13 ก.ย. 2020 เวลา 14:30 • หุ้น & เศรษฐกิจ
📉 มีใครสงสัยกันบ้างไหมครับ ว่าทำไมหุ้นเทคในสหรัฐถึงผันผวนหนักมากในอาทิตย์ที่ผ่านมา ทั้งๆที่ไม่ได้มีข่าวอะไรใหญ่โตในตลาดเลย ?
2
ถ้ายอมอ่านบทความนี้จนจบ คุณจะได้คำตอบแน่ๆครับ 😊
2
📌 ดัชนีหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐ Nasdaq ผันผวนหนักมาตลอดอาทิตย์
1
ดัชนี Nasdaq เพิ่งปิดลบไปเป็นวันที่ 5 ใน 6 วันทำการล่าสุด โดยรวมแล้ว Nasdaq โดนเทขายไป -10% ในอาทิตย์ที่ผ่านมา เป็นการเทขายหนักที่สุดตั้งแต่รอบเดือนมีนาคมที่ผ่านมาหลังไวรัสโควิดระบาดหนัก
1
ดัชนี Nasdaq โดนเทขายลงมาจากระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ 12,074 จุดเมื่อวันพุธที่ 2 กันยายน ลงมาปิดที่ 10,854 จุดหรือโดนขายไปกว่า -10% ในเวลาสั้นๆ #แต่นั้นไม่ใช่จุดที่น่าสนใจในตลาดอย่างเดียว เพราะความผันผวนระหว่างวันของ Nasdaq นั้นสูงมาก บางวันเปิด -2% แต่ก็ตีกลับเป็น +2% ก่อนจะกลับไปปิดลบที่ -3% (ลองดูจากกราฟแท่งเทียนที่เราแนบไว้ในคอมเม้นท์ได้ครับ)
📌 วันนี้อยากชวนทุกท่านมาคุยกันถึง #หนึ่งในเหตุผลสำคัฐที่ทำให้ตลาดหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐนั้นผันผวนสูง
1
นอกจากการที่ราคาขึ้นไปสูงมากทำให้โดนเทขายหนักแล้ว อีกเหตุผลที่ทาง Trader ในตลาดกำลังคุยกันก็คือปริมาณการซื้อขาย Options ในตลาดที่เพิ่มสูงขึ้นมากเรื่อยๆ จำนวน Open Interest (สัญญาที่เปิดอยู่) นั้นแทบจะสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ! ทำให้เกิดปรากฏการณ์ในตลาดที่เรียกว่า "Negative Gamma Effect" หรือการที่ Trader ต้องเข้ามาซื้อและขายหุ้นกลับไปกลับมาจำนวนมากเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการขาย Options
ทุกท่านที่ติดตามเพจเราอย่างใกล้ชิดคงได้อ่านข่าวใหญ่เรื่องนึงไปแล้วคือการที่ Softbank บริษัทที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ของญี่ปุ่นได้เข้าซื้อ Call Options ในตลาดเป็นปริมาณมหาศาลจนสามารถขยับราคาตลาดขึ้นไปได้ (หากยังไม่ได้อ่านเราแนบไว้ให้ในคอมเม้นท์แล้วนะครับ)
แต่ทาง Softbank ยังไม่ใช่ผู้เดียวที่ทำให้ปริมาณ Open Interest ในตลาด Options นั้นพุ่งกระฉูด แต่นักลงทุนอื่นๆในตลาดก็หันเข้ามาซื้อ Options บนตลาดหุ้น Tech กันเยอะมากๆ เพราะราคาก่อนหน้านี้ได้ทยอยไต่สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยบุคคลที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในการเปลี่ยนแผนการลงทุนมาเป็นเช่นนี้คงหนีไม่พ้น Michael Burry หรือนักลงทุนที่โด่งดังในเรื่อง "The Big Short" นั้นเอง ที่ครั้งนี้ได้ขายหุ้นออกไปกว่า 75% ของพอร์ตทั้งหมดและหันมาซื้อ Call Options แทน
2
ซึ่งการที่นักลงทุนชื่อดังต่างเปลี่ยนมาใช้ Strategy ในการลงทุนดังนี้นั้นมีนัยสำคัญอย่างยิ่ง ไว้เราจะมาเขียนอธิบายแยกอีกบทความนะครับ วันนี้ขอมาอธิบายถึง #NegativeGammaEffect ก่อน
📌 Negative Gamma Effect คืออะไร
จริงๆทางเพจเคยเขียนอธิบายไปเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายนปี 2018 ไปแล้วนะครับ ในสมัยที่ยังมีผู้ติดตามเพจอยู่ประมาณ 2,000 คน 🤣
วันนี้จะลองมาอธิบายกันอีกครั้งว่า
"เมื่อมีคนเข้าซื้อ Options ในตลาดเยอะ แล้วใครเป็นคนขาย ?"
แน่นอนว่าทุกๆการซื้อต้องมีการขาย และคนที่ขาย Call Options ต่างๆเหล่านี้คือ Trader ที่มีความสามารถในการบริหารพอร์ต Options นั้นเองครับ
แต่จุดประสงค์ของนักลงทุนและ Trader นั้นต่างกัน
1️⃣ #นักลงทุน - ซื้อ Call Options เพราะเชื่อว่าราคาหุ้นจะดีดสูงขึ้น และส่วนมากจะไม่ทำการบริหารความเสี่ยงอย่างไรต่อไป รอแค่ให้ราคาไปตามทิศทางที่มองไว้ก่อนที่จะขาย Call Options นั้นออกไป
2
2️⃣ #Traders - ขาย Call Options ไม่ใช่เพราะมองว่าราคาหุ้นจะลง แต่เพราะมองว่าราคาของ Call Options ที่นักลงทุนพร้อมจ่ายนั้นสูงกว่าความผันผวนของตลาดจริงๆ ทาง Traders จึงเห็นว่าอาจทำกำไรได้จากการขาย Options ให้ แต่ทาง Traders ในเมื่อไม่ได้มีมุมมองตลาดจึงต้องเข้าบริหารความเสี่ยงของ Options นี้
2
📌 ผู้ที่ขาย Options นั้น มีความจำเป็นต้องทำการ Delta และ Gamma Hedge
ความเสี่ยงของ Options นั้นจะวัดได้หลายมิติ และศัพท์ทางการจะใช้เรียกด้วยตัวอักษรกรีก
1
1️⃣ Delta - การเปลี่ยนแปลงไปของโอกาสในการ Strike ของ Options
2️⃣ Gamma - การเปลี่ยนแปลงไปของ Delta อีกที
การที่ Traders ขาย Options ออกไปนั้นแปลว่าพวกเขาจะมีความเสี่ยง Gamma เป็นลบหรือ Negative Gamma และทุกครั้งที่ราคาของหุ้นขยับเปลี่ยนแปลงไปพวกเขาจะต้องเข้ามาซื้อหรือขายหุ้นเพื่อปิดความเสี่ยงเหล่านั้น
1
📌 #ยกตัวอย่างเช่น
#KP ขาย Call Options หุ้น #Tesla ออกไปที่ราคา Strike ที่ 400 เหรียญ เพื่อที่จะเก็บเงิน Premium เบื้องต้นที่ 30 เหรียญไว้ในกระเป๋าก่อน
แปลว่าความเสี่ยงของ KP ในครั้งนี้คือการที่ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น เพราะถ้าราคาเกิน Strike ขึ้นไปทาง KP จะโดนเรียกเก็บเงินจากสิทธิ Call Options ที่ KP ขาย และการที่ราคาหุ้นกำลังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆแปลว่าโอกาสในการเข้า Strike ของ Options นั้นกำลังสูงขึ้น (Delta กำลังสูงขึ้น)
1
ยิ่งราคาขยับใกล้ราคา Strike มากขึ้นเท่าไหร่ = Delta ก็จะยิ่งสูงขึ้นด้วยอัตราที่เร็วขึ้นเท่านั้น (แปลว่า Gamma กำลังสูงขึ้น)
ด้วยการที่ Gamma กำลังสูงขึ้น ความเสี่ยงของ KP ที่ขาย Options ออกไปนั้นยิ่งมีมากขึ้น ! ทำให้เขาต้องรีบเข้าซื้อหุ้น Tesla เข้าปิดความเสี่ยง เพื่อที่ถ้าราคาหุ้นยังเพิ่มสูงขึ้นต่อไปเรื่อยๆ เขาจะได้เอากำไรจากหุ้น Tesla ที่ซื้อไปเหล่านี้ ไปชดเชยการขาดทุนจาก Options ได้ (การทำ Delta Hedge)
1
#จะเห็นได้ว่าปริมาณการซื้อหุ้นของเทรดเดอร์เหล่านี้ในตลาด เป็นเหตุทำให้ราคาหุ้นเทคในตลาดอย่าง Nasdaq นั้นสูงขึ้นเรื่อยๆไปด้วย ! เพราะเทรดเดอร์ต่างทยอยซื้อหุ้นเพื่อปิดความเสี่ยง Options
📌 อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าสนใจไม่ใช่แค่ขาขึ้น #แต่หากเมื่อราคาหุ้นลงต่างหาก
หลังจากที่เทรดเดอร์ได้ซื้อหุ้นเข้าไปเป็นจำนวนมากแล้ว ความเสี่ยงของเทรดเดอร์จะกลายเป็นการที่ราคาปรับตัวลดลง เพราะคราวนี้ทาง Delta หรือโอกาสในการ Strike ที่ลดลง ทำให้เทรดเดอร์ต้องรีบขายหุ้นเหล่านี้ออก #และนี่ก็เป็นเหตุผลสำคัญที่เราจึงเห็นหุ้นเทคโดนเทขายกระหน่ำในอาทิตย์ที่ผ่านมา
การที่เรามีผู้ซื้อ Options ในตลาดเยอะ ทำให้เรามีเทรดเดอร์ขาย Options ในตลาดเยอะเช่นกัน และทุกๆครั้งที่ราคาหุ้นขยับแรงๆ #แรงซื้อและขายของเทรดเดอร์เหล่านี้จะทวีคูณขึ้น จนทำให้เราเห็นความผันผวนที่สูงอย่างมากในอาทิตย์ที่ผ่านมา ทั้งๆที่ไม่ได้มีข่าวอะไรใหญ่โตในตลาดเลย
การซื้อขายไปกลับของ Trader เหล่านี้นี่แหละคือ Negative Gamma Effect ของตลาด
📌 ถ้า Traders ซื้อหุ้นตอนขาขึ้นแล้วมาขายตอนขาลง Traders ก็ขาดทุนสิ ?
ใช่ครับ ทุกๆครั้งที่ทาง Trader ทำการซื้อแพงแต่ยอมขายตอนถูกๆนั้น ทาง Traders กำลังขาดทุน แต่มีความจำเป็นต้องทำเพื่อปิดความเสี่ยง และในตัวอย่างที่ยกไป ถ้าทาง KP สามารถซื้อและขายเข้าออกโดยขาดทุนไม่เกิน 30 เหรียญ ทาง KP ก็จะยังมีกำไรอยู่ เพราะได้รับเงิน 30 เหรียญมาตั้งแต่การขาย Options แต่แรกแล้ว
ทาง Traders ที่ขาย Options จึงไม่อยากให้ตลาดผันผวน จะได้ไม่ขาดทุนจากการซื้อขายปิดความเสี่ยง Delta มากเกินไป
📌 แล้วเมื่อไหร่ความผันผวนเหล่านี้จะจบลง ?
1
จะเห็นได้ว่าถ้าราคาหุ้นเป็นขาขึ้นไปเรื่อยๆ ทาง Traders ก็จะไม่มีความจำเป็นในการออกมาขายหุ้นเพื่อปิดความเสี่ยง Delta หรือหุ้นที่ซื้อไว้ ทำให้ตลาดไม่มีความผันผวน แต่เมื่อไรที่ตลาดขยับลง... เมื่อนั้นก็จำเป็นต้องขายและความผันผวนจะบังเกิดและถูกขยายขึ้นจากแรงขายเหล่านี้
เราคงต้องรอจนกว่า Open Interest ของสัญญาเหล่านี้จะหมดอายุลง แต่ตราบใดที่ทาง SoftBanks , Michael Burry และนักลงทุนอื่นๆยังซื้อ Call Options อยู่สัญญาก็อาจจะต่ออายุไปได้เรื่อยๆ
#อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่ทางเพจได้คุยกับเทรดเดอร์ทั้งหลายแล้ว เชื่อว่าเหล้านักลงทุนได้เลืกซื้อสัญญา Options สิ้นสุดแค่เดือนพฤศจิกายนเท่านั้นครับ เพราะเรารู้กันดีว่าเดือนนั้นจะเกิดอะไรขึ้น..... #การเลือกตั้งของประธานาธิบดีสหรัฐ นั้นเอง !
📌 การที่นักลงทุนอย่าง Michael Burry ขายหุ้นถึง 75% ของพอร์ตและเปลี่ยนมาเป็นการซื้อ Options แทนนั้น ชี้ให้เห็นถึงมุมมองตลาดของเขาอย่างอย่างชัดเจนมากครับ
ท่านใดสนใจอยากรู้ว่า Michael Burry มีมุมมองตลาดเช่นไร ลองบอกมาได้เลยครับ ทางเพจจะได้เขียนแชร์แยกอีกบทความ
🔎 อยากถามความเห็นทุกท่านว่าบทความแนวนี้มีประโยชน์หรือไม่ครับ ?
เพราะเขียนหลายรอบแล้วดูเหมือนทุกคนจะชอบการอัพเดทข่าวสารที่ทันตลาดมากกว่า ทางเราจึงหยุดเขียนไปเพราะบทความเหล่านี้ใช้เวลานานทีเดียวที่จะอธิบายออกมา
🙏 ยังไงถ้าชอบก็ฝากกด Like รัวๆ หรือคอมเม้นท์เข้ามากันได้เลยครับ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามเพจของเรานะครับ 😊
#ทันโลกกับTraderKP
โฆษณา