7 ต.ค. 2020 เวลา 01:20 • การศึกษา
บางคนดื่มสุราเป็นอาจิณโดยมีเหตุผลอธิบายให้กับตนเอง ว่าเรามีฐานะการเงินมั่นคงดี เงินที่ไปซื้อเหล้าก็เงินของเรา ปากก็ของเรา ท้องก็ของเรา ดื่มไปแล้วไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน อย่างนี้จะผิดได้อย่างไร แต่ความจริงคือ... เขาทำผิดกฎแห่งกรรม
เมื่อกฎแห่งกรรมบัญญัติไว้ว่าผิด เราจะไปโวยวายว่าไม่ผิดนั้นไม่ได้ เหมือนเราไปโวยกฎหมายว่าไม่ยุติธรรม กฎหมายมีอยู่แม้เราจะคิดว่าเป็นกฎหมายที่ไม่ยุติธรรม แต่ถ้าเราไปทำผิดกฎหมาย ก็มีความผิดติดตัว กฎแห่งกรรมหนักยิ่งกว่ากฎหมาย เพราะแก้ ไม่ได้ กฎแห่งกรรมควบคุมสรรพสัตว์สรรพสิ่งทั้งหลายและคงอยู่อย่างนั้น
เมื่อสติหย่อนสำนึกจึงขาด
เมื่อดูในรายละเอียดแล้วจะพบว่า ถ้าเราดื่มเหล้าเข้าไป 1 แก้ว แม้ยังไม่รู้สึกว่าเมา แล้วไปขับรถ ตำรวจตรวจจับเป่าแอลกอฮอล์ด้วยเครื่องวัด ถึงเราจะยังพูดคุยรู้เรื่อง ไม่ได้เมาจนขาดสติตำรวจก็จับอยู่ดี เราไม่สามารถโต้แย้งว่าเราไม่เมาได้ เพราะทางการแพทย์มีผลพิสูจน์ออกมาแล้วว่า ขณะที่เราดื่มสุราเข้าไปแล้วรู้สึกเหมือนยังมีสติอยู่และพูดคุยรู้เรื่องนั้น แต่ความจริงสติได้หย่อนไปแล้ว
ยกตัวอย่าง คนทั่วไปถ้าขับรถแล้วมีตัวอะไรวิ่งตัดหน้า พอตามองเห็นสมองก็สั่งการจนกระทั่งเหยียบเบรก จะใช้ระยะเวลาไม่เกิน 0.7 วินาที แต่พอดื่มเหล้าเข้าไปแล้วการตัดสินใจจะช้าลง เมื่อแอลกอฮอล์เข้าสู่กระแสเลือดการตัดสินใจจะช้าลงทันที ส่งผลให้มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุสูง
ขณะที่เรารู้สึกว่าสมองสั่งการเป็นปกติดี ความจริงสติและความยับยั้งชั่งใจของเราลดลงไปแล้ว การควบคุมกาย วาจา ใจของเราหย่อนไปแล้ว และมีความเสี่ยงให้เกิดความเสียหายมากขึ้นกว่าเดิม
เปรียบเทียบว่าเรานั่งเล่นอยู่ริมบ่อซึ่งเป็นบ่อแห่งสติ เราโยนก้อนหินลงบ่อไปทีละก้อน ๆ เพราะชอบฟังเสียงหินกระทบน้ำรู้สึกว่าเสียงไพเราะดี
บ่อก็ของเรา อยู่ในบ้านเรา หินก็ของเรา มือก็ของเราจะขว้างหินลงบ่อก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย แต่ถึงน้ำในบ่อจะมีมากมาย ถ้าเราโยนหินลงไปเรื่อย ๆ อนาคตบ่อก็จะตื้นเขินขึ้นมาในที่สุด
บ่อแห่งสติของเราก็เหมือนกัน บอกว่าเงินก็ของเรา ปากก็ของเรา ท้องก็ของเราไม่เห็นเป็นอะไรเลย ดื่มเหล้ามึน ๆ เมา ๆ แล้วมันเพลินดี แต่ความจริงแล้วสติเราเหลือน้อยลง ๆ ทุกที วันใดวันหนึ่งเราอาจจะต้องมานั่งเสียใจภายหลัง เมื่อเราเผลอไปทำสิ่งผิดพลาดเพราะสติที่หย่อนลงไปนี้เอง
ดื่มสุราในหน้าที่
อาตมภาพเคยเจอเหตุการณ์หนึ่งตอนอยู่ที่ญี่ปุ่น ระหว่างนั่งรถไฟกลับจากเมืองโคฟุมาโตเกียว ได้ที่นั่งติดกับชายชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง พอนั่งไปสักพักเขาก็ชวนคุย
เขาถามว่าลองเดาสิว่าเขาอายุเท่าไร อาตมภาพมองดูแล้วตอบไปว่าประมาณ 40 ปี เขายิ้มแล้วบอกว่าเขาอายุ 55 ปีแล้ว ที่เขาถามอย่างนี้คงเพราะภูมิใจในตัวเองที่มีรูปร่างหน้าตาอ่อนกว่าวัย
อาตมภาพแปลกใจจึงถามกลับไปว่าเขาทำได้อย่างไร ก็ได้รับคำตอบกลับมาว่าเขาไม่ดื่มเหล้า เข้านอนหัวค่ำทุกวัน พอไม่ดื่มเหล้าก็ไม่เสียเวลาไปกับอีกหลาย ๆ เรื่อง แล้วก็ออกกำลังกายสม่ำเสมอ กินอาหารถูกสุขลักษณะ ผลก็เลยออกมาเป็นอย่างนี้
อาตมภาพอยู่ญี่ปุ่นมาสิบปี รู้ว่าคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ชอบดื่มเหล้ามาก พอเลิกงานจะต้องนัดกันไปดื่มเหล้าต่อทั้งหัวหน้าทั้งลูกน้อง
คนญี่ปุ่นต้องมีมารยาททางสังคมมากมายในที่ทำงาน พูดกันตรง ๆ ลำบาก เหมือนต้องสวมหน้ากากเข้าหากัน แต่พอเข้าร้านเหล้าก็ถอดหน้ากากออกได้ ลูกน้องกอดคอเจ้านายได้ สังสรรค์ร้านแรกเสร็จแล้วยังไม่พอไปต่อร้านสองร้านสามอีก ออกจากร้านนี้ ไปต่อร้านนั้น บางทีสี่ห้าทุ่มแล้วถึงจะหิ้วกระเป๋าทำงานเดินโซซัดโซเซขึ้นรถไฟกลับบ้าน ไปนั่งสัปหงกอยู่บนรถไฟกลิ่นเหล้าฟุ้งเลย
พอเห็นมาอย่างนี้ก็เลยถามเขาต่อไปว่า คนญี่ปุ่นต้องเข้าสังคมกับลูกค้า เข้าสังคมกับเพื่อนที่ทำงานด้วยการดื่มเหล้า แล้วเขาไม่ดื่มอย่างนี้จะเสียงานไหม เขาตอบว่าไม่เลยครับ ลำบากตอนแรก ๆ นิดเดียวเท่านั้น เพราะมีคนอื่นที่ยังไม่รู้ แต่พอเขารู้ว่าเราไม่ดื่ม แรก ๆ เขาอาจจะแปลกใจ แต่พอครั้งต่อ ๆ ไปเขารู้ว่าเราไม่ดื่มก็เลิกชวนกันไปเอง
กับลูกค้าก็เช่นกันพอเขารู้ว่าเราไม่ดื่มเหล้า แต่ว่าเราบริการเขาอย่างทุ่มเทเต็มที่ สุดท้ายก็พิสูจน์ได้ว่า สิ่งที่ลูกค้าต้องการที่สุดไม่ใช่การดื่มเหล้าร่วมกัน แต่คือการบริการที่ดีที่สุดต่างหาก เราส่งของที่มีคุณภาพ ตรงเวลา ให้การบริการอย่างดี นั่นคือสิ่งที่ลูกค้าต้องการมากที่สุด
กลับกลายเป็นว่าชายคนนี้เป็นคนที่มีผลงานในบริษัทดีเยี่ยม ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้บริหารเพราะมีผลงานดี เจริญก้าวหน้ายิ่งกว่าเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ในรุ่นเดียวกัน สุขภาพก็ดี การงานก็ดี ทุกคนให้การยอมรับ คำว่า “ยาก” มันยากตอนต้นเพราะเราคิดไปเอง แต่ถ้าเรากล้ายืนหยัดอยู่กับความดีก็จะประสบความสำเร็จได้ในที่สุด
ครอบครัวนักดื่ม
กรณีที่เรามีสมาชิกในครอบครัวไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือคู่ครองของเราเป็นคนติดสุรา เราจะต้องใช้ชีวิตอยู่กับเขา เราต้องหนักแน่นไม่ไปดื่มด้วย แล้วค่อย ๆ หาวิธีการชวนให้เขาเลิกดื่ม
ถ้ารักกันจริงก็ต้องชวนให้เขาเลิกดื่มเหล้าเมายาให้ได้ เพราะถ้าปล่อยให้เขาดื่มเหล้าแล้วจะเป็นวิบากกรรมให้ผลน่ากลัวมาก ถ้าไม่หาทางห้ามปล่อยให้เขาดื่มตามใจแสดงว่าไม่รักกันจริง เลิกได้ก็จะดีทั้งในชาตินี้และชาติหน้า คือ มีสุขภาพดี สติดี การงานก็ดีตามไปด้วย บุญส่งผล วิบากกรรมไม่มี จัดการทุกอย่างได้ราบรื่น พอละโลกไปแล้วก็ไม่ต้องตกไปในมหานรกขุม 5 ชื่อว่า “มหาโรรุวนรก” ซึ่งน่ากลัวมาก เป็นนรกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ครวญคราง
จุดเริ่มต้นของคนอยากเลิกเหล้า
สำหรับนักดื่มที่คิดอยากจะเลิกดื่มเหล้า ขอให้ตระหนักในโทษภัยของสุราอย่างชัดเจนว่าทั้งเสียทรัพย์ ทั้งเสียเพื่อน จะเหลือก็แต่เพื่อนขี้เมาที่จะพาเราไปในทางเสื่อม แต่ถ้าเราเลิกดื่มเหล้า
เมายาได้ เราก็จะมีแต่เพื่อนดี ๆ ที่จริงใจต่อกัน “เพื่อนคนไหน ชวนเราไปดื่ม แสดงว่าเพื่อนคนนั้นชวนเราไปเสื่อม”
สุราเป็นหนึ่งในอบายมุข “อบายมุข” แปลว่า “ทางแห่ง ความเสื่อม” เพื่อนที่พาเราไปสู่ทางแห่งความเสื่อมย่อมเป็นเพื่อนที่ไม่ดี คนที่ชวนเราไปดื่มเหล้าหรือให้เหล้ากับเรา แสดงว่าเขาคิดไม่ดีกับเรา อยากให้เราพบความเสื่อม
ถ้าเราชวนใครไปดื่มเหล้า แสดงว่าเราก็ไม่หวังดีกับเขาเช่นกัน ขาดสติจนไม่รู้ว่ากำลังจะพาเขาไปในทางเสื่อมไปตกเหวด้วยกัน จะนำไปสู่การเสียเกียรติยศชื่อเสียง ถูกวิพากษ์วิจารณ์ เสียหาย หมดความน่าเชื่อถือและสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง
ให้เราตระหนักถึงโทษที่ชัด ๆ จนเกิดอารมณ์อยากจะเลิกดื่มเหล้าจริง ๆ แล้วสร้างแรงบันดาลใจเพิ่มขึ้น อาจจะเริ่มต้นด้วยการงดเหล้าเข้าพรรษาสัก 3 เดือนก่อน
จุดประกายที่เคยคิดว่าจะเลิกเหล้ามาเป็นปีแล้วยังไม่ได้เลิกสักที ให้เริ่มที่พรรษานี้ กราบพระหน้าโต๊ะหมู่บูชาที่บ้านก็ได้ หน้าหิ้งพระก็ได้ หรือจะให้รู้สึกหนักแน่นขึ้นไปอีกก็ไปกราบพระภิกษุที่ตัวเราเคารพบูชา หรือตั้งจิตอธิษฐานต่อหน้าพระประธานในโบสถ์ กราบหลวงพ่อว่าเราตั้งใจจะเลิกเหล้าเข้าพรรษานี้ ถือว่าเป็นการ เริ่มต้นที่ดีเพื่อเพิ่มความตั้งใจให้หนักแน่นขึ้น
โดยในพรรษาหรือออกพรรษานี้ นอกจากเลิกเหล้าแล้ว ให้ตั้งใจสวดมนต์ นั่งสมาธิทุก ๆ คืนด้วย ตั้งใจทำบุญใส่บาตรทุก ๆ เช้า ถ้าไม่สะดวก ให้หากระปุกออมสินมาตั้งไว้ อธิษฐานจิตแล้วหยอดกระปุกทุกวัน วันละกี่บาทก็ได้แล้วแต่กำลังทรัพย์ พอถึงวันพระหรือวันอาทิตย์ก็ นำปัจจัยนั้นไปทำบุญที่วัด บุญที่เราทำความดีจะหนุนนำให้ความตั้งใจในการเลิกเหล้าของเราหนักแน่นขึ้นไปอีก
พอคิดจะเลิกดื่มเหล้าก็มักจะมีสิ่งท้าทายเข้ามา ทั้งเพื่อนรักทั้งผู้ใหญ่ที่เราเกรงใจมาชวนดื่ม ถ้าเราใจอ่อนไปดื่มความตั้งใจดี ก็จะเสีย ที่เคยตั้งใจไว้ดีแล้วก็เลิกรา ดังนั้นเราต้องใจแข็งบอกเขาตรง ๆ แต่นิ่มนวลและยิ้มแย้มว่า เราสัญญากับพระว่าจะเลิกเหล้า แล้วหมั่นตอกย้ำในการทำความดีทุกรูปแบบ ทั้งทาน ศีล ภาวนา ให้ครบถ้วนจะช่วยเสริมความตั้งใจของเราได้
พยายามคิดหากุศโลบายในการหลีกเลี่ยง ยกตัวอย่าง ถ้าเรารู้ว่าผู้ใหญ่ที่เราเคารพนับถือ ท่านเป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของเรามาก แต่ท่านชอบดื่มเหล้า เมื่อเราต้องไปพบท่านก็มีโอกาสสูง ที่ท่านจะยื่นแก้วเหล้าให้เรา เพราะฉะนั้น ต้องมีการวางแผนก่อนล่วงหน้า
โดยเราอาจจะชวนเพื่อนร่วมงานหรือคู่ชีวิตไปกราบผู้ใหญ่ที่เราเคารพนับถือ กราบเรียนท่านว่า หัวหน้าครับ... คุณพ่อครับ...
"ช่วงนี้ผมตั้งใจรักษาศีล 5 ให้บริสุทธิ์เต็มที่ เพื่อตั้งใจจะทำงานที่ท่านมอบหมายให้ดีที่สุด หรือดูแลลูกสาวของท่านให้ดีที่สุด เพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณของท่าน"
เหมือนกับเราไปกราบเรียนให้ท่านทราบก่อน พอรู้ก่อนแล้วว่าเรารักษาศีลต่อไปผู้ใหญ่ท่านนี้เขาจะได้ไม่ยื่นแก้วเหล้าให้เราอีก
ถ้าเราไม่บอกผู้ใหญ่ที่เราเคารพนับถือให้ทราบก่อน พอได้จังหวะเขายื่นแก้วเหล้าให้แล้วเราปฏิเสธ ก็อาจจะทำให้เขารู้สึกเสียหน้า รู้สึกว่าเป็นการไม่ให้เกียรติเขา แต่ถ้าเราหาโอกาสที่ เหมาะสมไปบอกกล่าวให้ผู้ใหญ่รู้ก่อนอย่างนี้เรื่องมันก็จบ
ถ้าใช้สติปัญญาวางแผน เราก็จะสามารถเลิกเหล้าได้สำเร็จ ขอให้ตระหนักว่าเหล้านั้นไม่ดี เมื่อเราตั้งใจหนักแน่นมั่นคงก็จะพบว่าสุดท้ายเราสามารถทำได้สำเร็จตามที่ตั้งใจ
สุรายาเมาเป็นโทษต่อชีวิตของมนุษย์มาก ถ้าใครหลวมตัวเข้าไปดื่มแล้วจะทำให้ขาดสติ มีโอกาสทำผิดศีลได้ทั้ง 5 ข้อ ขอให้ตั้งใจเลิกอย่างจริงจัง และให้กำลังใจกัน โดยเฉพาะคนในครอบครัว ครอบครัวจะได้ร่มเย็นเป็นสุข ช่วยเหลือเกื้อกูลกันเป็นครอบครัว ที่อบอุ่นต่อไป
เจริญพร
โฆษณา