1 พ.ย. 2020 เวลา 07:06 • นิยาย เรื่องสั้น
EP 5: พูดถึงป้าจัยคนดี แม่พระของนิวยอร์กไปแล้ว จะไม่มาพูดถึงป้าคนดังอีกคนของนิวยอร์กที่ชื่อ ‘ป้าจู’ ได้ยังไงล่ะครับ ก็ป้าจูเนี่ยตัวแม่อีกคนนึงเหมือนกัน แต่เป็นแม่...มรึงนะครับ 555 แหม่ เรื่องราวของป้าจูคนดังออกจะกระหึ่มซะ ขนาดที่ว่ามีสมญานามให้แกเลยว่าเป็นป้าจูออน แห่ง Elmhurst แม้แต่เว๊ปพันทิพย์ยังมีเรื่องของแกอยู่เต็มเลยล่ะครับ แต่ใครไม่เจอกับตัวเองก็คงไม่เชื่อว่าเรื่องที่เขาเล่ากันขนาดนั้นมันจะเป็นเรื่องจริงขนาดนี้ได้
ป้าจูออนแกเป็นคุณป้าอายุหลักหกเจ็ดสิบแล้ว แกพักอยู่ที่ตึกแถวย่าน Elmhurst ใน Queens ที่เป็นย่านที่พวกเราคนไทย คนเอเชียอาศัยอยู่ค่อนข้างเยอะ ทำเลตึกที่แกอยู่อาศัยก็ค่อนข้างดีทีเดียวแหละ คือใกล้กับสถานี Elmhurst แหล่งกบดานของกะเหรี่ยงต่างชาติอย่างพวกเราเป็นอย่างมาก ก็เลยทำให้มีคนสนใจห้องว่างของแกอยู่เรื่อย ๆ และโดนแกหลอกฟันหัวแบะไปก็เยอะแล้วอยู่เหมือนกัน
คนที่โดนป้าจูหลอกก็มักจะมีสามลักษณะที่เหมือนกันนั่นคือ หนึ่งเป็นพวกที่เพิ่งเดินทางมาที่นิวยอร์ก ยังไม่ประสีประสา สองคือหาที่อยู่อาศัยแบบระยะสั้น แบบไม่กี่วัน และข้อสามก็คือ ต้องการที่พักแบบถูกที่สุด! ผมก็ได้รู้เรื่องของป้าจูจากไอ้โจ้ เพื่อนสนิทที่ผมมารู้จักกันที่นี่นี่แหละ กับความแค้นที่เพื่อนโจ้มาเล่าให้ฟังถึงวีรกรรมของป้าจูที่หลอกหลอนฝังใจจนทุกวันนี้
โจ้เป็นเด็กที่เดินทางมาทำ Work Travel ที่รัฐอื่น พอเสร็จครบกำหนดต้องกลับไทย โจ้ก็ตัดสินใจเป็นโรบินฮู้ด* คือตั้งใจจะโดดวีซ่าหาตัง ขุดทอง เข้าป่าคอนกรีตที่เมืองนิวยอร์ก แต่ด้วยความที่ไม่รู้จักใครเลย ก็เลยไปถามหาห้องพักแบบรายวัน ที่ร้านน้ำตาล (อีกแระ) โจ้เองก็ไปสะดุดกับแผ่นกระดาษเล็กๆ ที่ประกาศเรื่องห้องว่างให้เช่าราคาถูก โจ้รีบโทรศัพท์ไปคุยทันที ได้ความว่าเดือนละ $500 รวมค่าน้ำค่าไฟแล้ว มีเฟอร์นิเจอร์ให้ครบครัน ทั้งเตียง โต๊ะ ตู้เสื้อผ้า พร้อมเข้าอยู่ได้เลยทันทีด้วย อะไรมันจะประจวบเหมาะขนาดนั้นวะ ณ เวลานั้น โจ้มันบอกว่าดีใจเหมือนถูกหวยเลยครับ แต่ใครจะไปรู้ล่ะครับ สุดท้ายแล้วหวยแดกว่ะ!
ตึกที่ป้าจูอยู่นั้นเป็นตึกเก่า ๆ อยู่หลังร้าน Supermarket จีน ชื่อว่า Top Line หลังจากนัดกับป้าแล้ว ป้าแกก็ลงมารับโจ้ที่ข้างล่างของตึก พร้อมกับขอเก็บเงินค่าเช่าทันทีด้วยก่อนจะพาขึ้นไปที่ห้อง พร้อมกับกลิ่นตุ ๆ ของเรื่องราวที่เริ่มโชยออกมา
“ถ้ามีคนถามให้บอกว่าเป็นหลานป้านะ เพิ่งเดินทางมาถึง จะมานอนกับป้าแค่ไม่กี่วันนะ” ป้าจูพูด
“อ่อ ได้ครับ” โจ้ตอบเออออไป คือ ป้าเขาทำบ้านเช่าแล้วมันผิดกฎหมายเรื่องที่อยู่อาศัยของทางตึกไงครับ คือเขาไม่ให้เอาไปทำเป็นธุรกิจไง แต่โจ้จะไปว่าอะไรล่ะครับ อันนั้นมันเรื่องของป้า ส่วนโจ้ ณ ตอนนั้น ขอแค่มีห้องพักให้ซุกหัวนอนก็พอใจแล้ว ได้ที่พักที่นอนแล้วจะไปลุยหางานทำ
แต่ทันทีที่โจ้เข้าไปในห้องของป้าจูปุ๊ป โจ้ก็อึ้งแดกครับ คือ ห้องที่แกให้โจ้อยู่นั้นจะเรียกว่าเป็นห้องก็ไม่น่าจะเรียกได้นะเพราะว่ามันไม่มีกำแพง มันเป็นห้องรับแขกที่ถูกกั้นเป็นห้องเล็กเพิ่ม โดยเอาพวกตู้เสื้อผ้า ชั้นวางของที่เอามาวางไว้นั่นแหละเป็นกำแพงแทน อารมณ์ว่าเป็นห้องเปิดประทุน เพราะตู้หรือชั้นวางของมันไม่สูงติดเพดาน หรือชั้นวางของ ก็จะมีรูระหว่างชั้น ให้เห็นข้างในได้บ้าง นี่มันเป็นการนอนแบบโปรงใส ไม่เหมือนรัฐบาลไทยเลย! 555 และมีโต๊ะ มีเตียงขนาดทวินอันนึงให้ ตัวฟูกนี่มันก็เก่ามาก นั่งทีนี่ยวบลงไปเลย คือ สภาพห้อง เอาง่าย ๆ ก็คือ เป็นห้องกั้นโทรม ๆ ห้องนึงอ่ะแหละ
“กั้นห้องเพิ่มอ่ะ เรื่องธรรมดา กูรับได้” โจ้บอกผม ก่อนจะพรรณนาต่อว่า
แต่พอเอาของเข้าห้องแล้ว จะปิดประตู โจ้ก็ถึงกับต้องร้องเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า ‘เย๊ะเขร๊ะ!’ เพราะมันไม่มีประตู ป้าแกใช้ประตูระบบนาโนเทค (Nano-Tech) โดยการเอาเชือกฟางมาคล้องเอาไว้กับตะปูที่ตอกอยู่ตรงกำแพงอีกฝั่งนึงมาเกี่ยวกับตะปูตรงตู้ไม้ที่ทำตัวเสมือนประหนึ่งกำแพงนั่นแหละครับ เหมือนกับประตูเงินประตูทองตามงานแต่งงานนั่นแหละ โอ้ววว...ขุ่นพระ!
“โห ห้องหรือรูหนูวะเนี่ย ไม่มีประตูห้องด้วย เจริญล่ะ เอาน่ะ เราไม่มีของมีค่าไรมา ไม่น่าห่วงเท่าไหร่ นี่ซินะนิวยอร์ก ค่าเช่าแม่งแพง ก็ต้องอยู่แบบนี้ซินะ” โจ้คิดในใจพยายามมองโลกในแง่ดี แต่แล้วสายตาก็ไปสะดุดกับกระเป๋าเดินทางอีกสามสี่ใบที่กองอยู่ตรงมุมห้อง ‘น่ะนิ?’ โจ้ร้องเป็นภาษาญี่ปุ่นอีกทีพร้อมกับทำหน้างง ๆ ป้าใจอ่านสีหน้าออกเลยบอกว่า
“นั่นกระเป๋าเดินทางของหลานอีกสองคนน่ะ” ป้าจูบอกเสียงเรียบ ๆ ก่อนที่เรื่องราวทั้งหมดจะถูกเฉลยออกมาทั้งหมดว่า ห้องนี้มีคนเช่าไว้ แต่เขาไม่อยู่ไปเที่ยวต่างรัฐก่อนกลับไทย ป้าเห็นไม่มีคนอยู่ก็เลยเอาห้องมาปล่อยต่อ หากำไรอีกต่อนึง เฮ้ย! อย่างนี้ก็ได้หรา?
“แต่ไม่ต้องห่วงนะ พอห้องนี้กลับมา อีกห้องนึงเขาจะออกพอดี หลานก็ย้ายไปนอนอีกห้องแทนนะ ห้องใหญ่กว่าด้วย” ป้าจูบอกโจ้ โจ้ก็ได้แต่เออ ๆ รับเรื่องไป มันไม่มีทางเลือกอ่ะครับ เงินก็ให้เขาไปแล้ว เหนื่อยก็เหนื่อย อยากอาบน้ำนอนพักให้ฟื้นแรงเต็มที ก็ตกลง ๆ ไป พลางเดินไปจะเปิดแอร์ที่อยู่ตรงหน้าต่าง แต่ก่อนที่นิ้วจะสะกิดโดนปุ่มแอร์นั้นเอง
“เปิดแอร์ คิดเพิ่ม 50 บาท นะ!” ป้าจูตะโกนลั่นขึ้นมา เล่นเอาโจ้ติดสตั๊นท์ไปสามวินาที
“ค่าเช่าไม่รวมค่าแอร์นะจ๊ะ ถ้าจะเปิดต้องจ่ายเพิ่มอีก $50 นะ” ป้าจูอธิบายต่อ เสียงนุ่มนวลลงนิดนึง
“แล้ว...อาบน้ำเสร็จก็อย่าลืมทำความสะอาดด้วยนะ ที่นี่คนอยู่เยอะ หลานเป็นคนมีการศึกษาคงรักษาความสะอาดเป็นนะ” ป้าจูพูดต่อก่อนจะออกไป ก่อนจะเอื้อมมือมาล็อคห้องด้วยเชือกฟางนาโนเทคโนโลยีให้กับโจ้ ส่วนโจ้ก็ถูกทิ้งให้ยืนเอ๋อแดรกอยู่ในห้องเพียงลำพัง
“อารมณ์ตอนนั้นแมร่ง เหมือนแรงงานต่างด้าวถูกหลอกมาขายตัวที่กรุงเทพ นรกชัด ๆ” โจ้ส่ายหัวเล่าเรื่องให้ผมฟังอย่างมีอารมณ์
แต่พอผ่านไปสามวันโจ้ก็ต้องบอกว่านรกเนี่ยมันยังน้อยไปด้วยซ้ำ เมื่อต้องอึ้งแดกอีกทีนึงหลังจากคนที่เช่าห้องที่โจ้อยู่นั้นเขากลับมาแล้ว แต่...ป้าจูไม่มีห้องว่างให้!
“ก็คนเก่าอีกห้องนึงยังอยู่ ไม่ได้ย้ายออกอย่างที่ป้าบอกไว้ ไอ้คนที่เช่าห้องกูไว้ก่อนก็กลับมาแล้ว ห้องก็เล็กเท่ารูหนู เขาก็ผู้หญิงกันด้วย จะให้กูไปอยู่ตรงไหนได้ล่ะวะ” โจ้บอก
สุดท้ายทางออกก็คือ โจ้ต้องย้ายเข้าไปนอนในห้องของป้าจูกันสองต่อสอง
“อุบ๊ะ! แม่ง ทุเรศเกิ๊น!” โจ้เล่าว่า วันนั้นมันนอนพื้นห้องนี่แหละ ป้าจูนอนบนเตียง มันเป็นประสบการณ์ที่ลืมไม่ลง แล้วก็คงไม่ลืมไปตลอดชีวิตเลย เล่าได้ยันลูกบวชกันเลยเชียว ว่าสมัยก่อนพ่อต้องเจออะไรบ้างสมัยมานิวยอร์กใหม่ๆ
“นี่กูมาทำเหรี้ยอะไรวะเนี่ย!” โจ้รำพึงกับตัวเองขณะที่นอนอยู่บนพื้น ตาก็มองเพดานฝ้าเก่าๆ สีขาวอมเหลืองๆ พร้อมกับปาดคราบน้ำตาที่ซึมออกมา ก่อนจะตัดสินใจว่า
“ถ้าต้องนอนที่บ้านหลังนี้ กูขอนอนสถานีรถไฟดีกว่า!” โจ้ประกาศเจตนารมณ์ว่าต้องย้ายออกสถานเดียวเท่านั้น พอวันรุ่งขึ้น โจ้ขอคุยกับป้าจูทันทีเรื่องที่จะขอย้ายออก เพราะทนไม่ไหวแล้วกับบ้านหลังนี้
“ถ้าย้ายออกก่อนที่คุยกันไว้ ถือว่าไม่ทำตามสัญญา ป้าไม่คืนเงินค่ามัดจำห้องให้นะ ป้าเป็นฝ่ายเสียหาย” ป้าจูบอกหน้าตาเฉย
“ได้ไงล่ะครับป้า ป้านั่นแหละไม่ทำตามสัญญา ห้องไม่มีให้ผมอยู่ ตามที่คุยกันเอาไว้ ผมต้องได้เงินคืนต่างหาก” โจ้สวนกลับเสียงแข็งไม่ยอมลงให้ ทั้งสองคุยกันอยู่นาน
“ป้าให้ได้แค่ครึ่งเดียว ถ้าไม่เอา ไม่พอใจ ก็ไปแจ้งความเรียกตำรวจมาคุยก็ได้ ถ้ามีหลักฐานนะ” ป้าจูบอก โจ้เองก็ด้วยความที่ไม่รู้ประสีประสาอะไร เพราะเพิ่งมาถึงกับตัวเองอยู่ไม่ถูกกฎหมายด้วย ไม่อยากเป็นเรื่องเป็นราว ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ก็ได้แต่บอกว่า เอาวะ ได้คืนครึ่งนึงก็ยังดี กำขี้ดีกว่ากำตด ก่อนจะสาบส่งป้าจูอีกเป็นกระบุง คนไทยด้วยกันแทนที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกันกลับฉวยโอกาสกับเอาเปรียบ
“ถ้าอยู่เมืองไทยแล้วมาหลอกนะ กูจะไม่ว่าเลย แต่นี่แมร่งคนชาติเดียวกันแท้ ๆ อยู่ต่างบ้านต่างเมืองแบบนี้ยังทำกันลง หาแดกกับคนไทยด้วยกันเอง นี่ซินะที่เขากันว่า คนเนี่ยแหละน่ากลัวกว่าผีเสียอีก ผียังหลอกแค่กลางคืน คนนี่ซิหลอกได้ทั้งกลางวันและกลางคืน ผีป้าจูออนเอ๊ย!”
โรบินฮู้ด* หมายถึง พวกคนที่อยู่แบบผิดกฎหมายหรือเรียกง่ายๆ ว่าโดดวีซ่านั่นเอง
 
หากคุณผู้อ่านชอบใจ สามารถกดไลค์ Comment ให้กำลังใจ ติดตาม Update เรื่องราวตอนอื่น ๆ ของ เอ็น.วาย.กู. NYKU: New York Kitchen University เรื่องวุ่น ๆ ของมนุษย์ห้องครัวในมหานครนิวยอร์ก  หรือ Podcast (Blockdit) ได้ ได้ที่
 
#เอ็นวายกู #nyku #newyorkkitchenuniversity #คนไทยในนิวยอร์ก #มหาลัยห้องครัว #ชีวิตเด็กเสิร์ฟ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา