6 ธ.ค. 2020 เวลา 04:00 • นิยาย เรื่องสั้น
EP 10: เอ็นวายกู เรื่องราวของชีวิตคนไทยในมหาลัยห้องครัวในอเมริกา! วันนี้จะมาเสนอ ตอนวันชาติอเมริกา ในวัน July 4th ครับ
แด่ลอยด์ ช่างภาพน้องรัก
เกริ่นก่อนว่า 4th of July มันเป็นวันชาติของอเมริกา หลังจากที่ถูกปกครองโดยอังกฤษมาตั้งแต่สมัยเป็นร้อยปีก่อน สมัยที่มีสงครามกลางเมืองหรือ Civil War นี่แหละครับ หลังจากสงครามจบ ประกาศอิสรภาพ เริ่มสร้างประเทศ เพียงแค่ไม่กี่ปีก็เจริญเอา ๆ แซงหน้าหลายประเทศที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานเป็นร้อยสองร้อยปี ประเทศที่เดี๋ยวก็เลือกตั้ง เดี๋ยวก็ประท้วง เดี๋ยวก็ปฎิวัติ เดี๋ยวก็ทหาร วนไป ๆ อยู่อย่างนี้ หน้าเดิม ๆ เดินเข้าสภา ชาตินี้ไม่ต้องเจริญกันล่ะ เฮ้อ!
แต่ผมไม่ได้จะมาเล่าประวัติศาสตร์ให้ฟัง ใครสนใจก็ไปหาอ่านกันเอาเองแล้วกันนะครับ โดยปรกติแล้วทางอเมริกาเองก็จะมีการเฉลิมฉลองกันแบบอลังมาก มีคอนเสริ์ตจากนักร้องดังระดับโลก การแสดงแสงสีเสียงเว่อร์วังอลังการงานสร้างดาวล้านดวง แต่ที่เป็นเอกลักษณ์ที่โด่งดังที่สุดก็เห็นจะเป็นการจุดพลุ แบบ Non-stop ยาวเป็นชั่วโมงเลยทีเดียว
นอกจากชาวอเมริกันที่ดูกันทั้งประเทศแล้ว ยังถ่ายทอดไปทั้งโลกอีกต่างหาก ก็ถือเป็นการโปรโมทประเทศไปด้วยในตัว เม็ดเงินเท่าไหร่นะที่ต้องหว่านลงไป ค่าสถานที่ ค่าแรง ค่าอุปกรณ์ แต่รวยซะอย่าง พิมพ์แบงก์เองใครจะทำไม วันชาติทั้งที ต้องฉลองให้สมศักดิ์ศรีมหาอำนาจสักโหน่ย...
ปรกติงานวันชาติแบบนี้ พวกผมกับพี่น้อง ๆ ช่างภาพทั้งหลายก็มีนัดรวมพลแบกกล้องกับขาตั้งออกไปลัลล๊า ถ่ายรูปพลุกัน แต่อย่างที่บอกไว้ตอนต้นว่าปีนี้อด เพราะไม่รู้ว่าจะจุดพลุตรงไหน พูดถึงช่างภาพผมก็ต้องพูดถึงน้องคนนึง ชื่อ ลอยด์ ชื่ออาจจะฟังดูฝรั่ง แต่น้องเขาก็เป็นฝรั่งแบบไทย หรือ ไทยแบบฝรั่ง ลอยด์เป็น ABT หรือ American Born Thai คือเป็นเด็กไทยที่เกิดที่อเมริกา มีความอินเตอร์ ไปมา ๆ ระหว่างไทยกับอเมริกา
1
ลอยด์จึงเป็นเสมือนกับคนที่มีทั้งความตรงไปตรงมาแบบอเมริกัน กับมีความเคารพในความอาวุโสตามแบบฉบับของประเทศไทย ตอนที่ผมเจอลอยด์ครั้งแรกนั้น ผมไปงานปาตี้กที่บ้านเพื่อนหลังนึงในแมนฮัตตั้น หลังจากเข้าไปเฮาฮาได้สักพัก ลอยด์ก็เข้ามาทักทาย แล้วก็คุยกันแบบเหมือนรู้จักกันมาสิบกว่าปี 555
1
ใจก็งงนะว่า เอ็งเป็นใคร แล้วเราไปสนิทกันตอนไหนวะ ฮ่า กับอีกอย่างที่สะดุดเลยก็คือ ทำไมน้องคนนี้มันพูดภาษาไทยสำเนียงแปลก ๆ วะ คือมันจะกลางก็กลางนะ แต่มันจะมีสำเนียงฝรั่งอยู่ในนั้นด้วย เราก็แอบหมั่นมันว่า กระแดะหรือเปล่าวะไอ้นี่ แต่หลังจากได้ยินลอยด์พูดอังกฤษเท่านั้นแหละ “อ๋อ น้องเขา Born here นี่เอง”
ด้วยความที่เรามีเคมีบางอย่างคล้ายกัน ผมชอบเกี่ยวกับภาพยนตร์ ส่วนลอยด์นั้นชอบภาพถ่าย ผมกับลอยด์ก็เลยได้มีโอกาสร่วมงานกันบ้าง ตามแต่กาลที่วงโคจรของเราสองวนมาบรรจบกันในแต่ละครั้งบ้างก็เป็นงานแฟชั่น บ้างก็เป็นงานถ่ายหนัง จนถึงวันหนึ่ง วันที่พวกเราช่างภาพต้องแบกกล้องออกไปหาทำเลสวย ๆ นั่งรอถ่ายรูปพลุ ฉลองวันชาติอเมริกา
4th of July ของปี 2011 เป็นวันที่อากาศดีมาก ท้องฟ้าโปร่งโล่งสบาย ไร้เมฆหมอกบังตา วันนี้ผมมีนัดกับเพื่อนต่างชาติที่เป็นนักเรียนเรียนภาษา ESL ด้วยกัน เป็นสองสาวคาวาอี้ชาวไต้หวันชื่อ จีจี้กับวานยู จีจี้เธอจบมาทางด้านรัฐศาสตร์การเมือง ส่วนวานยูเป็นนักเรียนถ่ายภาพคนนึง ฝันอยากเป็นโฟโต้กราฟเฟอร์
พวกผมก็เลยคุยกันว่าจะออกไปถ่ายรูป กินลมชมวิวกันนะวันนี้ ว่าแล้วเราก็หาทำเลที่พลุมันจะขึ้นมา ซึ่งพวกเราก็ตกลงไปว่าจะไปดูกันที่สวนสาธารณะริมน้ำในควีนส์ ชื่อ ‘Astoria Park’ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับ Manhattan
1
ใจก็หวังว่า เราจะได้ทำเลดีแหล่ม ๆ ได้กดภาพพลุที่ถูกยิงขึ้นไปแตกบนฟ้า มีตึกสูงระฟ้าในแมนแฮตตั้นเป็นฉากหลัง พร้อมกับเงาสะท้อนของดอกไม้ไฟเบา ๆ จากผิวน้ำฉากหน้า แถมมีสาวสวยพ่วงมาด้วยอีกสองคน แค่คิดก็ฟินแล้ว! (ด้วยจรรยาบรรณของช่างภาพ ผมแค่อยากไปถ่ายรูปจริง ๆ นะ ให้ตายซิ ไม่ได้เกี่ยวกับสองสาวนี้เลย...เอิ๊ก ๆ)
ขณะที่ผมกำลังจิ้นไปไกลอยู่นั้น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นปลุกผมให้ตื่นจากฝันเปียก เอ๊ย ฝันหวาน พอรับสายดูก็พบว่าเป็นน้องลอยด์ช่างภาพนี่เอง
“โหล ว่าไงลอยด์” ผมถาม
“พี่อ๊อตโต้ว่างป่าว ไปถ่ายรูปพลุกัน” ลอยด์ชวนเข้าเรื่องทันที
“เฮ้ย คิดตรงกันเลย พี่ก็กะไปอยู่แล้ว นี่นัดกับเพื่อนสาวไต้หวันไว้สองคน เอ็งอยากมาถ่ายด้วยกันป่าว” ผมชวน
“พี่โต้จะไปถ่ายตรงไหนกันครับ” ลอยด์ถาม
“พวกพี่ว่าจะไป Astoria Park ตรงที่มันติดริมน้ำน่ะ” ผมตอบกึ่งชวน ลอยด์คิดไปสักครู่นึงก่อนที่จะตอบมา
“พี่อ็อตโต้ ตรงนั้นไม่น่าจะเห็นนะ พลุมันยิงตรงสะพานบรู๊คลิน ตรงสวนนั้นมันจะโดนเมืองบังเอานะ” ลอยด์บอก
“อ้าว เหรอวะ แล้วลอยด์จะไปตรงไหนอ่ะ เดี๋ยวพี่ถามเพื่อนก่อน ไงเดี๋ยวโทรหานะ” ผมเองซึ่งไม่รู้อะไรเลยเรื่องของสถานที่ เป็นพวกหลงทางโดยกำเนิดอยู่แล้ว อารมณ์แบบว่าเพื่อนเฮไปทางไหน ผมก็ไปทางนั้น ก็รีบโทรหาสองสาวทันที หลังจากที่คุยกับทางสองสาวแล้ว พวกนางยืนยันว่าตรงสวนนี่เห็นแน่ ๆ ไม่ต้องย้ายหรอก
ผมเลยต้องเลือก ทางหนึ่งเป็นสองสาวเพื่อนชาวต่างชาติที่เพิ่งพบเจอไม่นาน ส่วนอีกทางคือน้องชายผู้ร่วมอุดมการณ์ช่างภาพที่มาจากบ้านเกิดเดียวกัน ผมจะเลือกใครล่ะ ไม่ต้องบอกก็คงรู้อยู่แล้วว่า อุดมการณ์ต้องมาก่อน การถ่ายรูปของเราต้องมาเป็นที่หนึ่งเสมอ ปีนึงมีแค่ครั้งเดียว จะมาพลาดตั้งแต่เลือกทำเลผิดแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด ผมกดโทรศัพท์หาลอยด์ทันที
“ลอยด์ พี่ไม่ไปตรงที่เอ็งอยู่นะ เพื่อนพี่เค้าไม่ไปกันว่ะ เค้าบอกว่าตรงนี้เห็นแน่ ๆ” ผมบอกลอยด์ไป ผมไม่ได้เห็นแก่ผู้หญิงจริงๆนะให้ตายซิ สาบาน!!
เมื่อผมไปถึง Astoria Park ก็เห็นผู้คนมายืนรอชมกันให้ตรึมเหมือนกันนะครับ ถามคนในสวน เขาก็บอกว่ามารอดูพลุกัน แหม่! ใจผมมันก็อุ่นขึ้นมาเลยล่ะ โอเค คนก็มารอดูพลุกันเต็มสวนแบบนี้ เห็นแน่นอน ฮ่าฮ่าฮ่า ผม, จีจี้แล้วก็วานยูก็หาทำเลตั้งตั้งกล้องกัน จนได้ทำเลทองตรงมุมของสวนสาธารณะที่ไม่มีคนบัง มองเห็นตึก Empire State ได้อย่างเด่นชัดอีกต่างหากครับ เราก็ตั้งขากล้องรอตรงนี้เลยครับ สามคนสองกล้อง ขณะรอก็ถ่ายรูปสาวสวยสองนางเล่นฆ่าเวลา จิบไวน์เบา ๆ ฟินว่ะ
เวลาผ่านไปชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า เข้าสวนกันมาตั้งแต่ห้าหกโมงเย็นจนจะยันสามทุ่มแล้ว นั่งจองที่กันจนก้นชาไปหมดแล้ว ขณะที่เราเริ่มกรึ่ม ๆ กัน (ไวน์หมดไปสองขวดแล้ว) เราก็ได้ยินเสียงพลุดังตะปุ๊ก! ตะปุ๊ก! ตะปุ๊ก! พวกผมก็ตื่นเต้นซิครับ ในที่สุดเวลาแห่งการรอคอยก็มาถึงแล้ว ชาวบ้านในสวนที่ก็เริ่มฮือฮา ชะเง้อ ชะแง้กันล่ะครับ เสียงพลุก็ดังอีก ตะปุ๊ก ตะปุ๊ก ตะปุ๊ก ๆ ๆ ๆ รัวมาเป็นตับเลย
แต่...เอ๊ะ! ทำไมได้ยินแต่เสียงวะ ไม่มีดอกไม้ไฟสักดอกให้เห็นเลย พวกผมสามคนก็เริ่มมองหน้ากัน เวงกรรม หรือที่นี่มันจะมองไม่เห็นพลุจริง ๆ ทันใดนั้น พลุลูกเล็ก ๆ ลูกหนึ่งก็พ้นมาจากตัวตึกที่อยู่แสนไกลให้เราได้เห็นหัวมันนิดนึง แต่มันไกลมากและตึกก็บังไปแทบจะหมด
พวกผมก็หันหน้ามามองกันแล้วล่ะครับ ฉิบหายแล้ว! เป็นไงล่ะ ไม่เชื่อนิวยอร์กเกอร์มาหลงเชื่ออาหมวยสาวสองคน เห็นแค่จิ๋มมดแบบนี้จะเอาไปทำอารายได้วะ กดชัตเตอร์ไม่ลงเลยเชียว จีจี้ก็เลยหันมายิ้มหน้าเจื่อน ๆ คงรู้สึกผิดที่เป็นคนบอกว่าให้มาถ่ายรูปดูดอกไม้ไฟกันที่นี่
“ฉันขอโทษนะ อ็อตโต้ ไม่นึกว่าจะเป็นอย่างนี้” จีจี้เอ่ยเสียงอ่อย วานยูที่กะมาถ่ายรูปกันแน่ ๆ ก็ยืนจ๋อย เจื่อนรับประทานไปอีกคน
“ไม่เป็นไรเลย อากาศเย็นสบายดีออก วันนี้ปรกติเค้าถ่ายรูปพลุกัน แต่เราแนวไง เราถ่ายแบบไม่มีพลุ จะว่าไปก็สวยไม่หยอกอยู่นะ ฮ่าฮ่าฮ่า” ผมเบี่ยงเบนประเด็น พลางชวนจีจี้มาเป็นนางแบบถ่ายรูป หันหลังบ้างหันหน้าบ้าง ก่อนจะไปจบลงที่ลานเบียร์ใกล้ ๆ
“จริง ๆ แล้ว ที่มาข้างนอกเนี่ยกะมากินเบียร์มากกว่าอีกนะ หึหึหึ” ผมบอกสองนางแกมตลก
หลังจากนั้น เราสองสามคนก็กินดื่มกันพอหอมปากหอมคอ ได้ที่ก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ผมก็พกความชอกช้ำที่ไม่ได้รูปพลุสวย ๆ สักใบ มีแต่รูปสาว ๆ 555 ใจก็แอบเศร้านะ เพราะต้องรออีกหนึ่งปีเต็ม กว่าวันชาติจะวนมาใหม่ ก่อนจะนอนหลับไป
ตื่นมาเช้าวันใหม่ เปิดคอมเข้าเฟสก็เจอรูปของคนนู้นคนนี้ ถ่ายกับพลุเต็มไปหมด และก็แน่นอน รูปของลอยด์ที่ถ่ายพลุดอกโต ๆ มาซะสวย เต็มไปหมด
“เห็นจะไม่ได้การณ์ซะแล้ว ปล่อยให้รูปของลอยด์มาสวยเด่นเป็นสง่า เต็มหน้าฟีดได้ไงวะ” ผมริษยาในใจ ว่าแล้วก็วิชามาร โหลดรูปที่ถ่ายมากับสองสาวเมื่อวานลงคอม เปิด Photoshop ใส่พลุลงไปในรูปซะเลย 555 ผมก็จัดไปแบบพอหอมปากหอมคอ นิดหน่อย ๆ สามสี่รูปพอขำ ๆ เสร็จก็โพสลงเฟส คนไลค์พอหอมปากหอมคอ สักพักเสียงโทรศัพท์ก็ดัง ปรากฏว่าลอยด์โทรมาหา
“โหล พี่อ๊อตโต้รูปสวยมาก ผมนึกว่าตรงนั้นมองไม่เห็นนะเนี่ย รู้งี้ผมไปกับพี่ดีกว่า” ลอยด์พูดชมแบบจริงใจ ส่วนตัวผมนั้นความรู้สึกผิด ละอายใจมันก็เอ่อขึ้นมา ยิ่งลอยด์บอกว่า
“เดี๋ยวปีหน้า ผมไปสวนนี้ดีกว่า” ลอยด์บอก ผมก็เหวอ กลัวน้องมันไปจริง แล้วไม่เจอพลุ ผมจะซวยเอาก็เลยขอสารภาพ
“ลอยด์ พี่มีเรื่องจะบอกเอ็ง” ผมเริ่มสารภาพ
“จริง ๆ แล้วตรงสวนที่พี่ไปมา มันไกลไป มองไม่เห็นพลุอย่างที่เอ็งบอกจริง ๆ ว่ะ” ผมสารภาพ
“อ้าว ก็ผมเห็นรูปพี่ถ่ายมาที่เฟส” ลอยด์พูด
“นั่นพี่ Photoshop เอาน่ะ เห็นรูปที่เอ็งโพสลงเฟสแล้วสวยดี พี่ก็เลยเอามั่งน่ะ” ผมเฉลยหมด
“โห....พี่อ๊อตโต้ทำเก่งนะเนี่ย ดูไม่รู้เลยพี่” ลอยด์ชม
“แต๊งกิ้ว ๆ เห็นเอ็งบอกจะมาถ่ายรูปตรงนี้ปีหน้า พี่กลัวเอ็งมา ไม่เห็นพลุ อดได้รูป เดี๋ยวจะด่าพี่เอา ฮ่า ๆ ๆ” ผมตอบขำ ๆ ก่อนจะบอกต่อว่าตรงมุมที่ลอยด์ไปถ่ายมาก็สวยดี
“เดี๋ยวปีหน้าเดี๋ยวพี่ไปถ่ายตรงที่เอ็งไปมาปีนี้ดีกว่า มุมสวยดีว่ะ ชอบ ๆ ตรงไหนนะ” ผมนึกได้ว่า ก็เลยชวนแบบข้ามปีไว้ก่อนเลย
“...” ลอยด์เงียบไปครู่นึง ก่อนจะตอบกลับมา
“พี่อ็อตโต้ไม่ต้องไปหรอก” ลอยด์ตอบมา
“ไมอ่ะ” ผมถาม
“เอิ่ม...ก็...ตรง...ที่ผมไปมาก็มองไม่เห็นเหมือนกันพี่” ลอยด์พูดเสียงเขิน ๆ
“ผมก็ Photoshop เหมือนพี่นี่แหละ ฮ่าฮ่า” ลอยด์ตอบมาพร้อมกับหัวเราะ
ใครอยากจะไปถ่ายรูป หรือดูพลุสวย ๆ อลังการงานสร้างล่ะก็ แนะนำให้ไปที่ FDR DRIVE หรือไป Brooklyn แถวๆ Dumbo นะ นั่ง F train ไปลงที่ York Street เค้าเปิดเป็นสวนริมแม่น้ำ มีโขดหินเล็ก ๆ กับพื้นหญ้า ให้เข้าไปกางเสื่อรอดูได้เลย บางคนเอากระติกไวน์มาเปิดดื่มดูพลุ สบายใจเพลินไปเลยก็มี แถมมีสะพานบรู๊คลินกับตึกในแมนแฮตตั้นเป็นองค์ประกอบภาพ มีผืนน้ำไว้เก็บเงาสะท้อนของพลุ (ของจริง) แนะนำเลยว่าต้องบริเวณนี้ครับ จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาทำ Photoshop อย่างผม
GG กับพลุของเธอ
หากชอบใจ ฝากกดติดตาม กดไลค์ อ่านเรื่องราวอัพเดทของ เอ็นวายกู NYKU: New York Kitchen University เรื่องวุ่นๆ ของพวกเราพี่น้องคนไทย ที่แปลงร่างเป็นมนุษย์ห้องครัวในมหานครนิวยอร์กได้ที่นี่นะครับ ขอบคุณครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา