16 ก.ย. 2020 เวลา 03:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ดอกเบี้ยต่ำ…ทำอย่างไรให้เงินพอใช้?
ในยุคที่ดอกเบี้ยเงินฝากลดต่ำลงมาก หลายคนคงมีคำถามว่า ลงทุนอะไรให้เงินลงทุนงอกเงย วันนี้ อยากชวนมารู้จัก “ตราสารหนี้” ทางเลือกการลงทุนที่มีเงินต้น มีดอกเบี้ย คล้าย ๆ กับการฝากเงิน
3
ตราสารหนี้มีให้เลือกหลากหลาย ให้ผลตอบแทนที่ต่างกัน ตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจจะเรียกว่า “พันธบัตร” แต่ถ้าออกโดยบริษัทเอกชน เรียกว่า “หุ้นกู้” ซึ่งแม้จะมีคำว่า “หุ้น” แต่คนที่ซื้อหุ้นกู้มีฐานะเป็นเจ้าหนี้ (ไม่ใช่เจ้าของ)
ถ้าต้องการลงทุนที่จะได้รับคืนเงินต้นแน่นอน พันธบัตรภาครัฐเป็นทางเลือกหนึ่ง แต่ผลตอบแทนจะไม่สูงนัก แต่หากต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้น การลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทเอกชนเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ซึ่งผลตอบแทนจะมากน้อยต่างกันไป หุ้นกู้ที่มีความเสี่ยงสูง มักจะให้ดอกเบี้ยสูงเพื่อจูงใจให้คนลงทุน ตามหลักการ High Risk, High Expected Return
ตราสารหนี้มีการเปิดเผยข้อมูลที่ให้ผู้ลงทุนใช้ตัดสินใจได้
ผู้ลงทุนในตราสารหนี้จะมีข้อมูลที่ผู้ออกตราสารเปิดเผยตามที่ ก.ล.ต. กำหนด เพื่อให้ผู้ลงทุนประเมินความเสี่ยงในการลงทุนได้ ซึ่ง 5 ข้อ ควรรู้ก่อนก่อนลงทุน คือ
1. รู้จักผู้ออกหุ้นกู้ : เราจะให้ใครยืมเงิน ควรรู้จักให้ดีว่าทำธุรกิจอะไร มีฐานะอย่างไร อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีโอกาสประสบความสำเร็จมากหรือไม่
2. รู้จักลักษณะหุ้นกู้ : เป็นหุ้นกู้ประเภทไหน หุ้นกู้มีประกันหรือไม่มีประกัน ด้อยสิทธิหรือไม่ เพราะเกี่ยวข้องกับลำดับที่จะได้รับเงินคืนเมื่อบริษัทเลิกกิจการ จ่ายดอกเบี้ยอย่างไรเหมาะกับความต้องการเราไหม เช่น แบบจ่ายตามระยะเวลาที่กำหนดเป็นงวด ๆ แบบสะสมดอกเบี้ยไว้จ่ายครั้งเดียวพร้อมคืนเงินต้น หรือแบบทยอยคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยระหว่างทาง หรือมีเงื่อนไขพิเศษหรือไม่ เช่น ผู้กู้สามารถไถ่ถอนก่อนกำหนดได้
3. รู้ความเสี่ยงของหุ้นกู้ : ความเสี่ยงหลัก ๆ คือ ความเสี่ยงในการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ย ซึ่งดูได้จากอันดับความน่าเชื่อถือ หรือ credit rating แบ่งเป็น (1) กลุ่มหุ้นกู้ระดับลงทุนได้ (investment grade) หรือน่าลงทุน มีความน่าเชื่อถือสูงสุดและมีความเสี่ยงต่ำสุด กับ (2) กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง (non-investment grade) เป็นกลุ่มหุ้นกู้ที่มีโอกาสผิดนัดชำระหนี้สูง จึงมักให้ผลตอบแทนสูงจูงใจผู้ลงทุน นอกจากนี้ ยังมีความเสี่ยงด้านสภาพคล่องในการเปลี่ยนมือ ที่ผู้ลงทุนอาจขายไม่ได้ราคาตามที่ตั้งใจ ถ้าหุ้นกู้ไม่มีสภาพคล่อง
4. รู้อายุของหุ้นกู้ ควรเลือกหุ้นกู้ที่มีอายุสอดคล้องกับกำหนดการใช้เงินของเรา เช่น หากจะลงทุนในหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์ บริษัทไม่จ่ายคืนเงินต้นเลย เราจะได้รับแค่ดอกเบี้ย ส่วนเงินต้นที่ลงทุนในหุ้นกู้ประเภทนี้จะไม่ได้รับคืน สามารถส่งต่อเป็นมรดกให้ลูกหลานได้
5. รู้ว่าหุ้นกู้มีความเสี่ยงอะไรบ้าง แล้วจึงประเมินว่าคุ้มค่ากับผลตอบแทนที่จะได้รับหรือไม่ หุ้นกู้ที่ให้ผลตอบแทนที่สูง มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูง จึงอย่ามองแต่ผลตอบแทนเพียงอย่างเดียว
3
แอปพลิเคชัน “SEC Bond Check” จะช่วยให้ผู้ลงทุนค้นหาข้อมูลตราสารหนี้ครบถ้วนในแหล่งเดียว ทั้งวันจองซื้อ อายุ อัตราดอกเบี้ย บริษัทผู้ออก และยังสามารถเลือกช่วงของดอกเบี้ย อายุคงเหลือ อันดับความน่าเชื่อถือ และระดับความเสี่ยงของตราสารหนี้ที่ต้องการค้นหาได้
นอกจากนี้ การลงทุนทางอ้อมในตราสารหนี้สามารถทำได้ผ่านกองทุนรวมตราสารหนี้ที่บริหารจัดการโดยผู้จัดการกองทุน ภายใต้สังกัดบริษัทจัดการกองทุน (บลจ.) ที่ได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. โดยนโยบายการลงทุนของกองทุนรวมมีหลากหลาย เช่น กองทุนรวมตลาดเงิน หรือกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ซึ่งมีทั้งที่ไปลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น (ไม่เกิน 1 ปี) และลงทุนในตราสารหนี้ทั่วไป และถ้าเป็นกองทุนที่มีกำหนดอายุโครงการ หรือ term fund จะมีกำหนดระยะเวลาในการถือครองคล้ายเงินฝากประจำ เช่น 3 เดือน 6 เดือน ซึ่งขายคืนก่อนครบกำหนดไม่ได้ และไม่มีความคุ้มครองเงินต้นจากทางการเนื่องจากไม่ใช่เงินฝาก ดังนั้น การลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ จึงต้องคำนึงถึงความเสี่ยงจากตราสารหนี้ที่กองทุนรวมไปลงทุนเป็นสำคัญ
2
ในภาวะดอกเบี้ยต่ำ หากไม่อยากลงทุนในอะไรที่ผันผวนหรือมีความเสี่ยงสูงนัก หุ้นกู้เป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ โดยก่อนที่จะลงทุนอย่าลืมดูความเสี่ยงควบคู่ไปกับผลตอบแทนด้วย หรือจะลงทุนผ่านกองทุนรวมก็ได้เพราะมีการกระจายการลงทุนอยู่แล้วระดับหนึ่ง และมีผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญคอยดูแลอยู่ด้วย
2
ก.ล.ต. ดูแลตลาดทุนเพื่อให้คุณมั่นใจ
อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก Live Talk: Ep.1 “ดอกเบี้ยต่ำ…ทำอย่างไรให้เงินพอใช้” เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2563 ของรายการ “รู้เงิน รู้ลงทุน” โดยคุณวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ อุปนายกสมาคมนักวางแผนการเงินไทย #รู้เงินรู้ลงทุน #ThaiPBS https://youtu.be/0KdekDln4TQ
1
โฆษณา