10 ต.ค. 2020 เวลา 03:00 • นิยาย เรื่องสั้น
MovieTalk ภูมิใจเสนอ "บางบอกดิก 2" ตอนที่ 6
พ่อเลี้ยงสอน ดอยกาแฟ
สถานีตำรวจภูธรบางบอกดิก
เสียงเอะอะดังเซ็งแซ่ไปทั่วหน้าสถานีตำรวจภูธรบางบอกดิก มีบรรดาชาวบ้านมากมายมายืนชุนนุม
สถานีตำรวจภูธรบางบอกดิก
นายหัวกานต์พร้อมด้วยพวกของเต้ เบียร์วุ้นครบทีม พากันยกขบวนมาที่หน้าที่ทำการอำเภอบางบอกดิก
1
อีกสักพักก็มีรถเบ็นซ์วิ่งนำหน้ารถกระบะใหญ่แล่นเข้ามาจอด เสี่ยส่ง สุดขอบฟ้าลงมาจากรถเบนซ์ พร้อมกับคนของตนอีกกลุ่มหนึ่งลงมาจากรถกระบะใหญ่เดินมาสมทบกับกลุ่มนายหัวกานต์
 
อีกฟากหนึ่งแว่น เลี้ยงยาย, มหาอิ่มบุญ และเฮียหมู ท่ารถ ทั้งหมดแต่งกายด้วยชุดดำตามมายืนสังเกตการณ์อยู่ห่าง ๆ ในฐานะผู้สูญเสียคนที่ตนเองรัก
เถ้าแก่ส่ง สุดขอบฟ้า
กลุ่มของโจรป่าพยนต์ที่ปลอมตัวมาในแบบเดียวกับงานวัด นำโดยหนัง มิติ, แว่น มิติ, ชม ตำนาน, ผี ตะลุมพุก, บีด บรรเลง
เอก อวดของ พร้อมกับน้องสาว รกร ก็มายืนสังเกตการณ์ด้วยเช่นเดียวกัน ที่ยืนใกล้ ๆ กับรกรก็คือ อติ พบสุข
อีกฟากหนึ่งเห็นมาแต่ไกลคือ กำนันข้าวที่เดินมาพร้อมกับปิ๊ก และผู้กองวีกิจ หลิว ก่อนจะมาสมทบในกลุ่มของแว่น เลี้ยงยาย
เมื่อเห็นหน้ามหาอิ่ม กำนันข้าวก็ตรงเข้าไปจับมือ พลางถาม
“เป็นไงบ้างวะอิ่ม มีอะไรให้ข้าช่วยไหม?”
“ทำใจไม่ได้ว่ะ...” มหาอิ่มตอบ แล้วก็ร้องไห้ออกมา “ถึงข้ากับนังเหงี่ยมจะทะเลาะกันแค่ไหน ข้าก็ไม่เคยเกลียดชังมันเลย ยังไงมันก็เป็นลูกสาวของข้าเหมือนเดิม นี่ถ้าข้ารู้ล่วงหน้า...ข้าคงจะหาทาง...” มหาอิ่มพูดต่อไม่ออก ปล่อยน้ำตาไหลออกมาจนเฮียหมูต้องเข้ามากอดพ่อของตัว
“ป๊า...อาเหงี่ยมมันไปสบายแล้ว ไม่ต้องทุกข์ ป๊าอย่าทำแบบนี้ เหงี่ยมมันจะยิ่งมีห่วงนะ”
กำนันข้าวจับมือของเพื่อนจนแน่นไม่ได้พูดอะไร จนมหาอิ่มเริ่มสงบลง ปิ๊กกับวีกิจที่ยืนมองดูชายกลางคนผู้สูญเสียลูกสาวรู้สึกหดหู่ใจไปด้วย ปิ๊กมองไปที่พ่อข้าวของเธอ รู้สึกได้เลยว่าหลายวันมานี้พ่อข้าวดูแก่ลงไปกว่าเดิม คงเพราะทำใจไม่ได้กับการหายสาบสูญไปของปามที่ไม่รู้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร สภาพของแม่ฉัตรที่ซูบเซียวไม่กินไม่นอนเอาแต่นั่งซึม ไหนจะการตายของบรรดาลูกบ้านอีกจำนวนไม่น้อย พ่อข้าวต้องแบกรับทุกอย่างไว้ในฐานะกำนันของบางบอกดิก มันหนักหนา แต่พ่อข้าวก็ยังยิ้มสู้ได้เสมอ
พ่อข้าวเคยเล่าให้ปิ๊กและปามฟังตั้งแต่ยังเล็ก พ่อข้าวของเจริญรอยตาม “ในหลวง” ที่พระองค์ทรงตรากตรำพระวรกาย เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม พ่อข้าวในฐานะข้าของแผ่นดินคนหนึ่ง เป็นคนที่หลวงแต่งตั้งให้มาดูแลชาวบ้าน จึงควรยึดเอาพระองค์เป็นแบบอย่างเพื่อตอบแทนคุณแผ่นดิน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากเพียงใดก็ตาม
วีกิจ หลิวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ปิ๊กเอ่ยถามขึ้น
“ทำไมชาวบ้านถึงมาชุมนุมกันที่โรงพักมากขนาดนี้ครับ?”
“ได้ยินว่าจะมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับผู้ที่สูญเสียจากเหตุกราดยิงในงานวัดน่ะ” กำนันข้าวตอบ
“แล้วใครเป็นคนต้นคิดครับ?” วีกิจถามต่อ
เฮียหมูเป็นคนตอบว่า “ได้ยินที่ตลาดลือกันว่า...นายหัวกานต์กับเถ้าแก่ส่งเป็นคนกะเกณฑ์คนมานะ ไอ้คนที่โพนทะนาไปทั่วก็พวกของไอ้เต้ เบียร์วุ้นนั่นล่ะ”
แมน เมืองชลเดินมาพร้อมกับเพ็ญที่อุ้มลูกชาย และภาที่อุ้มลูกสาวเดินมาสมทบกับแว่น เลี้ยงยาย
แมน เมืองชล
พอแว่นหันมาเห็นแมนก็น้ำตาจนแมนต้องปลอบอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เอ็งตั้งใจจะทำอะไรต่อล่ะแว่น”
“หลังเสร็จงานศพพิ้งค์แล้ว ผมก็มีเรื่องอยากขอร้องพี่แมนครับ” แว่นมีสีหน้าจริงจังจนแมนตกใจ
“อะไรเหรอ? ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง พี่แมนคนนี้ยินดีช่วยเต็มที่” แมนตอบอกผางเป็นการยืนยัน
“ผมอยากให้พี่แมนสอนผมยิงปืน และวิชาหมัดมวยครับ” แว่นตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“หา!” แมนอุทานพร้อมกับย้อนถาม “เอ็งว่าอะไรนะ?”
“ผมอยากให้พี่แมนสอนยิงปืน และวิชาต่อสู้ครับ” แว่นย้ำอีกครั้ง
“เอ็งจะฝึกไปทำอะไรของเอ็งวะ?
แว่นประกาศอย่างแน่วแน่
“ผมจะล้างแค้นให้พิ้งค์และลูก ยังมี พี่เหงี่ยม พี่ติครับ ผมจะตามล่าไอ้เสือมุบ มันกับผมต้องตายกันไปข้างหนึ่ง”
แว่น เลี้ยงยาย
ทุกคนพากันตกใจที่เห็นหนุ่มสวมแว่นท่าทางซื่อ ๆ หงิม ๆ จะกลายเป็นอะไรที่ตรงข้ามแบบนี้ แต่เมื่อเห็นแววตาของแว่น หลายคนก็รู้สึกได้ความคลั่งแค้นที่อยู่ในใจของแว่น บางทีความรักก็สร้างคนให้เป็นคนดีกวาเดิม แต่ความแค้นทำให้คนดีกลายเป็นคนร้ายที่คาดไม่ถึงได้เช่นกัน
รถเบ็นซ์อีกคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอด คนที่ลงมาจากรถก็คือ พ่อเลี้ยงก้อม
พ่อเลี้ยงก้อม
ทันทีที่ลงจากรถ พ่อเลี้ยงก้อมก็กวาดสายตาไปรอบ ๆ กลุ่มใหญ่มีทั้งคู่แข่งการค้า ทั้งกานต์, เถ้าแก่ส่ง ไหนจะอดีตลูกน้องที่แปรพักตร์อย่างไอ้เต้และพวกอีก
พอมองไปอีกฟากหนึ่ง ก็เห็นคนกลุ่มใหญ่ มีทั้งอดีตเพื่อนรักเพื่อนแค้น กำนันข้าว-มหาอิ่มบุญ, อดีตลูกน้อง แมน เมืองชล พร้อมกับภรรยาและลูกทั้งสอง ยังมีลูกน้องที่จงรักภักดีอย่างแว่น เลี้ยงยาย เห็นหนุ่มลูกครึ่งจีน และลูกสาวกำนันข้าวที่ชื่อปิ๊ก
พ่อเลี้ยงก้อมเห็นหน้าปิ๊กทีไร ก็อดคิดไปถึง มายด์ ภรรยาที่จากไป เวลาที่ปิ๊กยิ้มมันช่างละม้ายคล้ายกับมายด์มาก ๆ ยังมีความรู้สึกบางอย่างที่ตัวพ่อเลี้ยงก้อมก็บอกไม่ถูกว่า ทำไมถึงพอเห็นปิ๊กแล้วก็จะคิดถึงพิมลูกสาวของตนเองด้วย
พอหันมามองด้านข้าง ๆ ก็เห็นพวกพ่อค้าขายสายไหม ลูกโป่ง วณิพก คนขายของมือสอง ยืนจับกลุ่มกันอยู่
พ่อเลี้ยงก้อมลังเลว่าตนเองควรจะไปยืนสมทบกับคนกลุ่มไหนดี มันเป็นสิ่งที่ยากจะตัดสินใจจริง ๆ
“ไอ้ก้อม!”
พ่อเลี้ยงสอน ดอยกาแฟ
เสียงหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลัง จนพ่อเลี้ยงก้อมต้องหันกลับไปตามเสียง และสิ่งที่เขาเห็นก็คือ
พ่อเลี้ยงสอน ชนแดน แห่งไร่ดอยกาแฟ ที่ยืนขนาบข้างด้วยลูกสาว ใบตอง ชนแดน ไอ้หนุ่มชื่อบี บางรัก ที่มีส่วนทำให้พิมต้องไปจากบางบอกดิก เด็กสาวท่าทางคล้ายทอมที่ชื่อโน่ บางรัก และข้าง ๆ ก็คือคนต่างถิ่นที่ชื่อ เสก ก้าวเล็ก กับเจ้าของห้องตัดเสื้อ เจี๊ยบ จริยา ที่หายไปก็คือ ใจดี ชนแดน ไม่อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย
พ่อเลี้ยงก้อมปั้นหน้าเครียดใส่พ่อเลี้ยงสอนที่เดินเข้ามาหาตนเอง
“ไงล่ะ เอ็งไปไม่เป็นเลยล่ะสิ” พ่อเลี้ยงสอนเอ่ยเหน็บ
“ไปไม่เป็นอะไรวะไอ้สอน” พ่อเลี้ยงก้อมย้อนน้ำเสียงหงุดหงิด
“อ้าว...ก็เอ็งไม่รู้ว่าควรจะไปยืนรวมกลุ่มฝั่งไหนดีใช่ไหม?” พ่อเลี้ยงสอนเหน็บกลับอีกดอก “ตอนนี้เอ็งคงเข้าใจความรู้สึกหัวเดียวกระเทียมลีบหรือพูดภาษาชาวบ้าน ‘หมาหัวเน่า’ แล้วล่ะสิ”
พ่อเลี้ยงสอนเหน็บเข้าให้อีกดอกใหญ่จนพ่อเลี้ยงก้อมสะอึก แต่ก็สำนึกได้ว่าที่พ่อเลี้ยงสอนพูดมามันคือความจริง แต่ด้วยศักดิ์ศรีที่เหลืออยู่น้อยนิดของพ่อเลี้ยงก้อม จึงตอบกลับ
“คนอย่างข้า ไม่จำเป็นต้องเข้าพวกไหน ไอ้ก้อมก็คือไอ้ก้อม ข้ามาคนเดียวได้ ไม่ต้องมากับสอน อิ่ม และข้าวหรอกวะ”
“มากับสอน อิ่ม ข้าว” พ่อเลี้ยงสอนทวนคำ “เอ...มันดูคุ้น ๆ เหมือนเคยได้ยินจากไหนหว่า?” หยุดนิดหนึ่งจึงพูดต่อพร้อมกับรอยยิ้ม “ช่างเถอะ...ข้าว่าเราก็ปูนนี้กันแล้ว อย่าแค้นกันไปเลยดีกว่า ยังไง ๆ ก็คนบ้านเดียวกัน”
พ่อเลี้ยงสอนยื่นไมตรีให้ พลางเอ่ยต่อ
“ยังไง ๆ เราก็คนไทยเหมือนกัน จะฆ่าจะแกงกันไปก็เลือดไทยทั้งนั้น แต่ที่น่าห่วงกว่าคือ เอ็งเห็นไหมไอ้ก้อม ทุกวันนี้บางบอกดิกไม่เหมือนเดิม”
“ไม่เหมือนยังไงวะ” พ่อเลี้ยงก้อมย้อนถาม
“เอ็งเห็นความเจริญเข้ามาอย่างรวดเร็วไหม เอ็งเห็นกระแสความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรึเปล่า?”
“ใช่” เสียงหนึ่งดังขึ้น “และเราก็ได้เห็นคนรุ่นใหม่แบบนายหัวกานต์ เห็นนายทุนที่คิดแต่ประโยชน์ส่วนตัวแบบเถ้าแก่ส่ง”
คนที่พูดสนับสนุนก็คือกำนันข้าวที่ปลีกตัวเข้ามาหากลุ่มของพ่อเลี้ยงสอน
กำนันข้าว
“เอ็งก็เห็นคนที่มีวาทะศิลป์ พูดจาดูดี น่าเชื่อถือ มีภาพลักษณ์ที่ดีอย่างนายหัวกานต์ มันก็คือไอ้คนหนุ่มที่สร้างภาพเพื่อหลอกชาวบ้านด้วยคำพูดสวยหรู ดูดี ยิ่งตอนนี้มันเตรียมลงเล่นการเมือง เอ็งคิดว่าถ้าคนอย่างนายหัวกานต์ได้รับเลือกเข้าไปในนั่งในสภาจะเป็นอย่างไร ในเมื่อเบื้องหลังมันคบคิดกับนายทุนต่างชาติ ทำผิดกฎหมายทุกอย่าง ถ้าอนาคตข้างหน้ามีคนแบบนายหัวกานต์เกิดขึ้นอีก ประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ในเมื่อสิ่งที่มันทำไม่ต่างจากคนไทยที่เป็นไส้ศึกเปิดประตูเมืองให้ข้าศึกต่างชาติเข้ามาตีดินแดนไทย” กำนันข้าวอธิบาย
“แต่เราก็ไม่มีหลักฐานอะไรไปเอาผิดมันได้ ตราบใดที่บ้านเมืองยังต้องว่ากันตามกฎหมาย” พ่อเลี้ยงสอนเอ่ย
พ่อเลี้ยงก้อมที่ยืนฟังนิ่งเงียบ ในใจก็ยอมรับว่า กานต์ บัญชี เป็นคนหนุ่มที่มีอิทธิพลมาแรงมาก มีต่างชาติสนับสนุนท่อน้ำเลี้ยง ความผิดต่าง ๆ ถ้าถูกจับ ก็หาแพะมารับบาปได้เสมอ ไม่เคยสาวไปถึงกานต์ หรือนายทุนต่างชาติได้เลย ยิ่งมีเถ้าแก่ส่งมาเป็นแบ็คอัพให้ ทั้งเกมการเมือง หรือธุรกิจหน้าฉาก ก็ล้วนแต่สนับสนุนกานต์ให้ขายชาติได้เต็มที่
“ข้ารู้นะว่าวันนี้เอ็งไม่ใช่พ่อเลี้ยงก้อมจอมอิทธิพลอีกแล้ว หลาย ๆ เรื่องที่เกิดขึ้นกับเอ็ง ทำให้เอ็งคิดตก สำหรับข้านะไอ้ก้อม ถึงเอ็งจะเคยใส่ความจนข้ากับไอ้อิ่มต้องติดคุก เพราะความละโมบของเอ็ง แต่ข้าอโหสิกรรมให้เอ็งได้ เพราะความแค้นมันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น มันมีสิ่งอื่นที่พวกเราควรปกป้องมากกว่า”
“อะไรวะไอ้ข้าว ที่พวกเราควรปกป้อง?” พ่อเลี้ยงก้อมย้อนถาม
“ชาติ...ศาสนา และ...” กำนันข้าวพนมมือขึ้นเหนือศีรษะ “พระมหากษัตริย์! เราเป็นคนไทยก็ต้องสำนึกในเสาหลักทั้งสามที่รวมชาติไทยเป็นปึกแผ่น เอ็งเข้าใจไหมไอ้ก้อม?”
พ่อเลี้ยงก้อมผงกศีรษะเห็นด้วยกับคำพูดของกำนันข้าว เช่นเดียวกับพ่อเลี้ยงสอน ในใจทั้งคู่รู้สึกฮึกเหิม อุ่นระอุไปด้วยเลือดรักชาติ
สามผู้ยิ่งใหญ่แห่งบางบอกดิกมองไปที่กลุ่มของนายหัวกานต์และเถ้าแก่ส่ง เหมือนจะมีความเห็นตรงกัน เรื่องของชาติต้องมาก่อนความบาดหมางใด ๆ ทั้งหมด
ไม่ว่าความเปลี่ยนแปลงใด ๆ จะเกิดขึ้น ความสามัคคีของคนในชาติ ย่อมเป็นสิ่งสำคัญ และเป็นดั่งกำแพงที่ปกป้องภัยร้ายจากต่างแดนที่แฝงเข้ามาในรูปแบบต่าง ๆ ที่หมายบ่อนทำลายชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์!
ตั้งแต่พ่อเลี้ยงก้อมเดินลงมาจากรถ จนกลุ่มพ่อเลี้ยงสอนและกำนันข้าวมารวมกลุ่มกัน อยู่ในสายตาของหนัง มิติ โดยตลอด เขาถือโอกาสตีเนียนเลียบ ๆ เคียง ๆ เข้าไปยืนป้วนเปี้ยนแถวนั้น จนได้ยินทุกคำพูดของกำนันข้าว มันทำให้หนัง มิติเกิดความกังขาขึ้นในใจ
“ผู้ชายแบบกำนันข้าวคือคนที่พวกเราควรล้างแค้นจริงหรือ?”
หนัง มิติ
หนัง มิติอดคิดไม่ได้ว่า สิ่งที่ภาพ เทวารักษ์ หรือ เสือมุบ รับรู้มากับข้อเท็จจริงมันเป็นเรื่องเดียวกันจริงหรือไม่ แล้วถ้าเราล้างแค้นคนบางคนเพราะความเข้าใจผิดจะเกิดอะไรขึ้น?
ในใจของหนัง มิติเต็มไปด้วยความกังขาและหนักใจ
....
โรงพยาบาลบางบอกดิก
โรงพยาบาลบางบอกดิก
ใจดีนั่งคอยเนิ๊ตอยู่ในร้านเจเจ๊มีตามสั่ง เขานั่งรอมาสองชั่วโมงแล้ว ใจดีได้แต่ดูดชาดำเย็นสลับกับชะเง้อมอง จนเจเจ๊ต้องแซว
“ชะเง้อขนาดนั้นคอจะเป็นยีราฟแล้วนะคุณใจดี”
“แหม...เจเจ๊แซวแรงเชียวครับ”
หลังจากคืนที่เกิดเรื่อง ใจดีก็รีบไปหาเนิ๊ตที่หอพักพยาบาล แต่ปรากฎว่าเนิ๊ตถูกเรียกเข้าเวรด่วน เนื่องจากมีผู้ป่วยจากเหตุกราดยิงเป็นจำนวนมาก ใจดีจึงไม่มีโอกาสได้พบเนิ๊ต
จนกระทั่งสายวันนี้ที่เขาติดรถพ่อเลี้ยงสอนมาลงที่โรงพยาบาล ก่อนที่พ่อเลี้ยงสอนจะเดินทางไปสังเกตการณ์ที่โรงพักบางบอกดิก
ใจดีมารอคอยอยู่ที่ร้าน เพราะเจเจ๊บอกว่าเนิ๊ตจะต้องมาแวะสั่งข้าวตอนก่อนเที่ยงอยู่แล้ว
ในที่สุดใจดีก็เห็นเนิ๊ตกำลังเดินตรงมาที่ร้าน เขารีบลุกจากโต๊ะปรี่เข้าไปหาเนิ๊ต
“เนิ๊ต เป็นไงบ้าง?””
“อ้าว...พี่ใจดี มานานรึยังคะ?” เนิ๊ตยิ้มพร้อมกับถามไถ่
“ก็เกือบสองชั่วโมงแล้ว” ใจดียิ้มตอบ
ทั้งสองเดินมานั่งที่โต๊ะในร้านเจเจ๊ เนิ๊ตตะโกนสั่ง
“เจเจ๊คะ เอาข้าวผัดกุ้งสองห่อนะคะ”
“อ้าว...ไม่ทานที่ร้านเหรอ?” ใจดีถามด้วยความสงสัย
“ไม่ได้หรอกพี่ใจดี เนิ๊ตต้องดูอาการของพี่เวทย์ค่ะ”
“ดูอาการ? ...พี่เวทย์?” ใจดีเริ่มเสียงแข็งด้วยความหงุดหงิด “ทำไมต้องไปดูอาการ ก็เขาเป็นหมออยู่แล้วนี่”
ใจดี ชนแดน
“อ้าว...พี่ใจดีไม่รู้เหรอคะ พี่เวทย์ถูกยิง กระทบกระเทือนประสาทตา ทำให้เขา...เอ่อ..กลายเป็นคนตาบอด...”
เนิ๊ตพูดได้เท่านี้ก็เงียบไป น้ำเสียงที่ตอบแฝงด้วยความเศร้า แต่ใจดีรู้สึกบางอย่างที่เขาเองก็บอกไม่ได้
“โรงพยาบาลเขาก็จัดให้มีพยาบาลดูแลอยู่แล้วนี่”
“พอดี...พี่เวทย์เขายังทำใจไม่ได้น่ะค่ะ เลยมีอาการหงุดหงิดเป็นพัก ๆ พยาบาลคนอื่นไม่กล้าเข้าใกล้ จะมีก็เนิ๊ตนี่ล่ะที่พอจะปรามเขาให้สงบได้”
“มันแกล้งทำเรียกร้องความสนใจมากกว่า” ใจดีเสียงแข็งอย่างเห็นได้ชัด ปกติเขาก็ไม่ได้ชอบหน้าหมอเวทย์อยู่แล้ว ยิ่งมาเกิดเรื่องแบบนี้ที่ทำให้เนิ๊ตใกล้ชิดกับหมอเวทย์มากขึ้น ใจดียิ่งไม่ชอบหมอเวทย์มากขึ้นไปอีก
“เอ๊ะ...ทำไมพี่ใจดีพูดแบบนี้ล่ะคะ” เนิ๊ตเริ่มชักสีหน้าเหมือนกัน “ตาบอดมันแกล้งกันได้ซะที่ไหนคะ พี่เริ่มพาลแล้วนะคะ”
“พี่ไม่ได้พาล แต่เขาเองก็เป็นหมอ ก็ควรจะรู้ว่าต้องวางตัวอย่างไร แบบนี้ก็ไม่ต่างเรียกร้องความเห็นใจนั่นล่ะ บอกตามตรงเลยว่าพี่ไม่ชอบ ไม่อยากให้เนิ๊ตไปดูแลเป็นพิเศษ”
“พี่ใจดีเริ่มไม่มีเหตุผลแล้วนะคะ” เนิ๊ตเริ่มหงุดหงิดบ้างแล้ว “พี่เวทย์เป็นหมอที่ดีนะคะ มีน้ำใจกับทุกคน ตั้งแต่เนิ๊ตเข้ามาเป็นพยาบาลที่นี่ ก็ได้พี่เวทย์คอยดูแลนี่ล่ะค่ะ ตอนนั้นพี่ใจดียังไม่ได้เข้ามาในชีวิตเนิ๊ตด้วยซ้ำไป”
“อ้าว...ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ” ใจดีเริ่มขึ้นเสียง
“ก็มันเรื่องจริงนี่คะ ยังไง ๆ เนิ๊ตก็ต้องดูแลพี่เวทย์ค่ะ พี่เวทย์เขาเป็นลูกกำพร้า ตัวคนเดียว ไม่มีพ่อแม่ญาติพี่น้อง เขามาตาบอดแบบนี้ ยิ่งลำบากใหญ่ เพราะเขาไม่มีใครเลย”
“นี่มิต้องไปดูแลมันตลอดชีวิตรึไง? แล้วพี่ล่ะ?” ใจดีย้อนถาม
“พี่ใจดีก็มีเหตุผลสิคะ เนิ๊ตก็คงต้องดูแลพี่เวทย์พักหนึ่งจนกว่าเขาจะประคับประคองดูแลตัวเองได้น่ะค่ะ”
ใจดีเงียบไปพักหนึ่ง เนิ๊ตเองก็เงียบ ความเงียบเกิดขึ้นกับทั้งสองคน จนกระทั่งเจเจ๊เอาถุงข้าวผัดมาส่งให้เนิ๊ต เนิ๊ตจ่ายเงินให้เจเจ๊เสร็จ ใจดีจึงเอ่ยประชด
“แล้วนี่สั่งสองห่อนี่เนิ๊ตจะไปนั่งทานนั่งป้อนหมอเวทย์ใช่ไหม?”
เนิ๊ตเงียบไม่ตอบ แต่เธอลุกขึ้นแล้วเดินฉับ ๆ ออกไปทันที ใจดีรีบเดินตาม พลางบอกว่า
“เนิ๊ต...เนิ๊ต...รอก่อน...”
แต่เนิ๊ตไม่สนใจที่จะทำตามที่ใจดีบอก ในใจเธอทั้งหงุดหงิด ทั้งโกรธใจดีที่ไม่มีเหตุผล
ใจดีรีบสาวเท้าไปยืนขวางเบื้องหน้าของเนิ๊ต พร้อมกับใช้สองมือจับไหล่ของเนิ๊ต สายตามองเขม็งไปที่เนิ๊ต เนิ๊ตก็มองตอบ ที่เธอเห็นตอนนี้คือแววตาขวาง เอาเรื่องแบบนักเลงของใจดี
ส่วนที่ใจดีมองเห็นในแววตาของเนิ๊ตคือความขุ่นมัว ไม่พอใจ และแฝงความกลัวในที แต่ใจดีเหมือนไม่รู้สึก ก่อนจะพูด
“ถ้าพี่จะให้เนิ๊ตลาออก แล้วไปทำงานที่ไร่ดอยกาแฟกับพี่ เนิ๊ตจะตกลงไหม?”
“ทำไมเนิ๊ตต้องไปทำงานที่ไร่กาแฟด้วยคะ?” เนิ๊ตย้อนถาม “เนิ๊ตเรียนพยาบาลมานะคะ มันเป็นงานที่เนิ๊ตรัก และเนิ๊ตชอบที่จะได้ดูแลคนป่วย”
“ดูแลคนป่วย?” ใจดีย้อน “ใช่สิ...โดยเฉพาะคนป่วยอย่างไอ้หมอเวทย์”
“เอ๊ะ...พี่ใจดี...อย่ามาพูดจาหยาบคายกับพี่เวทย์แบบนี้นะ”
“ขอโทษ...พ่อหมอเทวดา แตะต้องไม่ได้เลย” ใจดีประชดประชัน
“แบบนี้อย่าพูดกันดีกว่าค่ะ รอให้พี่ใจดีอารมณ์เย็นแล้วค่อยมาคุยกันใหม่ดีกว่า” เนิ๊ตตัดบทพร้อมกับสลัดตัวให้หลุดจากใจดี
พอเนิ๊ตก้าวเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ใจดีก็ประกาศถามไล่หลัง
“ถ้าพี่ยื่นคำขาดให้เนิ๊ตลาออก เนิ๊ตจะทำไหม?”
เนิ๊ตหันกลับมาจ้องเขม็งไปที่ใจดี สีหน้าเด็ดเดี่ยว “ไม่ทำค่ะ”
“เนิ๊ตจะเลือกใคร...พี่ใจดี หรือ ไอ้หมอเวทย์”
“ทำไมเนิ๊ตต้องเลือกด้วยคะ?” เนิ๊ตถามอย่างไม่พอใจ
“ก็ถ้าเนิ๊ตเลือกมัน เราก็จบกัน” ใจดียื่นคำขาด แต่ในใจก็รู้สึกใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขาไม่ควรพูดแบบนี้ มีแต่จะยิ่งแย่ แต่ในเมื่องพูดไปแล้วก็ต้องรักษาฟอร์มไว้ก่อน
เนิ๊ตยืนตัวสั่น ก้มหน้าไม่พูดอะไร สักพักก็เงยหน้าขึ้น
“งั้นเนิ๊ตก็มีเหตุผลพอที่จะเลือกค่ะ” เนิ๊ตสูดลมหายใจเฮือกหนึ่งก่อนตอบว่า
“เนิ๊ตเลือกพี่เวทย์ค่ะ!”
เนิ๊ต
พูดจบเนิ๊ตก็หันกลับ สาวเท้าอย่างเร็วก่อนจะกลายเป็นกึ่งเดินกึ่งวิ่งก่อนจะเลี้ยวเข้าไปในตึก
ใจดีใจหายวาบตัวชาวูบ หูอื้อ รู้สึกมึน เมื่อได้ยินคำตอบของเนิ๊ต เขารู้ดีว่าตนเองพลาดไปแล้ว ความใจร้อนของตนเองทำให้สถานการณ์ทุกอย่างดูแย่ลง ถึงตอนนี้พอรู้สึกตัว เนิ๊ตก็หายไปแล้ว
ใจดีได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้นทั้งว้าวุ่นใจ ทั้งเสียใจ ทั้งเจ็บใจ ทั้งโมโห เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นพักใหญ่ก่อนจะเดินคอตกออกไปจากโรงพยาบาล
เจเจ๊ยืนเกาหัวแกรก ๆ เพราะใจดียังไม่ได้จ่ายค่าชาดำเย็น ก่อนจะส่ายหัวแล้วหันกลับมาผัดหมูกระเทียมในกระทะต่อไป
....
ส่วนเนิ๊ตระหว่างที่เดินเข้าตึกเธอก็น้ำตาไหลออกมา เนิ๊ตเดินเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยพิเศษที่หมอเวทย์นอนพักอยู่ เธอวางถุงข้าวผัดก่อนจะหลบเข้าไปในห้องน้ำ
เนิ๊ตยืนมองตนเองเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาสะท้อนอยู่บนกระจกเงา เนิ๊ตยืนร้องไห้อยู่ตรงนั้น จนสักพักใหญ่ที่เธอได้ยินเสียงของหมอเวทย์เรียกหา เนิ๊ตจึงรีบเช็ดน้ำตา ส่องกระจกพยายามทำตัวให้ดูปกติ พลางคิดในใจ
“บ้าจริง...พี่เวทย์ตาบอด ยังไงก็ไม่เห็นเราร้องไห้อยู่ดี”
เมื่อเนิ๊ตออกมาเธอก็ยิ้มให้หมอเวทย์ พลางถาม
“พี่เวทย์จะทานข้าวผัดกุ้งเลยไหมคะ?”
“ทานสิ...เนิ๊ตทานด้วยไหม?” เวทย์ยิ้มมองมาทางเสียงที่เขาได้ยิน
“ทานสิคะ เนิ๊ตยังไม่ได้ทานอะไรเลย”
เนิ๊ตเทข้าวผัดใส่จานแล้วตักป้อนหมอเวทย์ทีละคำ ในใจก็ครุ่นคิดเรื่องทีเกิดขึ้นเมื่อครู่ หมอเวทย์ที่ทานข้าวไปเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ปกติ ท่าทีของเนิ๊ตไม่เหมือนทุกครั้งที่จะคุยไปด้วย ป้อนข้าวให้เขาไปด้วย หมอเวทย์จึงเอ่ยถามขึ้น
“เนิ๊ตเป็นอะไรรึเปล่า?”
เนิ๊ตเงียบไม่ได้ตอบ หมอเวทย์จึงถามซ้ำ “เนิ๊ตเป็นอะไรรึเปล่า? พี่สร้างความลำบากให้เนิ๊ตรึเปล่า?”
“เปล่าค่ะ ไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยนะคะ” เนิ๊ตรีบตอบ
“งั้นมีอะไรเกิดขึ้น เนิ๊ตไม่เหมือนทุกวันที่ป้อนข้าวพี่ ต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่ ๆ มีอะไรอยากจะเล่าไหม?”
เนิ๊ตเงียบอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเล่าให้หมอเวทย์ฟังว่าเธอมีปากเสียงกับใจดี เรื่องที่มาดูแลหมอเวทย์ แต่เนิ๊ตไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก เพราะเธอไม่อยากให้หมอเวทย์รู้สึกว่าตนเองเป็นต้นเหตุ
“เนิ๊ตไม่ต้องมาดูแลพี่ก็ได้นะ มันจะยิ่งทำให้คุณใจดีเขาเข้าใจผิด” หมอเวทย์ฝืนยิ้ม “ตอนนี้พี่ก็เริ่มปรับตัวกับโลกมืดได้แล้ว อีกสักพักก็คงกลับบ้านได้แล้วล่ะ”
“อย่าพูดแบบนั้นสิคะ” เนิ๊ตตอบ
“อย่าให้พี่รู้สึกผิดเลยนะ พี่ไม่อยากทำให้เนิ๊ตกับคุณใจดีต้องมาทะเลาะกัน รีบไปปรับความเข้าใจดีไหม พี่ไม่เป็นไรหรอก”
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่เวทย์สบายใจได้นะคะ อย่าคิดมากเลยนะ”
หมอเวทย์มองมาทางเนิ๊ต ในแววตาที่นิ่งเฉยมันแฝงความห่วงใยอยู่ในนั้นจนเนิ๊ตสัมผัสได้ หมอเวทย์เอ่ยถามอย่างนุ่มนวล
“เนิ๊ต...ไหวไหม?”
หมอเวทย์
เพียงประโยคนี้ เนิ๊ตก็ร้องไห้ออกมาก่อนจะโผเข้ากอดหมอเวทย์ ความเสียใจที่อัดอั้นอยู่ประดังขึ้นมาจนเนิ๊ตอยากร้องไห้
หมอเวทย์ตกใจ เขาโอบไหล่เนิ๊ตพร้อมกับตบไหล่เนิ๊ตเบา ๆ ในใจเต็มไปด้วยความห่วงใยพอ ๆ กับความปวดร้าว
แม้ตนเองจะรักเนิ๊ตมากแค่ไหน แต่หมอเวทย์ก็อยากเห็นเนิ๊ตมีความสุขกับคนที่เธอรักมากกว่า เขารู้ดีแก่ใจว่าในสายตาของเนิ๊ต เขาเป็นได้แค่พี่ชายของเนิ๊ตเท่านั้น จะคิดเกินเลยกว่านั้นก็ทำได้แค่เก็บไว้ในใจ
ทั้งสองไม่ได้พูดอะไร เนิ๊ตร้องไห้ในอ้อมกอดของหมอเวทย์ ส่วนหมอเวทย์ได้แต่ปล่อยให้เนิ๊ตร้องไห้ให้พอ
ความรักบางทีมันก็ไม่มีความลงตัว มันเกิดขึ้นแบบนั้นได้เสมอ รักสามเส้ายังไงก็ต้องมีคนเจ็บ
แต่ใครจะเจ็บมากกว่ากัน?
....
สถานีตำรวจภูธรบางบอกดิก
รถตำรวจชลอรถลงก่อนถึงโรงพักเพราะเห็นชาวบ้านกลุ่มใหญ่หน้าโรงพัก ตำรวจนายสิบที่ขับรถหยุดรถพลางหันมาถามด้านหลัง
“เอาไงดีครับสารวัตร?”
ที่เบาะหลังมีสารวัตรชอกับนายอำเภอธรรคนั่งอยู่ ทั้งสองสบตากันก่อนจะหันไปมองผู้กองต้าที่นั่งอยู่ด้านหน้า
นายอำเภอธรรคเอ่ยขึ้น
“ผมจะลงตรงนี้ดีกว่า อยากสังเกตอะไรบางอย่างก่อนจะเข้าไปในม็อบ”
“งั้นเดี๋ยวผมกับผู้กองต้าล่วงหน้าไปหยั่งเชิงก่อนนะครับ” สารวัตรชอรับคำ
นายอำเภอธรรคลงจากรถ และยืนตรงนั้นสายตากวาดมองไปรอบ ๆ บริเวณเพื่อสำรวจบรรดากลุ่มผู้ชุมนุม ก่อนที่สายตาจะมาสะดุดที่ปิ๊กซึ่งยืนอยู่ในกลุ่มใหญ่ เขาจึงตรงเข้าไปที่กลุ่มนั้น
นายอำเภอเดินไปหยุดยืนอยู่ด้านหลังของปิ๊ก ก่อนจะกระแอมพอให้สาวที่อยู่ข้างหน้าได้ยิน
ปิ๊กได้ยินเสียงคนกระแอมมาจากด้านหลังจึงเหลียวกลับไปดู เห็นผู้ชายที่เคยช่วยชีวิตเธอไว้ ยืนอยู่ด้านหลัง คราวนี้เขาแต่งกายในชุดข้าราชการเต็มยศ ปิ๊กยิ้มให้ด้วยสีหน้าดีใจ
นายอำเภอธรรค สยามประวัติ
“อ้าว...คุณธรรค...สวัสดีค่ะ แอบย่องมาข้างหลังเงียบ ๆ เลยนะคะ”
“สวัสดีครับคุณปิ๊ก เป็นไงบ้างครับ?”
นายอำเภอธรรคเอ่ยทัก หลังจากได้ช่วยปิ๊ก และพากันเดินลุยป่าหาปามเมื่อหลายวันก่อน ธรรคยอมรับเลยว่าภาพใบหน้าของปิ๊กวนเวียนอยู่ในความคิดของเขามาจนถึงวันนี้ ก็ยังคิดถึงอยู่
“ถ้าเรื่องสุขภาพกายก็ไม่ต้องห่วงค่ะ แต่...”
ปิ๊กไม่ได้พูดต่อ เพราะพอคิดถึงเรื่องปามก็อดเป็นห่วงไม่ได้
“ผมเข้าใจครับ” นายอำเภอธรรคยิ้มให้ เป็นยิ้มที่ดูอบอุ่น “คนดีพระคุ้มครองครับ อย่าเพิ่งคิดไปในทางร้าย ๆ เลย”
“ขอบคุณค่ะ” ปิ๊กยิ้มให้ธรรค และเหมือนที่เพิ่งสังเกตการแต่งกายของธรรค จึงเอ่ยถาม
ปิ๊ก
“นี่คุณธรรคเป็น...”
นายอำเภอธรรคยืนตรงอย่างเข้มแข็ง ก่อนจะตอบว่า
“ผมขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการนะครับ ผมชื่อ ธรรค สยามประวัติ เป็นนายอำเภอที่จะมาประจำที่อำเภอบางบอกดิกครับ”
ปิ๊กกับทุกคนพากันตกใจที่นายอำเภอคนแรกของบางบอกดิก มายืนอยู่ตรงหน้าของพวกเขา จะมีที่ไม่แปลกใจก็เห็นจะเป็น เสก ก้าวเล็ก ที่ยิ้มและทำพยักเพยิดให้นายอำเภอธรรค เพราะเจอกันตั้งแต่ตอนที่ประชุมลับแล้ว
“นายอำเภอ!” ปิ๊กอุทานแล้วรีบยกมือไหว้ จนนายอำเภอธรรคสะดุ้ง ต้องรีบรับไหว้
“ไม่ต้องไหว้หรอกครับ แหม...คนกันเอง”
“ไม่ได้หรอกค่ะ ท่านนายอำเภอ” ปิ๊กตอบสีหน้าจริงจัง แต่แอบอมยิ้มแถมตีหน้าทะเล้นใส่
ทั้งนายอำเภอธรรคและปิ๊กต่างหัวเราะให้กันอย่างสดใส
อากัปกริยาของปิ๊กที่แสดงออกกับนายอำเภอธรรคอยู่ในสายตาของวีกิจ มันทำให้เขารู้สึกบางอย่างขึ้น ที่แน่ ๆ คือ เขารู้สึกไม่ชอบขี้หน้านายอำเภอคนใหม่นี้เลย วีกิจตัดสินใจพูดสอดขึ้น
“สวัสดีครับนายอำเภอธรรค ผมชื่อวีกิจ หลิวครับ”
ธรรคสะดุดทันทีเมื่อได้ยินชื่อ “วีกิจ หลิว”
วีกิจ หลิว
เพราะเขารู้ดีว่ามีนายตำรวจสากลของอินเตอร์โพลที่ปลอมตัวเข้ามาในพื้นที่บางบอกดิก ชื่อที่ใช้คือ วีกิจ หลิว
วีกิจ หลิว ก็ทราบข้อมูลที่มีการแลกเปลี่ยนระหว่างหน่วยงานตำรวจสากลและตำรวจไทย ที่จะมีนายอำเภอชื่อธรรค สยามประวัติ มาประจำการที่นี่
ทั้งสองสบตากัน จะโดยบังเอิญหรือไม่ก็ตาม ตำแหน่งที่ปิ๊กยืนอยู่เวลานี้คือคั่นกลางระหว่างชายทั้งสองคน
วีกิจ หลิว รีบขยับเท้าก้าวไปยืนชิดด้านข้างของปิ๊ก เหมือนจะบอกด้วยภาษากายกับธรรคถึงสถานะของเขากับปิ๊ก
ธรรคเองก็ดูออกเมื่อเห็นวีกิจแสดงท่าทางแบบนั้น เขามีสีหน้าเรียบเฉยจนยากจะคาดเดาได้ว่ารู้สึกอย่างไร
เสียงเอะอะดังมาจากกลุ่มฝูงชนที่รวมตัวกันตรงหน้าโรงพัก มองเห็นแต่ไกลว่าสารวัตรชอกับผู้กองต้ากำลังถูกกดดัน
ธรรคพูดสั้น ๆ ด้วยสีหน้าจริงจัง
“ผมขอตัวก่อนนะครับ”
แล้วรีบสาวเท้าเดินไปทางกลุ่มฝูงชนนั้น โดยมีปิ๊กรีบเดินตามไปด้วยความเป็นห่วง และก็ทำให้วีกิจขมวดคิ้ว ส่ายศีรษะอย่างฉุนเฉียวก่อนจะเดินตามปิ๊กไปติด ๆ
เสก ก้าวเล็กและคนอื่น ๆ ก็พากันเดินตามไปสมทบด้วยเช่นกัน
เสียงดังลั่นมาจากในม็อบ เจ้าของเสียงคือนายหัวกานต์ บัญชี
“ตำรวจจะมีมาตรการอะไรให้พวกเราชาวบอกดิกเกิดความมั่นใจ”
กานต์ บัญชี
“คือ...” สารวัตรชอพูดได้คำเดียว แล้วก็หยุดพูด เพราะเขาไม่แน่ใจว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี
“ทุกคนก็เห็นว่า พวกโจรที่บุกกราดยิงในงานวัดคือ พวกโจรป่าพยนต์ของไอ้เสือมุบ แต่ผมอยากทราบว่า ทำไมผ่านมาหลายวันแล้ว ทางตำรวจยังไม่รีบออกตามไล่ล่าจับเป็นหรือจับตายพวกมันเลย”
พวกของหนัง มิติที่ปลอมตัวปะปนอยู่ในนั้นเพื่อเก็บข้อมูลอย่างใจจดจ่อ
“เรื่องนี้ทางเราไม่ได้นิ่งนอนใจ และกำลังตามแกะรอยคนร้ายอยู่ครับ” ในที่สุดสารวัตรชอก็พูดมากกว่าหนึ่งคำ “แต่ต้องให้เวลากับทางการด้วยครับ”
สารวัตรชอ ศรีสวัสดิ์
แค่ประโยคนี้ของสารวัตรขอก็ทำให้บรรดาชาวบ้านโวยวายขึ้นมา ซึ่งจริง ๆ แล้วคนที่ทำหน้าที่โหนกระแสก็คือพวกของเต้ เบียร์วุ้น จนทำให้บรรดาชาวบ้านที่เหลือพลอยมีอารมณ์ฉุนเฉียวตามไปด้วย
“ผมขอเสนอให้มีการตั้งรางวัลนำจับไอ้โจรเสือมุบครับ” เถ้าแก่ส่งตะโกนขึ้นทำให้ทุกคนเงียบเสียงลงทันที
กานต์ บัญชียิ้มนิด ๆ อย่างพอใจ พร้อมกับรับลูกจากเถ้าแก่ส่ง
“ผมขอสนับสนุนอีกหนึ่งเสียงครับ”
เถ้าแก่ส่งเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “ผมขอเสียสละทุนทรัพย์ส่วนตัว ตั้งรางวัลนับจับไอ้เสือมุบและพวก ถ้าจับเป็นให้ห้าแสน ถ้าจับตายให้หนึ่งล้านบาท”
“หนึ่งล้านบาท!” ทุกคนพากันตกใจกับจำนวนเงินที่มหาศาลขนาดนั้น มันเป็นจำนวนเงินที่ใช้ได้อย่างสุขสบายไปตลอดชีวิตเลย
“เดี๋ยว ๆ ครับ บ้านเมืองมีขื่อมีแปนะครับ จะมาตั้งรางวัลจับเป็น จับตายกันแบบนี้ไม่ได้นะครับ” สารวัตรชอเอ่ยขึ้น
“อ้าว...งั้นตำรวจจะปล่อยคนร้ายลอยนวลเหรอครับ หรือตำรวจมีเอี่ยวกับพวกโจร” เต้ เบียร์วุ้นถามด้วยน้ำเสียงยียวน
“แบบนี้เข้าข่ายดูหมิ่นเจ้าพนักงานนะครับ” ผู้กองต้าหันมาเสียงแข็งใส่เต้
“อ้าว...ก็ตำรวจมัวแต่ยักท่าอยู่นั่นล่ะ ไม่เห็นทำอะไรสักอย่าง จริงไหมพวกเรา” เต้ทำทีเป็นเยาะเย้ย โดยมีพวกของพิภพหัวล้านสนับสนุน พร้อมกับส่งเสียงโห่ฮิ้วเป่าปากใส่
ผู้กองต้า พาเพลิน
ศักดิ์ หยักศกที่ปากคีบบุหรี่ไว้ ทำทีเป็นเดินส่ายด้วยลีลากวนอวัยวะเบื้องล่าง พอเดินถึงตรงหน้าผู้กองต้าก็พ่นควันบุหรี่ใส่หน้าของผู้กองเต็ม ๆ จนผู้กองหนุ่มเริ่มจะเหลืออด
“ใจเย็น ๆ ครับทุก ๆ ท่าน” เสียงของธรรคดังสอดขึ้น
ทุก ๆ คนหันไปมองตามเจ้าของเสียง ที่พวกเขาเห็นคือ ชายหนุ่มที่แต่งกายในชุดข้าราชการเต็มยศ ท่าทีดูน่ายำเกรง กำลังเดินตรงเข้ามาในกลุ่ม
“ผมขอให้ทุก ๆ ท่านใจเย็น ๆ กันก่อนครับ”
ธรรคกวาดตามองไปที่ฝูงชน ก่อนจะสบสายตากับกานต์ บัญชี และ เถ้าแก่ส่ง ทั้งสองฝ่ายใช้สายตาแข็งกร้าวเข้าใส่กัน
เถ้าแก่ส่งปรายตามองพร้อมกับเอ่ยถาม “คุณเป็นใคร?”
“สวัสดีครับทุก ๆ ท่าน ผมคือ ธรรค สยามประวัติ นายอำเภอที่กรมการปกครองส่งมาประจำการที่นี่ครับ”
นายอำเภอธรรค สยามประวัติ
ทุกคนเงียบลง บรรดาชาวบ้านรีบยกมือไหว้ทันที ส่วนเถ้าแก่ส่งกับนายหัวกานต์ไม่ไหว้ แต่ทำทีเป็นยิ้มอย่างเป็นมิตร
“สวัสดีครับท่านนายอำเภอ ยินดีที่ได้รู้จัก ผมส่ง สุดขอบฟ้า ส่วนชายหนุ่มคนนี้ นายหัวกานต์ บัญชีครับ”
“สวัสดีครับ” ธรรคเอ่ยตอบ
“ท่านนายอำเภอเพิ่งมาถึงใหม่ ๆ ถ้ามีโอกาสผมอยากเรียนเชิญที่บ้านเพื่อต้อนรับท่านครับ” เถ้าแก่ส่งเอ่ยเชื้อเชิญ
“ขอบคุณสำหรับไมตรีจิตครับ” ธรรคตอบ “แต่ผมเป็นข้าของแผ่นดิน การจะให้ใครต้อนรับเป็นกรณีพิเศษเกรงว่าจะไม่เหมาะสมครับ ผมเองก็มีเงินเดือนหลวงให้เพียงพอที่จะดูแลตนเองได้อย่างพอเพียงครับ”
“พอเพียงมันจะไม่เพียงพอนะครับ” นายหัวกานต์เอ่ยขึ้น “ยิ่งระดับนายอำเภอยิ่งมีเรื่องต้องทำอีกเยอะนะครับ”
“คนอื่นอย่างไรไม่ทราบ สำหรับผม ความพอเพียงเป็นสิ่งที่ข้าราชการไทยสมควรมีกันทุกคนครับ เราดำเนินรอยตามในหลวงของเราที่ทรงวางรากฐานไว้แก่ข้าราชการไทยครับ ผมยกคงเจริญรอยตามคำสอนของพระองค์ที่ทรงให้ไว้..."
เครดิต: Hello Magazine
“แต่...” กานต์ บัญชีพยายามจะสอดแต่เถ้าแก่ส่งรีบกระตุกแขนไว้
“ไม่เป็นไรครับ เอาตามที่ท่านนายอำเภอเห็นสมควรดีกว่า” เถ้าแก่ส่งตัดบท “ว่าแต่เรื่องคดีอุกฉกรรจ์แบบนี้ ท่านนายอำเภอจะมีมาตรการอะไรให้พวกเราได้รับทราบบ้างครับ”
“ผมได้ปรึกษาหารือกับทางสารวัตรขอและตำรวจบางบอกดิกแล้ว เราจะส่งคนออกแกะรอยคนร้ายในทุก ๆ เบาะแสที่เป็นไปได้ครับ ไม่ว่าคนร้ายนั้นจะเป็นกลุ่มโจรเสือมุบป่าพยนต์ หรือ เป็นพวกกลุ่มมือสามที่ไม่หวังดีก็ตาม”
ธรรคพูดประโยคนี้จบพร้อมกับส่งสายตาเขม็งมาที่เถ้าแก่ส่งและกานต์บัญชี จนทั้งสองคนอึ้งไปชั่วครู่
“ผมจะต้องนำคนชั่วกลุ่มนี้มารับโทษอย่างแน่นอนครับ” ธรรคเอ่ยอย่างแข็งขัน “แต่ตอนนี้ขอให้ทุกท่านแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเองกันก่อน เราจะมีการแถลงการณ์ให้ทราบเป็นระยะ ๆ ถึงความคืบหน้าครับ”
“เมื่อท่านนายอำเภอให้คำมั่นแบบนี้ พวกเราก็แยกย้ายกันก่อนเถอะนะ”
เถ้าแก่ส่ง สุดขอบฟ้า
เถ้าแก่ส่งหันมาบอกกับฝูงชน ทำให้ทุกคนเริ่มทยอยกันสลายตัวไปในที่สุด จนในพื้นที่เหลือเพียงกลุ่มของหนัง มิติ กลุ่มของพ่อเลี้ยงสอนกำนันข้าวพ่อเลี้ยงก้อม กานต์และเถ้าแก่ส่ง และกลุ่มของธรรคกับตำรวจ
“โอกาสหน้าเราคงได้พบกันใหม่นะครับ” เถ้าแก่ส่งยิ้มเย็นชาให้ธรรค พลางผงกศีรษะก่อนจะเดินจากไป
ธรรคยืนมองดูเถ้าแก่ส่งและกานต์ขึ้นรถจนแล่นออกไปจากลานหน้าโรงพัก ก่อนจะหันมาที่สารวัตรชอ
“พวกเราขึ้นไปคุยกันข้างบนดีกว่า”
ธรรคหันมาทางปิ๊ก “ผมต้องขอตัวก่อนนะครับ คงได้พบกันใหม่นะครับคุณปิ๊ก”
“ค่ะ...ดูแลตัวเองนะคะ” ปิ๊กยิ้มตอบ
ธรรคสบสายตากับวีกิจแว่บหนึ่ง ก่อนจะเดินขึ้นบันไดโดยมีสารวัตรขอ และผู้กองต้าเดินตามขึ้นไป
กำนันข้าวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พ่อเลี้ยงก้อมเอ่ยขึ้น
“ไอ้ก้อม ข้ามีเรื่องจะคุยกับเอ็งตามลำพัง”
พ่อเลี้ยงก้อมมองหน้ากำนันข้าวอย่างสงสัย แต่เมื่อเห็นกำนันข้าวเดินนำหน้า จึงเดินตามไปอย่างสงสัย
ส่วนแว่น เลี้ยงยายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง นับตั้งแต่เข้ามารวมกลุ่มกับฝูงชน ตอนนี้แว่นรู้คำตอบแล้วว่าใครคือตัวช่วยให้เขาล้างแค้นเสือมุบได้สำเร็จ ใครที่จะช่วยให้เขามีโอกาสมากขึ้น
....
บ้านกำนันข้าว
บ้านกำนันข้าว
แม่ฉัตรนั่งอยู่ที่หน้าบ้าน หลายวันมานี้เธอได้แต่คิดถึงปามจนไม่เป็นอันทำอะไร
แม่ฉัตรหันไปมองรอบ ๆ บ้าน ที่มีแต่ความว่างเปล่า เพราะกำนันข้าวกับปิ๊กไปที่โรงพัก หลายวันมาแล้วที่ไม่ได้ข่าวคราวจากปามอีกเลย
แม่ฉัตรไม่อยากจมจ่อมอยู่กับความรู้สึกแบบนี้ เธอตัดสินใจเดินไปหยิบไม้กวาดทางมะพร้าวที่ใต้ต้นมะม่วง แล้วก็เริ่มต้นกวาดใบไม้ที่ร่วงเกลื่อนพื้นบ้านไปทั่ว เพราะหลายวันมานี้ไม่มีใครได้สนใจที่จะดูแลความเรียบร้อยในบ้านเลย ทางหนึ่งคือหาอะไรทำจะได้ไม่คิดฟุ้งซ่าน อีกทางหนึ่งคือบ้านจะได้ดูเรียบร้อยขึ้นมาบ้าง
แม่ฉัตร
ระหว่างที่กวาดอยู่นั้น แม่ฉัตรได้ยินเสียงรถสองแถวคันหนึ่งวิ่งมาจอดที่หน้าบ้าน และเคลื่อนออกไป แต่เธอไม่ได้สนใจอะไรและก็ยังคงง่วนอยู่กับการกวาดใบไม้แห้งนั้น กระทั่งเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังของเธอ
“แม่...”
แม่ฉัตรชะงักงัน ตัวสั่นชาวูบ มันเป็นเสียงใส ๆ ที่คุ้นเคยเป็นอย่างมาก เสียงที่ได้ยินแบบนี้มาเป็นสิบ ๆ ปี
เธอหันกลับไป ไม้กวาดในมือร่วงหล่นลงพื้น ในดวงตาของแม่ฉัตรมีน้ำตาเอ่อล้น เพราะภาพที่เห็นตรงหน้า
ปาม
ปามยืนอยู่ตรงหน้าของแม่ฉัตรในเวลานี้
และเบื้องหน้าของปามก็คือแม่ฉัตรที่เธอคิดถึงและอยากเจอมากที่สุด ใบหน้าของแม่ที่ซีดเซียว ขอบตาดำเหมือนคนอดนอน ปามรู้ในทันทีว่าแม่ฉัตรคงกังวลใจมากจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ในดวงตาของปามก็มีน้ำตาเอ่อคลอเพราะสงสารแม่
สองแม่ลูกโผเข้ากอดกันอย่างแนบแน่น ต่างฝ่ายก็ร้องห่มร้องไห้ มันเป็น้ำตาแห่งความดีใจ หลังจากผ่านช่วงเวลาที่อึมครึม หาความแน่นอนไม่เจอ นี่คือเวลาที่ดีที่สุดของทั้งแม่ฉัตรและปาม
แม่ฉัตรเอ่ยถาม
“ปาม...ปามเป็นไงบ้าง ปลอดภัยนะลูก”
“หนูปลอดภัยดีค่ะ แล้วแม่ล่ะคะ” ปามย้อนถาม
“แม่ปลอดภัย แต่แม่เป็นห่วงปามมาก ๆ เลย แม่สวดมนต์ทุกคืนขอให้ลูกสาวแม่ปลอดภัย และกลับมาหาแม่”
“ปามก็คิดถึงแม่มากค่ะ แต่ไม่รู้จะส่งข่าวอย่างไร?
“เกิดอะไรขึ้นล่ะลูก แล้วปามไปอยู่ที่ไหนมา พ่อข้าว ปิ๊ก และทุกคนพยายามตามหาปามแต่ไม่พบ”
“ปามถูกกระแสน้ำพัดพาไปถึงชายแดนลาวค่ะ มีคนที่หมู่บ้านชายแดนฝั่งลาวช่วยไว้ แต่ไม่รู้จะติดต่อแม่ได้อย่างไร กว่าจะมีรถกลับมาที่บอกดิกได้ก็หลายวันเลยค่ะ” ปามเล่า “แต่ที่กลับมาช้าเพราะต้องรอให้พี่สามล้อค่อยยังชั่วก่อนค่ะ”
“พี่สามล้อ?...เขาเป็นใคร?” แม่ฉัตรย้อนถาม
“พี่สามล้อคือคนที่ไปช่วยพี่ปิ๊กกับปามค่ะ แต่พอดีเราสองคนยังติดอยู่ในรถที่พวกคนร้ายจับตัวไป จนตกไปในลำธาร และถูกน้ำพัดพาไปจนถึงฝั่งลาวน่ะค่ะ”
“ตายจริง...แล้วตอนนี้พี่สามล้อเขาเป็นไงบ้างรึเปล่า?”
“พี่สามล้อได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะค่ะ เลยต้องรอให้เขาทุเลาก่อน หมออัฒที่ฝั่งลาวถึงได้ให้คนของเขาขับรถพามาส่งที่ด่าน และเราก็ต่อรถมาถึงที่นี่ค่ะ”
“โชคดี พระคุ้มครองนะ” แม่ฉัตรพูดขึ้น “แล้วพี่สามล้อล่ะ?”
“เขามาด้วยค่ะ ยืนรออยู่ที่หน้าบ้านค่ะ ไม่กล้าเข้ามา” ปามบอก
“อ้าว...แล้วกัน...รีบไปพาเขาเข้ามาสิ เดี๋ยวแม่ไปเอาน้ำลำใยมาให้เขาดื่มดีกว่า”
แม่ฉัตรพูดจบก็กระวีกระวาดเดินเข้าไปในบ้าน และเดินกลับออกมาอีกครั้งพร้อมกับถาดในมือ บนถาดมีแก้วน้ำใส่น้ำลำใยสามแก้ว
“มาแล้ว...มาแล้...”
ยังไม่ทันจะพูดจบเมื่อแม่ฉัตรเห็นพี่สามล้อที่ยืนอยู่ตรงหน้า เธอตัวชาวูบอีกครั้ง เสียงถาดในมือร่วงหล่นลงพื้น แก้วน้ำหล่นแตกกระจาย
ส่วนปามที่เห็นถาดในมือของแม่ร่วง เธอก็รีบปราดเข้าไปประคองแม่ พลางถามแม่ฉัตร
“แม่เป็นอะไรรึเปล่าคะ?”
ปามรู้สึกแปลกใจในอากัปกริยาของแม่
แม่ฉัตรดวงตาเบิกโพลงเหมือนกับเห็นผี ในแววตาเต็มไปด้วยความสงสัย ลังเล ตกใจ และดีใจ ในที่สุดเธอก็น้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง ใบหน้ามีรอยยิ้ม
ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน แต่เธอก็จดจำได้ดี แม้วันนี้ชายคนนี้จะอายุมากขึ้นแล้วก็ตาม แต่เค้าหน้าแบบที่เคยเห็นยังคงอยู่เสมอ ผู้ชายที่แม่ฉัตรได้ยินข่าวคราวครั้งสุดท้ายว่าเขาตายไประหว่างหลบหนีจากนรกตะรุเตา
ภาพ เทวารักษ์
“ภาพ...นั่นภาพจริง ๆ เหรอ?”
....
โปรดติดตามตอนต่อไป
คุยกันหลังกอง "บางบอกดิก 2"
เดินทางมาถึงตอนที่ 6 แล้วนะครับ
จะว่าไปในตอนนี้จะเป็นอีกตอนที่รวบรวมเอาตัวละครมารวมกันอยู่ในฉากโรงพักบางบอกดิก เรื่องราวตอนนี้จึงหนักไปทางบทสนทนา และอารมณ์ของตัวละครที่เกิดขึ้น
การรวมตัวของฝูงชนผ่านการปั่นกระแสของบางคน ก็เหมือนภาพสะท้อนในสังคมไทยที่มักมี "ไอ้แอบ" ที่มีพฤติกรรมแบบนี้ เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว โดยเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมมาเป็นเครื่องมือสนับสนุน
ในตอนนี้ผม "ขอเดินตามรอยพ่อ" ด้วยการสอดแทรกพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาประกอบเพื่อให้พวกเราได้ระลึกถึงสิ่งสำคัญที่สุดที่พ่อทิ้งไว้ให้เรา และพวกเราหลายคนอาจหลงลืมไป
"ความรู้รัก-สามัคคี"
เครดิต: Hello Magazine
ผมหวังอย่างยิ่งว่า คำสัญญาใด ๆ ที่เราเคยให้พ่อไว้ เรากลับไปทบทวนกัน และเรายังทำตามคำสัญญาเหล่านั้นอยู่รึเปล่า
เนื่องจากอีกไม่กี่วันจะครบรอบวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
ผมจึงขอเชิญชวนทุกท่านร่วมกันสวมเสื้อเหลืองในวันที่ 13 ตุลาคม และทบทวนคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับ "พ่อหลวง" ของเราครับ
ด้วยความเคาร
มูฟวี่
ขอบคุณที่มาภาพประกอบ: Google

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา