7 ก.ย. 2020 เวลา 10:11 • ประวัติศาสตร์
#ศึกเจ้าอนุวงศ์ และการเทครัวชาวลาวล้านช้างสู่อาณาจักรสยาม
..... ถ้าจะกล่าวถึงสงครามเจ้าอนุวงศ์ ที่เกิดขึ้น ช่วงปี พ.ศ. 2369 – 2371 ในต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 หลายท่านคงทราบกันดีว่าเป็นสงครามปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์แห่งเมืองเวียงจันทน์ เป็นประวัติศาสตร์ตอนที่สำคัญมากทั้งในประวัติศาสตร์ไทย และในประวัติศาสตร์ลาว
..... ในบทเรียนของประวัติศาสตร์บอกว่า “เป็นสงครามปราบพวกกบฏ มีหัวหน้าก่อการกบฏคือเจ้าอนุวงศ์” ส่วนประวัติศาสตร์ลาวบอกว่า “เจ้าอนุวงศ์คือ มหาราชผู้ยิ่งใหญ่ที่ทรงทำการกอบกู้เอกราชจากสยาม ถึงแม้ทรงทำการไม่สำเร็จ แต่ชาวลาวยังยกย่องว่าเป็นวีระบุรุษ แฉกเช่นชาวไทยยกย่อง สมเด็จพระนเรศวร”
..... ศึกเจ้าอนุวงศ์ สะท้อนหลายสิ่งในสังคมไทย โดยถือเป็นศึกใหญ่ยิ่งกว่าสงครามเก้าทัพ ส่งผลต่อสยามมากกว่าสงครามครั้งใดๆ เนื่องจากหลังสงครามมีการกวาดต้อนประชากรจากเวียงจันทน์ และลาวฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง เอามาตั้งถิ่นฐานในภาคอีสาน และภาคกลาง ในสยาม จนเป็นเหตุให้ประชากรลาวเหลือน้อยมาจนทุกวันนี้ (ปัจจุบันประเทศลาวมีประชากร 5.7 ล้านคน ภาคอีสาน 21.7 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2546)
..... รูปแบบและ การจัดทัพในศึกเจ้าอนุวงศ์โดยสังเขป .....
..... สงครามในยุค 180 ปีก่อนของไทยต่างจากสงครามในสมัยปัจจุบัน ที่เราเห็นในข่าวโทรทัศน์เป็นอย่างมาก กล่าวคือ ในยุคนั้นสงครามมีเป้าหมายหลักอยู่ที่ การเก็บทรัพย์จับเชลยกลับมาไว้ที่เมืองหลวงของตน ส่วนการยึดครองพื้นที่เป็นเป้าหมายรอง หากมีกำลังมากก็ยึดครองพื้นที่ของศัตรูด้วย หากมีกำลังไม่มากพอ ก็ตั้งเจ้าพื้นเมืองปกครองในฐานะประเทศราช ซึ่งวิธีหลังนี้ไทยใช้กับล้านนา ล้านช้าง เขมร และหัวเมืองมลายู
..... สำหรับเจ้าอนุวงศ์เป้าหมายในการทำสงคราม คือ การปลดแอกจากการเป็นเมืองขึ้นของไทย สำหรับวิธีการปลดแอกที่เจ้าอนุวงศ์ทรงวางแผนเอาไว้คือ ระดมพลจากเมืองที่เวียงจันทน์บังคับบัญชามาไว้ที่เวียงจันทน์กับจำปาศักดิ์ เพื่อฝึกทหารให้พร้อมรบยิ่งขึ้น แล้วส่งขุนนางพร้อมทหารส่วนหนึ่งออกไปเกลี้ยกล่อมเมืองต่างๆ ในภาคอีสานให้เข้าร่วมกับฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ ส่วนการเข้าตีกรุงเทพฯ ถ้าตีได้ก็ตี ถ้าดูท่าทีกรุงเทพฯ มีการป้องกันที่เข้มแข็งก็ไม่ตี แต่จะกวาดต้อนประชากรตามหัวเมืองรายทางที่กองทัพลาวผ่านกลับเอามาไว้ที่เวียงจันทน์ และจำปาศักดิ์
..... แต่มีเจ้าเมือง กรมการเมืองส่วนหนึ่งไม่เห็นด้วยเพราะเป็นกบฎต่อสยาม และเกรงจะต้องเผชิญกับการตีโต้ของฝ่ายสยาม แต่เจ้าเมืองไม่มีกำลังจะต่อต้านกองกำลังของฝ่ายกู้ชาติ จึงต้องทำเป็นเออออเห็นด้วย กับฝ่ายกู้ชาติ
..... กองทัพฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ตอนแรก (ช่วง 6 เดือนจากเดือนตุลาคม พ.ศ. 2369 - มีนาคม พ.ศ. 2370 ) มีกำลังประมาณ 17,000-35,000 คน ช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม พ.ศ. 2370 มีกำลังประมาณ 40,000-50,000 คน
กองทัพลาวยกเข้ามา 2 สายหลัก คือ
- สายที่ 1 ยกจากเวียงจันทน์เข้ามาทาง 2 ทาง คือ หนองบัวลำภู กับสกลนคร จากหนองบัวลำภู ตรงมายึดเมืองโคราช ส่วนทางสกลนคร ยกมาทางกาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด ตามลำดับ
- สายที่ 2 ยกมาจากจำปาศักดิ์เข้ามาทางอุบลราชธานี แล้วแยกเป็น 2 ทาง ทางหนึ่งยกไปทางสุวรรณภูมิ อีกทางยกไปทางศรีสะเกษ ขุขันธ์ สังขะ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ประโคนชัย นางรอง การปะทะกันระหว่างกองกำลังของฝ่ายกู้ชาติเวียงจันทน์-จำปาศักดิ์ กับเมืองรายทางมีน้อยมาก ส่วนหนึ่งเพราะเห็นด้วยกับการกระทำของฝ่ายกู้ชาติ
..... กองทัพฝ่ายเวียงจันทน์-จำปาศักดิ์ กวาดต้อนประชากรจากพื้นที่เขตโคราช-ลุ่มน้ำชีตอนต้น 11 เมือง พื้นที่ลุ่มน้ำชีตอนกลางถึงตอนปลาย 7 เมือง พื้นที่ตอนใต้ 9 เมือง พื้นที่ลุ่มน้ำป่าสัก 8 เมือง รวม 35 เมือง เมืองที่ใกล้กรุงเทพฯ ที่สุด คือ เมืองสระบุรี เมืองศูนย์กลางการปกครองหลักของฝ่ายกรุงเทพฯ ในภาคอีสานและลาว คือ เมืองโคราช ก็ถูกยึดอยู่ 37 วัน ก็ถูกกวาดต้อนประชากรราว 18,000 คน หากรวมประชากรทั้ง 35 เมืองที่ถูกกองทัพฝ่ายเวียงจันทน์-จำปาศักดิ์ กวาด ต้อนไปรวมประมาณ 54,000 - 95,000 คน
.... การกบฏของเวียงจันทน์-จำปาศักดิ์ ครั้งนี้ “ประกาศการกู้ชาติ” ในต้นเดือนตุลาคม พ.ศ. 2369 ระดมพลและฝึกทหารราว 3 เดือน ระหว่างกลางเดือนตุลาคม-กลางเดือนมกราคม พ.ศ. 2370) แล้วจึงเคลื่อนกำลัง มายึดเมืองนครราชสีมา ในวันที่ 17-22 กุมภาพันธ์ 2370
..... ทางฝ่ายกรุงเทพฯ จึงทราบข่าวกบฏ หลังจากที่ฝ่ายกบฏได้ดำเนินการไปแล้วเกือบ 5 เดือน โดยวันที่กรุงเทพฯ ทราบข่าว กบฏยกกำลังมาถึงเมืองสระบุรี ซึ่งห่างจากกรุงเทพฯ เพียง 110 กิโลเมตร และใช้เวลาเดินทัพเพียง 3-4 วัน แสดงให้เห็นว่าการข่าวทางกรุงเทพฯ ล้าหลังมาก แต่โชคดีของฝ่ายสยาม ที่กองทัพฝ่ายกบฏมิได้บุกกรุงเทพฯ แต่ตัดสินใจยกทัพกลับพร้อม กับเก็บทรัพย์จับเชลยกลับเวียงจันทน์ และจำปาศักดิ์
..... พระบาทสมสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ (รัชกาลที่ 3) ถือว่ากบฏครั้งนี้ใหญ่หลวงมาก ทรงมีพระบรมราชบัญชา ให้ออกคำสั่งเกณฑ์กำลังจากหัวเมืองทั้งภาคกลาง ภาคเหนือ ขึ้นไปจนถึงหลวงพระบาง แม้กระทั่งภาคใต้ เกณฑ์ไปถึงเมืองนครศรีธรรมราช โดยกรมพระราชวังบวรมหาศักดิ์พลเสพ เป็นแม่ทัพใหญ่ยกทัพหลวงขึ้นมาปราบเจ้าอนุวงศ์ สงครามครั้งนั้นถือเป็นสงครามครั้งใหญ่ที่สยามให้ความสำคัญมาก
..... แต่อย่างไรก็ตามกำลังหลักที่ได้ใช้ในการรบจริงๆ เป็นกำลังจากภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง (พิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ กำแพงเพชร สุโขทัย พิชัย ตาก เชียงทอง) ส่วนกำลังพลจากฝ่ายใต้ เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชมีใบบอกถึงกรุงเทพฯ ว่า กองเรืออังกฤษ 5 ลำมาจอดที่ปีนัง ไม่ทราบว่าจะมุ่งไปทางใด เขาจึงไม่อาจนำทัพมาช่วยกรุงเทพฯ ด้วยตนเอง แต่ให้พระยาพัทลุงบุตรชายคนโตนำทัพ 5,000 คน มาช่วยกรุงเทพฯ
..... กองทัพสยาม จัดทัพเข้าสู่ภาคอีสาน ทั้งหมด 5 เส้นทาง
- ทัพที่ 1 เข้าอีสานใต้ ทางปราจีนบุรี ผ่านช่องตะโก บุรีรัมย์ ตีค่ายมูลเค็งที่พิมาย สุวรรณภูมิ ยโสธร อุบลราชธานี จำปาศักดิ์ และจากจำปาศักดิ์ ตีขึ้นไปตามแม่น้ำโขงผ่านเขมราฐ มุกดาหาร นครพนม สกลนคร ทัพนี้มีบทบาทเด่นที่สุด แม่ทัพคือ พระยาราชสุภาวดี หรือเจ้าพระยาบดินทร์เดชา (สิงห์ สิงหเสนี)
- ทัพที่ 2 ทัพหลวง ของกรมพระราชวังบวรมหาศักดิ์พลเสพ ยกเข้ามาทาง สระบุรี ผ่านดงพญาไฟ โคราช จตุรัส ช่องสามหมอ ภูเวียง มุ่งเข้าตีหนองบัวลำภู
- ทัพที่ 3 ผ่านสระบุรี ขึ้นไปทางดงพญากลาง เขาพังเงย ผ่านด่านขุนทด แล้วไปบรรจบเส้นทางเดียวกับทัพที่ 2
- ทัพที่ 4 นำโดยเจ้าพระยาอภัยภูธร ผ่านสระบุรี ไปตามแม่น้ำป่าสัก เข้าตีเพชรบูรณ์ หล่มสัก
- ทัพที่ 5 ทัพจากหัวเมืองเหนือ นำโดยพระยาเพชรพิไชย และพระยาไกรโกษา เข้าตีหล่มสัก แล้วแบ่งส่วนหนึ่งยกขึ้นไปทางด่านซ้าย เมืองเลย มีเป้าหมายที่เวียงจันทน์ อีกส่วนหนึ่งจากหล่มสัก เข้าตีเมืองหนองบัวลำภู
.... วิธีการจัดกระบวนทัพของสยามในขณะนั้น เป็นระเบียบรัดกุมมากกว่า ของฝ่ายเวียงจันทน์-จำปาศักดิ์ สมเด็จฯกรมพระราชวังบวรฯ เมื่อทรงจัดกระบวนทัพที่สระบุรีเสร็จแล้ว ก็เสด็จพระราชดำเนินทัพไปเมืองนครราชสีมา เพื่อทำการตีโต้กลับฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ ซึ่งเป็นแสนยานุภาพที่น่าเกรงขามยิ่งนัก
กองกำลังหลักของฝ่ายเวียงจันทน์-จำปาศักดิ์ มี 5 แห่ง ตั้งรับอยู่ที่ค่ายมูลเค็ง ยโสธร หล่มสัก หนองบัวลำภู และเวียงจันทน์ การรบที่ดุเดือดที่สุด คือการรบ ที่หนองบัวลำภู บริเวณค่ายช่องข้าวสาร
..... การสู้รบของสองฝ่าย .....
..... กองทัพสยาม ตีโต้กองทัพฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ อย่างรวดเร็ว กองทัพสยามกองแรกเคลื่อนทัพในวันที่ 3 มีนาคม 2370 และยึดเวียงจันทน์ได้ในวัน 13 พฤษภาคม 2370 ใช้เวลาไม่ถึง 3 เดือน โดยในปลายเดือนเมษายน ก็ยึดนครราชสีมาไว้ได้ เนื่องจากฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ถอนทัพหนีไปก่อนแล้ว จากนั้นแม่ทัพหน้าคือพระราชสุภาวดี ก็กวาดล้างกองกำลังของฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ ในลุ่มแม่น้ำมูล ชี หมดในเวลาอันรวดเร็ว หลังจากตีค่ายมูลเค็งที่พิมายได้ ก็เดินข้ามทุ่งกุลาร้องไห้ไปตีค่ายเวียงคุกที่ยโสธรแตก จากนั้นก็เคลื่อนทัพสู่ลุ่มน้ำมูลตอนล่าง ช่วงเวลาดังกล่าวชาวเมืองอุบลพากันแข็งเมืองต่อเจ้านครจำปาศักดิ์ (เจ้าราชบุตรโย้) ... เจ้าราชบุตรโย้ ซึ่งเป็นแม่ทัพของเจ้าอนุวงศ์ กับไพร่พลจึงหนีไปเมืองจำปาศักดิ์ กองทัพสยามเมื่อตีเมืองในลุ่มแม่น้ำมูล และชี กับลุ่มแม่น้ำโขงส่วนนี้ได้ แล้วก็ยกกำลังไปตั้งค่ายที่มุกดาหาร และนครพนม
..... ทัพหลวงของกรมพระราชวังบวรมหาศักดิ์พลเสพ ยกทัพจากเมืองนครราชสีมา เข้าตีเมืองสี่มุม(จัตุรัส) เมืองภูเวียง แล้วยกกำลังไปตั้งค่ายทัพหลวงที่บ้านส้มป่อย หนองบัวลำภู จากนั้นเป็นทัพหนุนเข้าตีฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ ที่ค่ายช่องข้าวสาร
..... สำหรับกองทัพไทยฝ่ายเหนือ 2 กองทัพ ก็ตีเมืองหล่มสักได้ ฝ่ายเจ้าอนุวงศ์เหลือแต่กองทัพหลักที่ตั้งอยู่ตอนใต้ของเวียงจันทน์ กองทัพสยาม 5 กอง กำลัง 8,400 คน เข้าตีค่ายหนองบัวลำภูซึ่งมีพระนรินทร์เป็นแม่ทัพ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2370 และตีค่ายหนองบัวลำภูแตกในวันที่ 4 พฤษภาคม 2370 แล้วยกกำลังไปตั้งค่ายที่บ้านส้มป่อย ที่ห่างจากค่ายช่องข้าวสาร ค่ายที่สำคัญที่สุดของฝ่ายเจ้าอนุวงศ์เพียง 10 กิโลเมตร ...
..... (ช่องข้าวสาร คือช่องเขาเส้นทางโบราณ เป็นเขตรอยต่อระหว่าง อ.สุวรรณคูหา จ.หนองบัวลำภู และ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี ในปัจจุบัน ที่ช่องเขาของแนวเทือกเขาภูพานคำ ที่ทอดยาวต่อเนื่องจากบริเวณเขื่อนลำตะคอง จนถึงแม่น้ำโขงบริเวณวัดผาตากเสื้อ ใน จ.หนองคาย) .....
..... กองทัพฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ได้ผนึกกำลังเป็น 3 ทัพ ประมาณ 20,000 คน ล้อมค่ายส้มป่อยอยู่ 7 วัน ฝ่ายสยามขาดเสบียงทัพใกล้จะแตกอยู่แล้ว กองทัพหนุนของสยามเข้าไปช่วยได้ทัน ทัพหนุนสยาม จากพระองค์เจ้าขุนเณรที่รบแบบกองโจร ตีขนาบทัพลาวจากด้านนอก ขณะที่ทหารค่ายส้มป่อยตีออกมาจากด้านใน ค่ายช่องข้าวสารของทัพลาวแตกยับเยินในวันที่ 13 พฤษภาคม 2370
ฝ่ายเจ้าอนุวงศ์เมื่อทราบว่าค่ายหนองบัวลำภูแตก ก็ออกจากค่ายช่องข้าวสาร และบอกทหารว่าจะไปตั้งรับที่เวียงจันทน์ แต่ความจริงได้พาครอบครัวหนีไปพึ่งญวน ต่อมากองทัพลาวเวียงจันทน์ที่ค่ายช่องข้าวสาร ก็แตกหนีทิ้งค่ายไปเวียงจันทน์หมด
ฝ่ายเจ้าอนุวงศ์ต่อต้านอย่างเหนียวแน่นในการรบวันที่ 3-4 พฤษภาคม และ 10-12 พฤษภาคม พ.ศ. 2370 ในที่สุดฝ่ายไทยก็ตีแตกทุกแห่ง แล้วกองทัพสยามยึดเมืองเวียงจันทน์ได้ในวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2370
..... ส่วนพระยาราชสุภาวดี(เจ้าพระยาบดินทรเดชา) เป็นแม่ทัพยกไปตีเมืองจำปาสัก จับตัวเจ้าราชบุตรโย้ได้ ก็ส่งตัวลงไปกรุงเทพฯ จากนั้นจึงเดินทัพไปสมทบกับทัพหลวงของกรมพระราชวังบวรฯ เข้าตีเวียงจันทน์ เจ้าอนุวงศ์เห็นทีว่าจะต้านทัพสยามไม่อยู่จึงรวบรวมพระราชวงศ์ทั้งหลาย เพื่อไปลี้ภัยที่เมืองญวณ
..... ทัพของสยามเข้าเมืองเวียงจันทน์ได้ เข้าไปกวาดเอาทรัพย์สินมีค่า และพระพุทธรูปสำคัญหลายองค์กลับไปยังสยาม และกวาดต้อนเชลยชาวเวียงจันทน์จำนวนมากลงไปยังสยาม ทัพหลวงของกรมพระราชวังบวรฯ ได้เลิกทัพกลับ และให้ทัพของพระยาราชสุภาวดี จัดการเรื่องต่อไปเองทั้งหมด
..... เมื่อยกทัพกลับไปถึงกรุงเทพฯ รัชกาลที่ 3 ทรงพระพิโรษมาก เหตุที่จับตัวเจ้าอนุวงศ์ไม่ได้ ดังนั้นในปี พ.ศ.2371 จึงมีพระราชบัญชาให้ทัพพระยาราชสุภาวดี ยกทัพไปเมืองเวียงจันทน์เพื่อทำลายสิ้นซาก ครั้งนั้นพระยาราชสุภาวดีตั้งค่ายที่หนองบัวลำภู ให้พระยาพิไชยสงครามนำกำลังพลไปตั้งพัก ณ วัดกลางเวียงจันทน์
..... เจ้าอนุวงศ์ซึ่งเสด็จลี้ภัยการเมืองอยู่ในเมืองญวน 1 ปี 78 วัน ก็เสด็จกลับเข้าเมืองเวียงจันทน์อีก พร้อมกับคณะทูตญวน ซึ่งเดินทางเข้ามาเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้เจ้าอนุวงศ์ แต่พอกลับมาเห็นเวียงจันทน์ในสภาพพังพินาศ ก็ทำให้เกิดความเคียดแค้น เจ้าอนุวงศ์จึงนำกำลังเข้าตี และฆ่าทหารสยามตายแทบสิ้น พร้อมทั้งพระยาพิไชยสงคราม
ส่วนที่เหลือนำข่าวไปแจ้งพระยาราชสุภาวดี โดยทางเจ้าพระยาราชสุภาวดีได้รวบรวมกำลังทหารแถวเมืองเสลภูมิ ยโสธร ยกกลับมาตีโต้ กองกำลังของฝ่ายลาวซึ่งนำโดยเจ้าราชวงศ์ ที่บ้านบกหวาน ใต้เมืองหนองคายลงมาเล็กน้อย สู้กันจนแม่ทัพทั้งสองบาดเจ็บ แต่ในสุดกองทัพเจ้าอนุวงศ์ก็แตก ทัพสยามเข้ายึดเวียงจันทน์ได้เป็นครั้งที่ 2 ในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2371
.... เจ้าอนุวงศ์หนีอีกครั้งไปซ่อนตัวแถบเมืองพวน แต่ถูกกองทัพหัวเมืองเหนือคือ ทัพเมืองลับแล(อุตรดิตถ์) ทัพน่าน จับตัวได้ที่น้ำฮ้ายเชิงเขาไก่ แล้วส่งตัวให้สยาม (บางตำราว่าเจ้าน้อยเมืองพวนจับตัวเจ้าอนุวงศ์ส่งให้สยาม ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด)
เจ้าอนุวงศ์พร้อมพระเหสีและพระราชวงศ์ ราว 11 พระองค์ถูกจับขังใส่กรงแล้วนำมาทรมานหน้าพระที่นั่งสุทไธสววรค์ ให้ประชาชนที่เกลียดชังด่าทอ ถุยน้ำลายใส่ อยู่ได้ประมาณ 7 วันก็สิ้นพระชนม์ รัชกาลที่ 3 ให้นำศพไปเสียบประจานที่สำเหร่
..... หลังจากศึกครั้งนั้นเวียงจันทน์ถูกเผาวอด ทั้งบ้านเรือน วัดวาอารามถูกเผาสิ้น เหลืออยู่เพียงวัดเดียวคือวัดสีสะเกดที่ไม่ถูกเผาสันนิษฐานว่าน่าจะใช้เป็นที่พำนักของแม่ทัพสยาม เหตุการณ์ครั้งนั้นชาวเวียงจันทน์และเมืองอื่นๆถูกกวาดต้อนมาสยามจำนวนมาก และถือเป็นการกวาดต้อนคนลาวที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ เพื่อไม่ให้เวียงจันทน์ฟื้นกลับมาเป็นเมืองอีกครั้ง รวมทั้งเมืองที่เคยร่วมกับเจ้าอนุวงศ์ก็ถูกเก็บส่วยอย่างหนัก บางเมืองถูกกวาดต้อนผู้คนลงมายังสยามด้วยเช่น เมืองนครพนม เมืองสกลนคร
.... ชาวลาวที่ถูกกวาดต้อนมาครั้งนี้เป็นชาวลาวเวียงจันทน์มากที่สุด ให้ไปอยู่แถบสระบุรี ศรีษะเกษ สุรินทร์ ราชบุรี นครนายก ลพบุรี ชัยนาท กำแพงเพชร เป็นต้น บางพวกอพยพต่อไปแถบนครสวรรค์ อุทัยธานี สุโขทัย หรือขึ้นไปทางภาคเหนือก็มี
..... ส่วนฝั่งขวาแม่น้ำโขงมีการกวาดต้อนคนเมืองนครพนม ให้ไปอยู่พนัสนิคม พนมสารคาม คนจากสกลนครไปอยู่กบินทร์บุรี ประจันตคาม เนื่องจากเมืองเหล่านี้ภักดีกับเวียงจันทน์และอยู่ใกล้เวียงจันทน์
..... นอกจากนี้ยังมีการอพยพคนลาวล้านช้างลงมาอีกหลายระลอกทั้งจากหลวงพระบาง ปากลาย แก่นท้าว รวมทั้งไทดำ ไทพวน อีกจำนวนหนึ่ง แต่การอพยพครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งคือในปีพ.ศ.๒๓๘๗ อพยพผู้ไทจากเมืองวัง เมืองเซโปน เมืองนอง เมืองกะปอง เมืองคำอ้อคำเขียว ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในแขวงสะหวันนะเขตในปัจจุบัน เข้ามายัง เรณูนคร พรรณนานิคม กุฉินารายณ์ เสนานิคม ภูแล่นช้าง(หนองสูง) คำเขื่อนแก้ว จำปาชนบท วาริชภูมิ เป็นต้น ซึ่งเป็นหัวเมืองในภาคอีสาน
..... ขณะนั้นสยามได้เข้าไปปกครองดินแดนเดิมของอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์และจำปาสักบางส่วนไว้ทั้งหมด และพยายามกวาดต้อนผู้คนจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงมายังฝั่งขวาแม่น้ำโขง เพื่อมิให้อำนาจทางล้านช้างได้ฟื้นตัวขึ้นอีก จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ ร.ศ.112 แผ่นดินล้านช้างจึงถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน โดยใช้แม่น้ำโขงเป็นเส้นกั้นเขตแดน ฝั่งซ้ายเป็นของฝรั่งเศส ส่วนฝั่งขวาเป็นของสยาม คนลาวล้านช้างจึงถูกแบ่งแยกออกเป็นสองประเทศในปัจจุบันทั้งที่เป็นคนเชื้อชาติเดียวกัน:-)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา