1 ต.ค. 2020 เวลา 13:00 • อสังหาริมทรัพย์
REAL ESTATE : รายชื่อต่อไปนี้ คือเมืองที่เกิดฟองสบู่ และมีความเสี่ยงมากที่สุดในโลกสำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์
ความเสี่ยงของฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ กำลังเพิ่มขึ้นในเมืองต่าง ๆ ทั่วโลกในช่วงการระบาดของ COVID-19 เนื่องจากราคายังคงสูงขึ้น แม้จะมีสัญญาณเตือนออกมามากมายตามรายงานฉบับใหม่ที่เกี่ยวข้องกับภาคธุรกิจนี้
Munich, Frankfurt, Toronto และ Hong Kong ได้ติดอันดับเมืองที่เสี่ยงต่อการ "ปรับฐานลงอย่างรวดเร็ว" อ้างอิงจากดัชนีฟองสบู่ในอสังหาริมทรัพย์ประจำปีของ UBS Group AG ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันพุธที่ผ่านมา
การสนับสนุนของรัฐบาลเกี่ยวกับรายได้ส่วนบุคคลและตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อต่อสู้กับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการ Lockdown เพื่อควบคุม COVID-19 พร้อมกับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ และ "การระงับ" การเข้ายึดอสังหาริมทรัพย์* ทำให้มูลค่าของพวกมันสูงขึ้นในหลายเมือง ตามรายงานซึ่งวิเคราะห์ราคาในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้
* การดำเนินการเข้าครอบครองอสังหาริมทรัพย์ที่จำนอง เมื่อผู้จำนองไม่สามารถชำระเงินจำนองได้
"เป็นที่ชัดเจนว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจในปัจจุบันนั้นไม่ยั่งยืน ขณะที่ค่าเช่าในเมืองส่วนใหญ่กำลังลดลง ซึ่งบ่งชี้ว่าช่วงระยะเวลาแห่งการปรับฐานลงจะเกิดขึ้น เมื่อเงินอุดหนุนจากรัฐบาลหมดลงและแรงกดดันต่อรายได้ของครัวเรือนเพิ่มขึ้น"
เมืองที่เสี่ยงต่อการเกิดฟองสบู่มากที่สุดในปีนี้ ได้แก่
1. Munich
2. Frankfurt
3. Toronto
4. Hong Kong
5. Paris
6. Amsterdam
7. Zurich
ในบางเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่มีกฎหมายเข้มงวดซึ่งให้ความสำคัญกับผู้เช่า ทำให้ผู้ปล่อยเช่าอาจต้องใช้เวลามากกว่า 35 ปีในการหารายได้จากอพาร์ทเมนต์ของพวกเขาเพื่อชดเชยเงินที่กู้ยืมมา
นอกจากนี้ รายงานยังกล่าวอีกว่า "นักลงทุนควรพิจารณาขายอสังหาริมทรัพย์ และมองหาสถานที่ที่จะนำเงินของพวกเขาไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่จะสามารถให้ผลตอบแทนได้สูงกว่า"
"แม้ว่าอสังหาริมทรัพย์ มักจะถูกมองว่าเป็นการลงทุนแบบดั้งเดิมที่หมายถึงการลงทุนในทรัพย์สมบัติ แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดที่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์หลาย ๆ แห่งต้องพบเจอในการพิจารณาการทำกำไร" Claudio Saputelli หัวหน้าฝ่ายการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ของสวิสที่ UBS Global Wealth Management กล่าว
ยิ่งไปกว่านั้นคือราคาที่อยู่อาศัยกำลังลดลงใน 3 เมืองอื่น ๆ ได้แก่ Madrid, San Francisco และ Dubai
จากการวิเคราะห์ใน 25 เมือง Chicago เป็นสถานที่เดียวที่ถือว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้รับการประเมินมูลค่าต่ำเกินไป ขณะที่ New York ถูกจัดอันดับให้มีการประเมินมูลค่าสูงเกินไปเล็กน้อย ส่วนสิงคโปร์, Milan และ Dubai ถูกมองว่ามีมูลค่าพอเหมาะ
เมืองที่อสังหาริมทรัพย์มีราคาแพงที่สุดในโลกอย่าง Paris, London, Singapore, Tokyo, Tel Aviv และ New York. หมายความว่าผู้คนต้องทำงานประมาณ 10 ปีขึ้นไปเพื่อเก็บเงินซื้ออพาร์ทเมนต์ขนาด 650 ตารางฟุต (60.38698 ตารางเมตร)
อย่างไรก็ตาม มีรายงานออกมาว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสิงคโปร์อาจมีความยืดหยุ่นแม้ว่าจะต้องเผชิญกับสภาวะถดถอย ขณะที่ราคาบ้านกำลังเพิ่มสูงขึ้น
ราคาบ้านของสิงคโปร์เพิ่มขึ้นในไตรมาสที่แล้ว เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำและการกระตุ้นจากรัฐบาลครั้งใหญ่ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์เผชิญกับภาวะถดถอยที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์
มูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 0.8% ในช่วง 3 เดือนซึ่งสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน ตามการประมาณการเบื้องต้นของหน่วยงานพัฒนาเมือง (Urban Redevelopment Authority) ที่เปิดเผยในวันนี้
ผลลัพธ์ที่เพิ่มขึ้นเกินคาด ทำให้นักวิเคราะห์ปรับการคาดการณ์ของพวกเขา โดยกล่าวว่าราคาอาจเพิ่มขึ้นมากถึง 1.5% ในปีนี้ แม้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาเคยคาดการณ์เอาไว้ว่าราคาจะลดลงมากถึง 6%
ตัวเลขดังกล่าวเกิดขึ้นจากยอดขายบ้านที่สูงที่สุดในรอบ 11 เดือน ซึ่งส่งสัญญาณว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์กำลังฟื้นตัวหลังจากการ Lockdown 2 เดือนเพื่อต่อสู้กับ COVID-19
และเพื่อรองรับผลกระทบทางเศรษฐกิจ รัฐบาลได้เปิดตัวโครงการมูลค่ากว่า 100 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (7.33 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) สำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจนับตั้งแต่มีการผ่อนคลายและยกเลิกข้อจำกัดในการเดินทางสำหรับนักท่องเที่ยวจากออสเตรเลียและเวียดนาม
"ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงมีความยืดหยุ่น แม้จะมีความไม่แน่นอนในวิถีและพัฒนาการของ COVID-19 ขณะที่ความเชื่อมั่นของตลาดอาจดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและ Demand ในอสังหาริมทรัพย์อาจยังคงแข็งแกร่งในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเนื่องจากภาคส่วนต่าง ๆ ของเศรษฐกิจเริ่มมีการเปิดตัวมากขึ้น" Christine Sun หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษาของ OrangeTee & Tie กล่าว
ผลกำไรส่วนใหญ่ได้รับแรงหนุนจากมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตชานเมืองและอยู่นอกเขตสำคัญของประเทศ ซึ่งที่อยู่อาศัยในทั้ง 2 กลุ่มนี้ได้เห็น Demand ที่แข็งแกร่งหลังจากที่มีการยกเลิกการ Lockdown ในเดือนมิถุนายน
"มีการเติบโตของราคาที่สม่ำเสมอในย่านชานเมือง เนื่องจากมีการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในราคาที่สูงขึ้น นอกจากนี้เจ้าของบ้านที่อยู่อาศัยสาธารณะ (public housing) ก็กำลังได้รับกำไรจากการขายห้องชุดของพวกเขา ทำให้าสามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ส่วนตัวได้"
นอกจากนี้ มาตรการที่อนุญาตให้ผู้ซื้อบ้านสามารถเลื่อนการชำระคืนเงินกู้ และการยกเว้นค่าธรรมเนียมสำหรับบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีการยื่นขอขยายกำหนดเวลาแล้วเสร็จในโครงการของพวกเขา ยังช่วยสนับสนุนตลาดได้อย่างชัดเจน
ปัจจัยเหล่านี้ทำให้เจ้าของบ้านและนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไม่สามารถลดราคาลงอย่างมากเพื่อกระตุ้นยอดขายได้
"ตอนนี้เรากำลังมองเห็นขอบเขตของราคาบ้านที่จะสิ้นสุดในปีนี้อยู่ในช่วง + หรือ - 1% แต่เราคาดว่าราคาบ้านอาจเพิ่มขึ้นระหว่าง 0.5-1.5% เว้นแต่ว่าเศรษฐกิจจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่แย่ลงและราคาจะลดลงในไตรมาสที่ 4 ซึ่งอาจทำให้ตลาดอยู่ในแดนลบได้ แต่เรายังมองในแง่ดีว่าจะเห็นการเติบโตในไตรมาสที่ 4"
การกดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม และการติชมในเชิงสร้างสรรค์ของคุณ เป็นกำลังใจให้เราและเหล่าอาชีพนักเขียนทุกคนในการพัฒนาผลงานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป ขอเชิญทุกท่านร่วมสร้างสังคมการเรียนรู้ที่ดีด้วยกันกับเรา
World Maker
สามารถติดตาม World Maker ผ่านทาง Facebook ได้แล้ววันนี้ที่
อยากลงทุน อยากมีเงินเก็บอย่างจริงจัง แต่ไม่มีพื้นฐาน World Maker มีคอร์สเรียนดี ๆ มาแนะนำให้ครับ รายละเอียดคลิกเลย !!
โฆษณา