22 ก.ย. 2020 เวลา 15:30 • นิยาย เรื่องสั้น
"วิญญาณของเขายังคงวนเวียนอยู่ในห้องครัว"
ซีรีส์..อาชีพคุณพ่อบ้าน (ตอนจบ)
...บังคลาเทศไดอารี่...
...ถึงคุณอ่านที่รัก...
ความเดิมตอนที่แล้ว
ณ บังคลาเทศ
ฉันต้องมาทำงานเป็นแม่ครัว ของหน่วยงานแห่งหนึ่งในเมืองหลวงธากา ในช่วงครึ่งปีแรก
ฉันได้อาศัยอยู่ที่อพาร์ตเมนต์ใกล้ๆสำนักงาน เพราะตึกที่ฉันต้องไปประจำการ ได้ปิดซ่อมแซมชั่วคราว ที่นั่นเป็นทั้งที่ทำงานและเป็นที่พักอาศัยของฉันด้วย
เมื่อทุกอย่างแล้วเสร็จ ฉันก็ต้องย้ายออกจาก อพาร์ตเมนต์ เพื่อมาอยู่ประจำทำงานที่ตึกนี้
ตึกที่ฉันต้องมาทำงานเป็นแม่ครัว จะเป็นสถานที่สำหรับจัดงานเลี้ยงต้อนรับแขกบ้่านแขกเมือง
จากประเทศต่างๆ เพราะฉะนั้นที่นี่จึงใหญ่โตโอ่อ่าพอสมควร
ห้องพักส่วนตัวของฉันและทีมงานจะอยู่ใน
ตึกนี้ ถ้าหากคุณเคยดูละครที่พระเอกหรือนางเอกเป็นคนรวย อยู่บ้านหลังใหญ่ๆมีสระว่ายน้ำ แล้วมีบริเวณเรือนคนใช้อีกฝั่งหนึ่ง
ที่อยู่ของฉันก็คล้ายๆอย่างนั้นนั่นเอง...5555
วันแรกที่ฉันได้ย้ายเข้ามาอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างยังไม่เข้าที่เข้าทาง อีกหลายห้องยังทาสีไม่เสร็จ
ฉันต้องดมกลิ่นสีจนเวียนหัวไปหมด ห้องรับแขกแต่ละห้องยังไม่ได้รับการตกแต่งเป็นแค่ห้องโล่งๆ ช่างไฟฟ้า ช่างทาสี ก็ยังคงมาทำงานเก็บรายละเอียดยิบย่อยทุกวัน
ฉันมีความรู้สึกว่า สถานที่มันช่างกว้างขวางและใหญ่โตเกินไป ประตูที่ใช้เชื่อมแต่ละห้อง
ทางเข้าทางออกก็มากมายเหมือนกับเขาวงกต
พวกเราต้องแบ่งหน้าที่เพื่อจัดแจงข้าวของ
และช่วยกันทำความสะอาด ให้ตึกนี้ืสามารถเปิดใช้บริการรับรองแขกได้เร็วที่สุด
น้องทีมงานสองคน
ขึ้นไปทำความสะอาดชั้นบนของตึก
ฉันทำความสะอาดห้องครัว และจัดเซ็ตอุปกรณ์งานครัวทั้งหมดให้เข้าที่เข้าทาง มีจานชามชนิดต่างๆเป็นพันๆใบที่รอการนำมาล้างทำความสะอาด
ซึ่งงานนี้ก็ได้คุณพ่อบ้านของสำนักงานใหญ่มาช่วยด้วย ได้แก่ พี่โจชิม โมริ และมุสตาฟา
โจชิม มีตำแหน่งเป็นคุณพ่อบ้านใหญ่
เพราะเขาเป็นพนักงานบังคลาเทศเพียงคนเดียวที่สามารถสื่อสารภาษาไทยได้ดี และสำเนียงเหมือนเจ้าของภาษา
โมริ มีตำแหน่งเป็นคุณพ่อบ้าน
เป็นผู้ช่วยของโจชิม
มุสตาฟา มีตำแหน่งเป็นคุณพ่อบ้านเช่นกัน
ดูแลเรื่องการจัดสวน และคอยช่วยเหลือทีมงานของฉันจัดงานเลี้ยง มุสตาฟาเป็นน้องชายแท้ๆของพี่โจชิม แต่เขาไม่สามารถพูดภาษาไทยได้เหมือนกับพี่ชาย
4
ที่นี่ยังมีคุณพ่อบ้านอีกหนึ่งคนชื่อ "เซลโฮ"
เซลโฮมีหน้าที่ทำความสะอาดสำนักงานและคอยส่งเอกสาร ส่วนใหญ่เขาจะประจำการที่ออฟฟิศ
คุณพ่อบ้านทั้งหลายจะมาช่วยเหลือฉันได้ในตอนกลางวันเท่านั้น ส่วนกลางคืนฉันต้องอยู่ในห้องครัวเพียงคนเดียว เนื่องจากงานนี้จะต้องเร่งทำให้เสร็จเร็วที่สุด ฉันและทีมงานก็ต้องช่วยกันทำงานจนถึงดึกดื่นจึงจะได้กลับห้องเพื่อพักผ่อน
คุณผู้อ่านคงจะนึกภาพออก
ตึกที่ใหญ่โตคล้ายกับหอศิลป์ ฉันต้องอยู่ในห้องครัวเพียงลำพังคนเดียวในตอนกลางคืน มันจะวังเวงขนาดไหน เพราะงานชั้นบนตึกก็หนักหนาจนทีมงานทั้งสองคนนั้นไม่สามารถปลีกตัวมาหาฉันได้เลย
หลายๆครั้งฉันมีความรู้สึกว่า....
ว่า.....
ว่า....
ว่า......"ฉันไม่ได้อยู่ในห้องนี้.....เพียงคนเดียว"
.
(หรือฉันอาจจะแค่คิดมากไปเองก็ได้)
.
ณ ห้องครัว
ฉันกำลังทำอาหารเย็นให้กับทีมงานของฉัน
พวกเค้าก็คงวุ่นวายกับการจัดข้าวของ และการทำความสะอาดที่ห้องต่างๆนั่นแหละ
ฉันก็อยู่คนเดียวเงียบๆในห้องครัวชั้นล่างเช่นเคย
.
"พิงค์กี้!... เดี๋ยวมากินข้าวกันนะ "
.
ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ ของใครบางคน
ที่กำลังเดินผ่านหลังฉันไปอีกห้องหนึ่ง
ซึ่งฉันคิดว่าต้องเป็นเสียงของพิงค์กี้แน่ๆ เพราะเธอเป็นคนเจ้าเนื้อและมีน้ำหนักเยอะที่สุด
....
....ฉันไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากพิงค์กี้....
และหันหลังกลับไปดูก็ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นสักคน
"อ้าว! เสียงใครเดินวะเนี่ย"
(ฉันถามตัวเองอย่างงงๆ)
ณ ห้องครัว
ในคืนหนึ่ง
ฉันกำลังก้มหน้าก้มตาจัดแจงอุปกรณ์เครื่องใช้ที่ซื้อมาใหม่ เพื่อจะเก็บเข้าที่เข้าทางตามตู้ต่างๆ
"แน่นอนว่าคืนนั้น ฉันอยู่ในห้องครัวคนเดียว"
ในขณะที่ฉันกำลังก้มๆเงยๆหยิบข้าวของ
หางตาของฉันเห็นแผ่นหลังของใครคนหนึ่ง
ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว เดินผ่านหน้าฉันไปแว๊บๆ
ด้วยความสงสัยฉันจึงวางของที่กำลังถืออยู่
แล้วรีบเดินตามไปทันที
"เพื่อจะให้รู้ว่า...ใช่พิงค์กี้
หรือน้องทีมงานอีกคนหนึ่งหรือไม่?"
เมื่อเดินไปดูใกล้ๆ
1
...กลับพบว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเลยสักคน...
ณ ห้องรับแขก
ในคืนนั้น ฉันกับน้องทีมงานอีกสองคนกำลังนั่งพักผ่อนและพูดคุยเล่นกันอย่างสนุกสนาน
เราปิดไฟห้องต่างๆจนเกือบหมด เหลือไว้เพียงดวงเดียว คือแสงไฟจากห้องรับแขกที่เรากำลังนั่งเล่นกันอยู่
มีเสียงหนึ่ง ที่เล็ดลอดออกมาจากห้องครัว
เป็นระยะๆ จนเราทั้งสามคนต้องเงียบเสียงของตัวเองโดยอัตโนมัติ ฉันยังจำเหตุการณ์วันนั้นได้จนถึงทุกวันนี้
" เสียงนั้นเป็นเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง คล้ายๆกับคนกำลังล้างแก้วน้ำและแก้วไวน์หลายใบอยู่ในห้องครัว"
พวกเราต่างนั่งเงียบและมองตากันอยู่นาน
กว่าเสียงนั้นจะเงียบหายไปเอง
ณ ห้องครัว
ตอนหัวค่ำวันหนึ่ง
ฉันกำลังนั่งขูดมะพร้าวด้วยกระต่ายขูดมะพร้าว
แน่นอนอีกว่า ฉันต้องอยู่ในห้องครัวเพียงคนเดียว
การนั่งอยู่บนกระต่ายขูดมะพร้าวเพื่อขูดมะพร้าว
หากคุณผู้อ่านเคยดูหนังเรื่อง "แม่เบี้ย"
ก็คงจะเห็นภาพตามนั้น สายตาของฉันต้องมองต่ำระดับพื้น เพื่อที่จะเพ่งสมาธิไปที่มะพร้่าวกับที่ขูด
"ทันใดนั้น หางตาของฉันเห็นขาของใครคนหนึ่ง
ใส่ชุดปัญจาบีสีีขาว ชายเสื้อของเขาได้พัดผ่านหน้าฉันไป"
ฉันเริ่มแน่ใจแล้วล่ะว่า
...เขาคนนั้นไม่ใช่หนึ่งในน้องทีมงานแน่ๆ...
ณ ห้องครัว
ห้องครัวของฉันจะมีประตูหลายประตู เพื่อเชื่อมต่อไปยังห้องต่างๆสำหรับการจัดงานเลี้ยง
วันนั้นเจ้านายของฉันเดินมาหาในครัว เพื่อสั่งงานอะไรสักอย่างเกี่ยวกับการจัดงานเลี้ยง
ประตูที่เชื่อมไปยังห้องจัดเลี้ยงได้ถูกเปิดเอาไว้
ฉันยืนอยู่ระหว่างประตูนั้นพอดี
ในขณะที่ฉันกำลังพูดคุยกับเจ้านาย
สายคาของฉันมองเห็นผู้ชายคนหนึ่งใส่เสื้อโปโลสีน้ำเงิน ยืนอยู่ตรงกลางห้องจัดเลี้ยงซึ่งเป็น
ห้องสลัวๆ เพราะไม่ได้เปิดไฟสว่าง ถึงฉันจะมองเห็นเขาไม่ได้ชัดแจ๋ว
...แต่ก็แน่ใจว่า เขาไม่ใช่คนไทยอย่างแน่น่อน...
และวันนั้นทั้งวันก็ไม่ได้มีช่างมาเก็บงาน หรือคนนอกเข้ามาเลยแม้แต่คนเดียว
เราอยู่กันเพียงแค่ 4 คน รวมเจ้านายของฉันซึ่งเป็นผู้หญิงอีกคนหนึ่ง
ณ ห้องครัว
"มดดี้ !....พี่เห็นผู้ชายใครก็ไม่รู้เดินอยู่ชั้นบนตึก
วันนี้เราไม่ได้นัดช่างมาเก็บงานหนิ "
เจ้านายของฉันได้บอกกับฉันในเย็นวันหนึ่ง
ในคืนหนึ่ง
"ฮัลโหลลล พิงค์กี้!"
(ฉันโทรศัพท์หาพิงค์กี้กลางดึก)
" จ้าาาพี่มดดี้ "
(พิ้งค์กี้รับสาย)
" ใช่แกป่าววะ"
(ฉันถามพิงค์กี้แบบรู้กัน)
"หนูก็ว่าจะโทรถามพี่มดดี้ ว่าใช่พี่หรือป่าว?"
(พิงค์กี้ตอบกลับมา)
ฉันและพิ้งค์กี้มักจะได้ยินเสียงคนเปิดปิดประตู
ในตอนดึกๆเสมอ
...พิงค์กี้นึกว่าเป็นฉัน
...ส่วนฉันก็คิดว่าเป็นพิงค์กี้
น้องอีกคนจะอยู่ห้องพักอีกโซนหนึ่ง
ไม่ใช่เธอแน่ๆ
ฉันกับพิงค์ห้องพักอยู่ติดกัน โดยมีประตูปิดอีกชั้นหนึ่งก่อนจะมาถึงห้องพวกเรา
และประตูนี้จะมีเสียงคนเปิดเข้าเปิดออก
เกือบทุกคืน
"มันจะเป็นไปได้ยังไงวะ?
ในเมื่อฉันกับพิงค์กี้เท่านั้นที่จะเปิดออกได้
เพราะมันถูกล็อคจากด้านใน คนนอกไม่สามารถเปิดเข้ามาได้แน่ๆ "....(ฉันคิด)
ณ สำนักงานใหญ่
"มดดี้...นอนหลับสบายกันไหมจ๊ะ
ไม่เจออะไรใช่ไหม?"
(เพื่อนร่วมงานรุ่นพี่สาวไทยคนหนึ่ง
ได้ถามไถ่ทักทาย เมื่อฉันได้เข้าไปทำธุระที่นั่น)
"ก็.........มีบ้างเหมือนกันค่ะ"
(ฉันตอบเธอด้วยความกระอักกระอ่วนใจ)
จากนั้นฉันก็ได้เล่าเรื่องราวแปลกๆ ที่ฉันและทีมงานต่างได้พบเจอ เล่าสู่รุ่นพี่คนนั้นฟัง
เขาชื่อ " อัมคา"
เป็นพ่อบ้านใหญ่ประจำตึกนี้ ก่อนหน้าที่ทีมงานของฉันจะมาประจำการที่นี่ไม่กี่เดือน เขาได้ประสบอุบัติเหตุถูกรถชนขณะกำลังข้ามถนนจนเสียชีวิตคาที่
วันนั้นเขาเพิ่งกลับมาจากไปเยี่ยมบ้านที่ต่างจังหวัด เขาเดินทางมาถึงเมืองหลวงในตอนเช้ามืด เพื่อที่จะรีบมาให้ทันเวลาจัดงานเลี้ยง
เนื่องจากว่าอัมคา มีหน้าที่เป็นพ่อบ้านที่จะต้อง
ตระเตรียมอุปกรณ์สำหรับงานเลี้ยงทุกอย่าง เช่น จาน ชาม ช้อน และแก้วน้ำ และช่วยเหลืองานครัวต่างๆ
...แต่แล้วในที่สุด...
"อัมคาก็ไม่สามารถที่กลับจะมาปฏิบัติหน้าที่
ของเขาได้อีกต่อไป"
อัมคา เป็นน้องชายแท้ๆอีกคนหนึ่งของพี่โจชิม
ก่อนหน้าที่เขาจะมาทำงานเป็นคุณพ่อบ้านที่นี่
เขาเคยเป็นพ่อบ้านให้กับนักธุรกิจคนไทยมาก่อน
นักธุรกิจคนไทยท่านนั้น ได้มาประจำอยู่ที่บังคลาเทศหลายปี อัมคาเป็นพ่อบ้านมืออาชีพทำงานกับเขา จนกระทั่งอัมคาเรียนรู้ภาษาไทยจนพูดได้ชัดราวกับว่าเขาเป็นคนไทยคนหนึ่ง
จากนั้น นักธุรกิจเจ้านายของเขาต้องย้ายกลับประเทศไทย ได้ฝากฝังงานใหม่ให้กับอัมคา
ซึ่งก็คือสถานที่ที่ฉันทำงานอยู่นี่เอง
รุ่นพี่คนนั้นเล่าเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับอัมคา
ให้ฉันฟัง พร้อมบอกอีกว่า
" อัมคาเป็นคนจิตใจดี
ที่เขามาหาอาจจะเป็นเพราะว่าเขาเป็นห่วงงาน
ที่ได้ทำคั่งค้างเอาไว้ เนื่องจากอัมคาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบมาก เอิ่มมม...
มีหลายคนในออฟฟิศก็เจอเหมือนกันน่ะ"
" หนูมีอีกเรื่องที่สงสัยค่ะ
คือ..อัมคาเค้าพักที่ไหนเหรอคะ"
(ฉันถามด้วยความสงสัย)
"ก็ห้องที่มดดี้กับพิงค์กี้นอนไง
เมื่อก่อนเป็นห้องนอนใหญ่ห้องเดียว พอปรับปรุงใหม่เลยแบ่งทำเป็นสองห้อง " (เธอตอบ)
"หะหะหะหาาาาาาาา!!!!"
......จบบริบูรณ์......
หลังจากนั้นไม่นาน
พวกเราก็มีการทำบุญ
และอุทิศส่วนกุศลให้กับอัมคา
ตั้งแต่นั้นมา
ก็ไม่มีใครได้เจอเหตุการณ์แปลกๆอีกเลย
โปรดติดตามเรื่องต่อไป
"มดดี้"
ความเดิมตอนที่แล้ว

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา