ก็เลยทำให้ปลายปี 2561
7-Eleven เปิดบริการ Food Delivery จนถึงสินค้าใช้ทั่วไป
ให้ลูกค้าสั่งอาหารและสินค้าอื่นๆ ผ่านทาง LINE Official
หรือแม้ลูกค้าคนไหนสนิทกับพนักงานก็โทรสั่งที่สาขาใกล้บ้าน
โดยหากสั่ง 100 บาทขึ้นไป ก็ไม่ต้องเสียค่าขนส่ง
ในเวลาเกือบ 2 ปี บริการ Delivery ของ 7-Eleven ก็โตระเบิด
ขยายสาขาครอบคลุมมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่..สิ่งที่แฝงมากับการเติบโตก็คือ “จุดอ่อน” ของการบริการในสาขา
เคยสังเกตบางไหม ในช่วงเวลาขายดี บางครั้งที่หน้าเคาน์เตอร์จ่ายเงิน
บางเครื่องกลับไร้พนักงาน ผลที่ตามมาก็คือ ลูกค้าต่อคิวยาวเหยียด
แล้วพนักงาน 7-Eleven หายไปไหน ?
สิ่งที่เราเห็นคุ้นตา ก็คือพนักงานกำลังหยิบเลือกอาหารและสินค้าให้ลูกค้า Delivery
หนักกว่านั้น ก็คือลูกค้าบางคนโทรมาสั่งโดยตรงกับพนักงานในสาขา
ให้ช่วยเลือกสินค้าที่ต้องการ และหากเป็นสินค้าอาหารก็ต้องนำไปอุ่น
จากนั้นก็ขับจักรยานหรือมอเตอร์ไซค์ไปส่งลูกค้าถึงที่บ้าน
จะเห็นว่าทุกขั้นตอน Delivery กินเวลาในการทำงานของพนักงาน 1 คนไปพอสมควร
อีกทั้งพนักงาน 7-Eleven ก็ยังมีสารพัดงานมากมายทั้ง ชงกาแฟขาย, รับส่งพัสดุ ฯลฯ
พอเรื่องเป็นแบบนี้ ก็เลยทำให้ลูกค้าที่มาซื้อสินค้าในสาขาเกิดความไม่พอใจ
ทั้งๆ ที่ตัวเองมาซื้อสินค้าในสาขากลับต้องรอคิวนานกว่าลูกค้าทาง Delivery
จริงอยู่แม้สุดท้ายลูกค้าก็ยังใช้บริการ 7-Eleven ด้วยความเป็นแบรนด์ที่คุ้นเคย
และมีสาขาที่ใกล้บ้าน แต่หากเรื่องนี้ถูกปล่อยทิ้งไว้
นานวันไปก็ย่อมส่งผลกระทบต่อ 7-Eleven
เรื่องนี้ก็เลยทำให้ 7-Eleven เคลื่อนไหวในช่วงปลายเดือนมีนาคม
ซึ่งเป็นช่วงล็อกดาวน์จากสถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19
ประกาศรับสมัครพนักงาน Delivery จำนวน 20,000 อัตราทั่วประเทศ
โดยตั้งเป้าหมายว่าในอนาคตอันใกล้ทุกสาขาจะต้องมีบริการ Delivery
เพียงแต่..จากวันนั้นถึงวันนี้ก็มีหลายสาขาที่ยังแก้ปัญหาเรื่องนี้ไม่ได้
พร้อมกับติดป้ายรับสมัครพนักงาน Delivery ในสาขาตัวเอง
อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องยอมรับว่า 7-Eleven ไม่ได้นิ่งเฉย
และก็พร้อมแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
เพียงแต่..สิ่งที่ยากก็คือการมีสาขาจำนวนมากอยู่ในมือที่ต้องเพิ่มบริการ Delivery
ก็อาจต้องใช้เวลาพอสมควรในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น โจทย์ท้าทายของ 7-Eleven
คือต้องรักษามาตรฐานบริการในสาขาให้ดีเหมือนเดิม
ในวันที่ตัวเองอยากเคาะประตูถึงหน้าบ้านลูกค้าทั่วประเทศ
Reference
รายงานประจำปี CPALL_2019
CPALL_Presentation Q2 2020