Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
•
ติดตาม
4 ต.ค. 2020 เวลา 21:44 • ปรัชญา
“ฝึกตายก่อนตาย”
ธรรมะรุ่งอรุณ ☀️
๕ ตุลาคม ๒๕๖๓
พวกเรามาฝึกตายก่อนตายกันดีกว่า หัดตายกันก่อนตาย ถ้าเราฝึกตายแล้วถึงเวลาตายจริงนี้เราจะสบาย เราจะไม่ทุกข์ไม่เดือดร้อน และในขณะที่เรามีชีวิตอยู่เราก็จะไม่ทุกข์ไม่วุ่นวายไปกับความตาย ไม่วุ่นวายไปกับความเป็นความตาย ถ้าเรารู้จักฝึกจิตใจให้ปล่อยวางร่างกายได้ ปล่อยวางให้ร่างกายมันเป็นไปตามเรื่องของมัน ในช่วงที่เราฝึกหัดนี้เราต้องอย่าไปแตะร่างกายเลย เช่นตอนนี้สมมุติเรานั่งสมาธิกันอยู่นี้ อย่าไปแตะร่างกายเลย ร่างกายจะเป็นอย่างไร ไม่ต้องไปขยับมัน ปล่อยมันเป็นไป มันจะคันตรงไหนก็ปล่อยมันคันไป มันจะเจ็บตรงไหนก็ปล่อยมันเจ็บไป แดดมันจะส่องเข้ามาทำให้มันร้อนก็ปล่อยให้มันร้อนไป ดูสิว่ามันจะตายไหม แล้วถ้ามันจะตายก็ห้ามมันไม่ได้อยู่ดี ก็ปล่อยให้มันตายไป ถ้าตายแบบนี้แล้วไปดีไปสบาย ไปนิพพานเลย ไปแบบไม่ต้องกลับมาเกิดมาแก่มาเจ็บมาตายกันอีกต่อไป
ดังนั้น การปล่อยวางร่างกายนี้เป็นสิ่งที่เราควรจะฝึกหัดกัน อย่าไปทำนุบำรุงมันมากจนเกินไป เอาตามเหตุตามผลตามมีตามเกิดก็พอ ฝึกหัดแบบพระ ที่พระพุทธเจ้าสอนให้พระปฏิบัติกัน อยู่กันแบบมักน้อยสันโดษ ยินดีตามมีตามเกิด ร่างกายนี้มันไม่ต้องมีอะไรมาก มีเพียงปัจจัย ๔ ก็พอแล้ว มีอาหาร มีเครื่องนุ่งห่ม มียารักษาโรค มีที่อยู่อาศัย แล้วก็ไม่ต้องเป็นแบบหรูหรา เป็นแบบที่มีราคาแพง บ้านก็ไม่ต้องเป็นปราสาทราชวัง บ้านเป็นกระต๊อบก็อยู่ได้เหมือนกัน คือบ้านก็มีไว้สำหรับหลบแดดหลบฝนเท่านั้น เรื่องอะไรต้องไปหาเงินมาแทบเป็นแทบตาย ต้องมาซื้อบ้านใหญ่โตเพื่อมาหลบแดดหลบฝน สู้เช่าบ้านเขาอยู่ดีกว่า ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยหาเงินหาทอง มาทุกข์กับการหาเงินหาทอง แล้วก็มาทุกข์กับการที่จะต้องมาห่วงสมบัติอีก มีบ้านก็ต้องห่วงบ้านอีก แต่ถ้าเช่าบ้านนี้มันก็ไม่ห่วงมาก บ้านมันไม่ใช่ของเรา เราเพียงแต่จ่ายค่าเช่าไป เท่านั้นเอง ให้คิดแบบนี้แล้วจิตใจของเราจะได้ไม่วุ่นวาย จิตใจของเราจะได้ไม่หวั่นไหว เราต้องรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีอยู่นี้ไม่มีอะไรเป็นของเราเลย เป็นของเราเพียงชั่วคราวเท่านั้น
พระพุทธเจ้าทรงบอก “อนัตตา” ไม่มีอะไรเป็นของเรา ไม่มีอะไรเราเป็นเจ้าของ ไม่มีตัวเราเสียด้วยซ้ำไป ตัวเราก็ไม่มี ตัวเรานี้เป็นเพียงความคิดเท่านั้นเอง ความคิดที่ไปคิดว่าเป็นเราขึ้นมา เท่านั้นเอง พอเวลาหยุดคิดแล้วตัวเรามันก็หายไปกับความคิด แต่พวกเราไม่เคยหยุดคิดกัน เราก็เลยคิดว่าไอ้ตัวเรานี้มีเป็นของจริงกัน แต่ถ้าเรามาฝึกสมาธิกัน มานั่งทำใจให้สงบ นั่งบริกรรมพุทโธพุทโธ อย่าไปคิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ เดี๋ยวใจหยุดคิด พอหยุดคิด คำว่าตัวตนมันก็หายไปจากความรู้สึกทันที ทีนี้ก็เหลือแต่ตัวรู้เท่านั้นเอง นั่นแหละคือตัวจริงของพวกเรา ก็คือตัวรู้ ตัวรู้ที่ตอนนี้ยังเป็นตัวหลงอยู่ หลงตามความคิด ความคิดบอกว่านี่เป็นตัวเรา ร่างกายนี้เป็นตัวเรา สมบัติชิ้นนี้เป็นของเรา คนนี้เป็นของเรา คนนี้เป็นแฟนเรา เป็นสามีเรา เป็นภรรยาเรา เป็นลูกเรา เป็นอะไรเรา พอคิดอย่างนี้ปั๊บมันก็ถูกหลอกแล้ว พระพุทธเจ้าจึงมาสอนบอกว่า ถึงแม้มันเป็นของเรา มันก็เป็นของเราแบบชั่วคราว เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรอยู่ไปได้ตลอด ร่างกายของเรา ร่างกายของแฟนเรา ร่างกายของลูกเรา ร่างกายของพ่อแม่เรา ของพี่น้องเรา มันเป็นของชั่วคราวเท่านั้น เดี๋ยวมันก็กลายเป็นอะไร กลายเป็นขี้เถ้าไปหมด ไปลอยอังคารกัน เคยไปลอยอังคารกันไหม เมื่อก่อนก็เป็นร่างกายเต็มรูปแบบเหมือนของเรา แต่พอมันหมดลมหายใจ มันก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นขี้เถ้าไปในที่สุด มันไม่มีอะไรเป็นของเราอย่างแท้จริง ถ้าเป็นของเราก็ให้เราคิดว่าเป็นของชั่วคราว เป็นของที่เรายืมมา ของทุกอย่างที่เรามีกันนี้เรายืมมาจากใครรู้ไหม เราก็ยืมมาจากธาตุ ๔ นั่นเอง ยืมมาจากธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วเดี๋ยววันหนึ่งเราก็ต้องคืนมัน ให้กับธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ไป นี่ของใช้ต่างๆ ส่วนใหญ่เอาไปคืน คืนที่ไหนรู้ไหม ที่กองขยะ กองขยะนี่เป็นที่รับของคืน ซื้อของอะไรมาต่างๆ พอใช้ไม่ได้แล้วเก็บไว้ในบ้านก็เกะกะ ก็เอาไปทิ้งกองขยะกัน แล้วเขาก็มาเก็บกองขยะไปฝังกลบในดินต่อไป ก็กลับคืนสู่ดินไป
ดังนั้น พยายามคิดถึงความจริงว่าไม่มีอะไรเป็นของเรา แล้วมันจะทำให้เรานี้ปล่อยวางได้ ไม่ไปยึดไม่ไปติด ถ้าเราไม่ไปยึดไปติดไม่ไปถือว่าเป็นของเรา ใจเราจะไม่ทุกข์กัน สังเกตดูสิ คนหรือสิ่งที่เราไม่ไปถือว่าเป็นเราเป็นของเรานี้ เราจะไม่ทุกข์กับเขา ชาวบ้านเขาจะเป็นจะตายนี่เราไม่ไปทุกข์กับเขา แต่คนไหนไปถือว่าเป็นของเราขึ้นมานี้ทุกข์ทันที พอแฟนเราไม่สบายทุกข์ขึ้นมาทันที พอลูกไม่สบายทุกข์ขึ้นมาทันที พอพ่อแม่ทุกข์ขึ้นมาก็ไม่สบายใจทันที แล้วไปทำอะไรได้หรือเปล่ากับความไม่สบายใจ ร่างกายของเขาก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายไปตามเรื่องของเขาอยู่ดี ร่างกายของเขาในที่สุดก็ต้องกลับคืนสู่ดิน น้ำ ลม ไฟไป ร่างกายของเราก็ต้องกลับคืนสู่ดิน น้ำ ลม ไฟไป ร่างกายของลูกของหลาน ของพี่ของน้องของเพื่อนของแฟน ก็ต้องกลับคืนสู่ดิน น้ำ ลม ไฟไปเหมือนกัน ให้คิดอย่างนี้แล้วใจเราจะไม่ทุกข์ เราจะมองทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกับเป็นของคนอื่น เป็นของเรายืมเขามาใช้ ถ้าเป็นของคนอื่นนี้เราไม่ค่อยทุกข์ ใช่ไหม เวลาเราไปยืมของใครเขามาใช้นี้ ถ้าเป็นของของคนอื่นนี้เราจะไม่ค่อยรักไม่ค่อยหวงไม่ค่อยห่วงเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นของเรานี้เราจะรักจะหวง เพราะมันจะมีความอยาก พออะไรเป็นของเราก็อยากให้เป็นของเราไปเรื่อยๆ ไม่อยากจะให้มันหมด ไม่อยากให้มันจากเราไป แต่เรามองความจริงแล้วเราก็จะเห็นว่าไม่มีอะไรที่จะไม่จากกัน เรามีการพลัดพรากจากกันเป็นธรรมดา
พระพุทธเจ้าทรงสอน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นของชั่วคราว มันอยู่แล้วเดี๋ยวมันก็ไป ทุกสิ่งทุกอย่างมาแล้วก็ไป เกิดแล้วก็ดับ ตั้งอยู่สักพัก เกิดขึ้นมา ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป พยายามมองทุกสิ่งทุกอย่างอย่างนั้น ทุกครั้งที่เราจะทุกข์กับใครกับเรื่องอะไร ให้คิดถึงคำว่าอนัตตานี้เถอะ ถ้าคิดได้แล้วเข้าใจความจริง เราจะไม่ทุกข์กับเขาทันที พอเราทุกข์กับคนนั้นคนนี้เขาบอกว่า เขาก็มีความสัมพันธ์กับเราชั่วคราว เท่านั้นเอง เขาเป็นของเราชั่วคราวเท่านั้นเอง เดี๋ยววันหนึ่งเขาก็ต้องจากเราไปแล้ว แล้วก็จากแบบจากเป็นก็ได้ จากตายก็ได้ ยังไม่ทันกลับไปเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ เลย บางทีก็จากเราไปก่อน บางทีมีภารกิจที่จะต้องเดินทางไกลไปอยู่ที่อื่น ก็ต้องมีการจากกันแล้ว ขอให้เราคิดอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ ว่า ไม่มีอะไรเป็นตัวเรา ไม่มีอะไรเป็นของเรา แล้วถ้าจะเสริมความคิดนี้ให้มันมีน้ำหนักก็ เราต้องมาฝึกทำสมาธิกันบ่อยๆ ฝึกทำจิตใจให้สงบ เพราะเวลาจิตใจสงบแล้วนี้ มันจะหยุดคิด พอหยุดคิดแล้ว ความรู้สึกว่ามีตัวเราของเราจะหายไปหมด แล้วมันจะเหลือแต่ตัวรู้เท่านั้นเอง เราถึงจะรู้ว่าตัวนี้แหละเป็นตัวเราที่แท้จริง คือตัวรู้ แต่เราจะไม่ไปถือว่าเป็นตัวเรา เพราะมันไม่ใช่เป็นตัวเรา มันเป็นตัวรู้ ต่อไปเราก็จะฝึกใจของเราให้สักแต่ว่ารู้อย่างเดียว เห็นอะไรก็สักแต่ว่ารู้ เห็นคนนั้นคนนี้ก็สักแต่ว่ารู้ รู้สมมุติ รู้ว่าเขาสมมุติว่าเขาเป็นแฟนเรา เขาเป็นเพื่อนเรา เป็นพี่เราเป็นน้องเรา เป็นพ่อเราเป็นแม่เรา ก็เป็นเพียงแต่สมมุติ ความจริงเขาก็เป็นดิน น้ำ ลม ไฟนี้เอง แล้วเดี๋ยวเขาก็จะกลับคืนสู่ดิน น้ำ ลม ไฟไป
ร่างกายของพวกเราทุกคนนี้เป็นการรวมตัวของดิน น้ำ ลม ไฟ พอมีดินแล้ว ลมไฟมาผสมกัน ก็เลยทำให้เกิดมีอาการ ๓๒ เหมือนกับต้นไม้นี่ พอมีดินมีน้ำมีลมมีไฟมารวมกัน ก็ทำให้เกิดต้นไม้ขึ้นมา ร่างกายก็เป็นเหมือนต้นไม้ ต่างตรงที่ร่างกายนี้มีผู้รู้หรือธาตุรู้มาครอบครอง จึงมีลักษณะที่พิเศษกว่าพวกต้นไม้ ต้นไม้นี้เขาไม่มีตัวรู้ เขาไม่รู้สึกอะไร ไปตัดต้นไม้ ต้นไม้ก็ไม่รู้สึกเจ็บ แต่ร่างกายของเรานี้มีตัวรู้ พอไปตัดแขนตัดขาของร่างกาย ไปถอนฟันนี่ ก็จะรู้ว่ามันเจ็บขึ้นมาเท่านั้นเอง แต่ความเจ็บก็ไม่ใช่ตัวรู้อีกนั่นแหละ ความเจ็บก็เป็นความเจ็บของร่างกาย เหมือนกับความเจ็บของต้นไม้ ร่างกายมันก็ไม่เดือดร้อน เวลาถอนฟันมันก็ไม่เดือดร้อน ผู้ที่เดือดร้อนก็คือตัวรู้ ตัวรู้ที่ถูกตัวหลงมาหลอกให้คิดว่าเป็นตัวเรานั่นเอง งั้นถ้าเรารู้ทันตัวหลง ตัวคิดที่ไปคิดว่าเป็นเรา ให้ไปคิดว่ามันเป็นเหมือนต้นไม้ มันมาจากดิน น้ำ ลม ไฟ ถึงแม้มันจะเจ็บเวลาที่มันถูกทิ่มถูกแทงก็ตาม แต่มันก็เจ็บที่ร่างกาย ไม่ใช่เจ็บที่ใจ ใจไม่ต้องไปเจ็บกับมัน ตอนนี้ใจของเรามันชอบไปเจ็บกับร่างกาย พอร่างกายเจ็บใจก็เจ็บไปด้วย เดือดร้อนไปด้วยเพราะใจไม่อยากให้มันเจ็บ ไม่อยากให้ร่างกายเจ็บนั่นเอง
แต่ถ้าเรามาฝึกฝนอบรมจิตใจของเราให้เฉยๆ ให้ปล่อยวาง ให้รู้เฉยๆ ให้รู้ว่าเวลาร่างกายเจ็บก็รู้ว่ามันเจ็บ แต่อย่าไปอยากให้มันไม่เจ็บ อย่าไปอยากให้มันหายเจ็บ อยากก็ไม่หายอยู่ดี มันเจ็บมันก็ต้องเจ็บ แต่ถ้าเราไม่มีความอยากให้มันหายเจ็บ เรารู้เฉยๆ ใจของเราก็จะไม่เจ็บ ใจของเราก็จะไม่ทุกข์ ตอนนี้ปัญหาของพวกเรานี้ ใจของเรานี้ทุกข์ไปกับทุกเรื่อง เรื่องที่เจ็บไม่เจ็บก็ทุกข์ เพียงแต่ร้อนนิดหนึ่งขึ้นมาก็ทุกข์แล้ว ก็เจ็บขึ้นมาแล้ว เพียงแต่เปียกขึ้นมานิดหนึ่งก็ทุกข์แล้ว เพราะมันอยากให้มันไม่เจ็บ อยากให้มันไม่เปียก งั้นเราต้องมาฝึกจิตใจของเราให้อยู่เฉยๆ ให้รู้เฉยๆ ด้วยการฝึกสมาธิ ถ้าเรามาฝึกสมาธิ พุทโธพุทโธนั่งเฉยๆ ปล่อยร่างกาย อย่าไปยุ่งกับร่างกายเวลานั่งสมาธิ ร่างกายจะคันตรงนั้นเจ็บตรงนี้ อยากจะกลืนน้ำลายหรืออะไรก็อย่าไปสนใจ ปล่อยมันไป น้ำลายมันจะไหลก็ให้มันไหลไป มันจะคันตรงไหนก็ปล่อยมันคันไป มันจะเจ็บตรงไหนก็เจ็บไป ใจของเราให้อยู่กับสติไปเรื่อยๆ ถ้าตอนนี้ฟังธรรมก็ใช้การฟังธรรมเป็นสติได้ ตั้งใจฟังไป อากาศมันจะร้อนบ้าง จะเย็นบ้าง ฝนจะตกลงมาบ้างก็ปล่อยมันตกไป เราก็ฟังเทศน์ฟังธรรมไป ถ้าไม่ไปสนใจกับเหตุการณ์ที่มากระทบกับร่างกาย ใจของเราก็จะเฉยได้ แล้วต่อไปใจของเราจะมีความแกร่ง จะไม่หวั่นไหวกับสิ่งต่างๆ ที่มากระทบกับทางร่างกาย นี่แหละคือการฝึกจิตของเราเพื่อระงับดับความทุกข์
ธรรมะหน้ากุฏิ
วันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๓
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
บันทึก
2
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย