธุรกิจ
ข้อแตกต่างระหว่างผมกับCEO
ผมบอกตัวเองทุกวันว่าจะเป็นแบบบอสให้ได้
แต่ตลอดเวลาที่บอกตัวเองแบบนั้น เราแทบไม่ได้เริ่มลงมืออะไรเลย
ออฟฟิศโลกแตก
หลังจากที่ผมได้พูดคุยกับCEO หรือบอสของผม ผมก็ได้ข้อคิดอะไรหลายอย่างเพิ่มมากขึ้น
และกลับมาทบทวนตัวเองเพิ่มอีกในหลายๆสิ่ง
พอนั่งคิด นอนคิด เดินคิด ก็นึกขึ้นได้ว่า เราเคยบอกตัวเองว่า เราอยากเป็นเหมือนเค้ามาตลอด แต่เราเคยเริ่มทำอะไรสักอย่างยัง
บอสผมเป็นคนฮ่องกงที่เติบโตในมาเลเซีย
ปัจจุบันอายุ 37 ปี (อายุถือว่าน้อยมากเลย ) เค้ามีธุรกิจหลายอย่างมาก ทั้งบริษัทที่ผมทำอยู่ที่มีสาขาอยู่เกือบทุกประเทศในเอเชีย และโรงแรมในหลายๆประเทศ,ร้านอาหาร แม้กระทั่งร้านกาแฟ คนคนเดียว ดูแลได้ยังไงให้ทั่วถึง มี2 มือ 2 ขาเหมือนกัน แต่สิ่ง1 ที่ไม่เหมือนกัน passion กับ วิสัยทัศน์
ช่วงโควิดผมได้มีเวลาตลอดทั้ง 2เดือนครึ่งอยู่กับเค้าในช่วงแรกๆ เพราะเค้าไปไหนไม่ได้ ต้องติดอยู่ในไทย ผมเลยกลายเป็นเพื่อนคนเดียวของเค้าในประเทศนี้
ช่วงแรกๆเราก็คุยกันทุกวันถึงความตื่นเต้นที่จะได้หยุดพักงานแล้วมานั่งวางแผนทิศทางของบริษัทที่ไทยกัน สำหรับปี 2020 ในขณะที่ทุกบริษัทกำลังตรึงเครียดกับผลกระทบจากโควิด แต่บอสผมนั่งยิ้มอย่างสบาย เหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิด เหมือนเป็นแค่ช่วงพักร้อนของเค้า
แต่ตัวผมเองรู้ดีว่าเรากำลังเจอกับอะไร ผมดูแลสาขาในไทยผมรู้ว่า นี่คือวิกฤตของบริษัทแบบเต็มๆ แต่บอสผมเค้ากลับดูไม่มีความกังวลใจใดๆ เค้าพูดแค่ว่า มันคือสิ่งที่ท้าทายเรา มันไม่ใช่ปัญหาของเราที่แก้ได้ มันคือปัญหาของทุกคนบนโลกนี้ พอผมฟังก็รู้สึกสบายใจขึ้น ไม่รู้เพราะว่าผม ไม่เข้าใจความหมายของเค้า หรือ เพราะสีหน้าที่ยิ้มแย้มของเค้า 555555555 แต่ในใจผมรู้ดีนี่คือหายนะของบริษัท
หลังจากโควิดผ่านไป ความเสียหายของเราคือ สาขาที่สิงคโปร์ต้องยุบ ร้านอาหารที่ฮ่องกงก็ต้องปิด โรงแรมที่เวียดนามกับฮ่องกงก็ต้องปิดไปก่อน พนักงานถูกปลดออกมากกว่า 80คนใน4 ประเทศนี้
และเป็นอย่างที่ผมคิดไว้เลย มันคือหายนะ มันคือวิกฤตของบริษัทเรา หลังจากหมดโควิด ผมกับบอสก็ได้มาเจอกันอีกครั้งก่อนจะกลับมาเปิดบริษัทสู่ปกติ
ผมคิดไว้ว่าตอนเจอกัน เค้าต้องหัวเสียมากๆแน่ ผมเตรียมใจมารับฟังเค้าเต็มที่ แต่ภาพแรกที่เห็นเค้าหลังไม่เจอกันมาสักพัก เค้าก็ยังยิ้มได้ แต่สิ่งที่เซอร์ไพร์ที่สุด
คือเค้าไม่ได้พูดถึงความเสียหายที่เค้าเจอเลย เข้าเอาแผนโปรเจคใหม่กับไอเดียธุรกิจใหม่ของเค้ามาโชว์ให้ผมดู พร้อมกับอธิบายอย่างตื่นเต้น เหมือนกับ 2 เดือนครึ่งที่ผ่านมาไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยจริงๆ
ภาพมันยิ่งชัดเจนขึ้นว่าผมกับเค้าแตกต่างกันสิ้นเชิง
เริ่มจากเรื่องง่ายๆ ช่วงปิดบริษัทตามคำสั่งรัฐช่วงแรกๆ
ผมกับเค้านัดกันดื่มกาแฟทุกเช้าที่ สตาบัคหน้าออฟฟิศ
ไปนั่งคุยกัน พบปะทั่วไป ผมก็นั่งดื่มกาแฟ ดูข่าวสารในเฟสบุค เล่นอินสตาแกรม โซเชียลอะไรเรื่อยเปื่อย
ผมหันไปมองบอสผม เค้านั่งเล่นไอแพด แต่พอมองดีดี คือเค้านั่ง เขียนแผนผังโมเดลงานที่ไม่เกี่ยวกับบริษัทหรือธุรกิจที่ทำอยู่ แต่โมเดลนั้นคือแผนธุรกิจใหม่ที่เค้าพึ่งนำอวดผมหลังจากโควิด
สิ่งที่กำลังหมายถึงคือ เค้าไม่หยุดคิด หรือหยุดทำงานเลยแม้แต่นาทีเดียว งานอดิเรกเค้าคือการทำธุรกิจ
เค้ามีความสนุกกับมัน มีความสุขกับมันอยู่ตลอดเวลา
อย่างที่สอง ที่ผมเห็นคือ เค้าไม่ยอมเสียเวลาให้กับเรื่องที่มันไม่มีทางแก้ไขได้ เค้ามีวิสัยทัศน์ในการก้าวไปข้างหน้าตลอดเวลา ไม่มามัวเสียใจหรือกระวนกระวายกับสิ่งที่เราทำไรไม่ได้อย่างเช่นเรื่องโควิด เค้าเลือกที่จะปล่อยให้มันผ่านไปแล้วหาวิธีรับมือกับมันทีหลัง
ซึ่งตัวผมเอง ขนาดไม่ใช่เจ้าของบริษัท ยังเป็นเดือดเป็นร้อนแทบตาย นอนไม่ก็หลับ กินข้าวก็ไม่อร่อย มูฟออนไปไหนไม่ได้ เห็นข่าวแล้วก็เครียด มันแสดงให้เห็นถึงผมเอาเวลามาเสียใจกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เราไม่สามารถหยุดวิกฤติได้ แต่ที่เราทำได้คือเตรียมพร้อมรับมือกับมัน
อย่างที่สาม จิตใจผมเฝ้ารอเมื่อไหร่จะถึงวันหยุด เสาร์-อาทิตย์ และเกลียดวันจันทร์มากๆ อันนี้ด้วยความสัตย์จริง ผมรักงานที่ผมทำ ผมมีความสุข แต่จิตใจผมก็ยังคิดถึงแต่เมื่อไหร่จะถึงวันศุกร์สักที แต่บอสผมเค้าไม่ได้สนว่าวันไหนวันหยุด วันไหนวันจันทร์ เค้าอยากทำงานอยู่ทุกวัน เค้าพูดคำนี้เสมอว่า เค้าไม่สนว่าวันอะไร เค้าขอแค่ให้เค้าได้ทำงานก็พอ
สิ่งนี้ผมไม่รู้ว่าชาตินี้ จะทำข้อนี้ได้มั้ย555555
สรุป 3 ข้อนี้ง่ายๆคือ
1.มีไหวพริบในการวางแผน การเตรียมตัวล่วงหน้าตลอดเวลา
2.มีสติ ไม่กระวนกระวายกับเรื่องที่เกินการรับมือ ไม่เสียเวลาให้กับสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์
3. Mindset เรื่องการทำงานและPassion
เอาจริงๆมันมีหลายข้อมากๆ
แต่3ข้อนี้ก็เป็นเหตุหลักๆที่ผมเห็นได้ชัดว่า แค่นี้ผมกับเค้าต่างกันสิ้นเชิง
ผมบอกตัวเองว่าอยากประสบความสําเร็จเหมือนเค้า แต่ผมแทบไม่ได้พยายามทำอะไรให้มันใกล้ความสำเร็จแบบเค้าเลย
บอสผมเริ่มต้นจาก การเป็นพนักงานธนาคาร แล้วทำงานเก็บเงินมาเรื่อยๆ จนได้ประมาณ150,000 บาทไทย เอาไปซื้อของพวกเครื่องประดับจากอังกฤษ มาขายออนไลน์ ที่มาเลเซีย จนเป็นที่นิยมทำให้เค้ามีชื่อเสียงและรายได้ จนกระทั่งแบรนด์ต้นสังกัดของสินค้าที่เค้ารับเอามาขายในมาเลเซีย ยินดีลงทุนเปิดshopให้เค้าเอาสินค้ามาขายและให้เค้าดูแล จนขยายไปทั่วมาเลเซีย
ปัจจุบันเค้าได้ซื้อบริษัทนี้ทั้งบริษัทเป็นของเค้าเอง และเปลี่ยนโฉมใหม่หมดให้ดูทันสมัยขึ้น
ประวัติของเค้าคราวๆ เค้าก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่งที่มีความตั้งใจ
แต่ความธรรมดาของเค้ากับความธรรมดาของผม
มันช่างแตกต่างกันเหลือเกิน
ปัจจุบันบอสผมเค้าได้พักแบบจริงจังแล้วครับ เค้าพึ่งมีทายาท ตัวน้อยๆอายุ 2 เดือนหน้าตา น่ารัก ตอนนี้เค้าเลยกลายเป็นพ่อลูกอ่อนไปแล้ว
จากแต่ก่อน ทำงาน7 วัน ปัจจุบันเค้าทำงานแค่2วัน อีก5 วันอยู่กับครอบครัว
ผมเห็นเค้าพักบ้าง ผมก็ดีใจครับ ฮ่าๆ
และออฟฟิศโลกแตกก็หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆทุกคนนะครับ
ปล. เส้นทางความสําเร็จของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราสามารถประสบความสำเร็จในรูปแบบของเราได้ ถ้าเรามีความตั้งใจที่มั่นคง
ขอบคุณครับ
30 บันทึก
97
25
35
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
บทความให้กำ
30
97
25
35
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย