17 ต.ค. 2020 เวลา 03:00 • นิยาย เรื่องสั้น
MovieTalk ภูมิใจเสนอ "บางบอกดิก 2" ตอนที่ 7
บางบอกดิก 2 ตอนที่ 7
กำนันข้าวเดินนำหน้า โดยมีพ่อเลี้ยงก้อมเดินตามหลังมาติด ๆ
ฝ่ายหลังรู้สึกสงสัยเหลือเกินว่า อดีตเพื่อนรักที่เดินนำหน้าอยู่ต้องการจะคุยอะไรกับตนเอง
ฝ่ายหนึ่งเดินนำ ฝ่ายหนึ่งเดินตาม ไม่มีการพูดจาใด ๆ ระหว่างทาง กระทั่งเดินมาถึงศาลาริมคลองที่เงียบสงบ
เมื่อทรุดนั่งลง พ่อเลี้ยงก้อมกวาดตามองไปรอบ ๆ ภาพในอดีตค่อย ๆ ปรากฎขึ้น จนเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
ศาลาท่าน้ำ
ภาพของเด็กชายสามคนวิ่งไล่จับกันมาจนถึงท่าน้ำแห่งนี้ เด็กชายสามคนคือ สามเกลอเด็กวัด ไอ้ข้าว ไอ้ก้อม และ ไอ้อิ่ม
เด็กชายสามคนวิ่งไล่กันจนมาถึงศาลาริมคลองแห่งนี้
“หูยยย....ปลาโคตรชุมเลยว่ะ” ไอ้ข้าวเอ่ยขึ้น
“น่าจับไปทำปลาเผาหรือเอาไปขายก็ไม่เลวนะ” ไอ้ก้อมเสนอ
“อย่าเลย...มันบาป” ไอ้อิ่มปราม
“ไอ้อิ่ม เอ็งอยู่กับหลวงตามากไปแล้วนะ” ไอ้ก้อมเอ่ย “นี่ไม่ใช่เขตวัดนะโว๊ย...ใคร ๆ เขาก็จับกัน”
“ถึงไม่ใช่เขตวัดก็ไม่ควรจับ เราไม่ได้อดอยากขนาดนั้น” ไอ้ข้าวเอ่ยขึ้น
“อะไรวะ พวกเอ็ง เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยนะ” ไอ้ก้อมบ่น
“งั้นเรามาโหวตกัน เสียงข้างมากชนะ” ไอ้ข้าวเสนอ “ใครคิดว่าเราควรจะจับปลาที่ท่าน้ำนี้ยกมือขึ้น”
มีเพียงไอ้ก้อมที่ยกมือ แต่พอเห็นตนเองยกมืออยู่คนเดียวก็หน้าเสียขึ้นมาทันที พร้อมกับโวยวาย “พวกเอ็งเข้าข้างกันนี่หว่า”
“ข้าไม่ได้เข้าข้างไอ้อิ่ม แต่ข้าว่าเราไม่จำเป็นต้องทำอะไรที่มากเกินไป หลวงตาก็เลี้ยงดูเราอย่างดีไม่เคยอด อยากได้เงินเราก็ไปรับจ้างที่ตลาดก็ได้ แล้วเอ็งจะลงไปจับปลาตรงนี้ มันลึกกว่าตรงท้ายวัดนะ เดี๋ยวก็เกิดจมน้ำจะว่าไง ข้าไม่ลงไปช่วยนะ”
“เอ็งแน่ใจเหรอว่าจะไม่ลงไปช่วยข้า” ไอ้ก้อมย้อนถาม
“หรือเอ็งจะลองล่ะ” ไอ้อิ่มถามบ้าง “วัดใจไอ้ข้าวมันดูก็ได้”
เด็กสามมองหน้ากันไปมา ไอ้ก้อมชั่งใจครู่ใหญ่ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ข้าไม่เสี่ยงดีกว่า วัดใจแบบนี้ไม่คุ้มว่ะ”
“เอ็งไม่เสี่ยง หรือเอ็งกลัวจมน้ำตายมากกว่ามั้งไอ้ก้อม” ไอ้อิ่มหัวเราะลั่น
“ไอ้อิ่ม...เอ็งนี่วอนโดนเตะแล้ว” ไอ้ก้อมหน้าแดงก่ำด้วยความอาย แต่ก็แก้เก้อด้วยการวิ่งไล่เตะไอ้อิ่ม
เด็กสามวิ่งเตลิดออกไปอีกครั้ง ไอ้อิ่มวิ่งหนี โดยมีไอ้ก้อมวิ่งไล่ และมีไอ้ข้าววิ่งตามไป ห้ามไปตลอดทาง
พ่อเลี้ยงก้อมเหมือนเพิ่งรู้สึกตัวกลับมาสู่ปัจจุบัน ทั้งสองยังนั่งเงียบอยู่ตรงศาลาริมคลอง พ่อเลี้ยงก้อมสังเกตว่ากำนันข้าวมีสีหน้าหนักใจบางอย่าง จึงเอ่ยถามทำลายความเงียบ
“ถ้าตอนนั้น ถ้าข้าโดดลงไป แล้วข้าจมน้ำ เอ็งจะโดดลงไปช่วยไหม?”
กำนันข้าวหันมามองหน้า สายตาจ้องเขม็งไปที่พ่อเลี้ยงก้อม ในใจเขารู้คำตอบดี เด็กชายข้าวยังไงก็ต้องโดดลงไปช่วยเด็กชายก้อมอยู่ดี และเด็กชายทั้งสองคงจมน้ำตายไปพร้อม ๆ กัน ส่วนเด็กชายอิ่มมันคงตกใจ และก็รีบวิ่งไปตามคนมาช่วยมากกว่าจะโดดตามลงไป
แต่มาถึงวันนี้ที่ทั้งหมดผ่านเรื่องราวที่เต็มไปด้วยความรัก ความแค้น การทรยศ กำนันข้าวเองไม่แน่ใจว่าเขาจะเลือกตอบอย่างไร
เช่นเดียวกับพ่อเลี้ยงก้อม คำถามนี้เป็นการลองเชิงลองใจอีกฝ่าย ถ้าเป็นตอนนั้นเขาก็รู้คำตอบดีว่า ไอ้ข้าวจะโดดน้ำลงไปช่วย แต่เมื่อมาถึงวันนี้ สิ่งที่ตนเองทำไว้กับเพื่อนมันก็หนักหนาเกินกว่าจะให้อภัยกันได้ พ่อเลี้ยงก้อมเคยคิดว่าถ้ากลับกัน ตนเองโดยไอ้ข้าวทำแบบนี้ จนตนเองต้องติดคุก ก็คงแค้นจนถ้าออกจากคุกคงมีทวงแค้นฆ่ากันแน่ ๆ
กำนันข้าว
ในที่สุดกำนันข้าวก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ และเอ่ยขึ้น
“นับตั้งแต่เกิดเรื่องที่วัดหลายวันก่อนจนถึงวันนี้ ป่านนี้ข้าก็ยังไม่รู้ว่าไอ้ปามมันเป็นตายร้ายดีอย่างไร”
น้ำเสียงของกำนันข้าวเต็มไปด้วยความเศร้า ห่วงใยระคนสิ้นหวัง
พ่อเลี้ยงก้อมเองก็สัมผัสได้และก็เข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อที่ลูกสาวทั้งคนต้องมาห่างหายไกลตาอย่างนี้ เพราะตนเองก็รู้สึกไม่ต่างกันที่พิมหายไปเลย จนไม่รู้ว่าจะไปติดต่อที่ไหน กว่าจดหมายจะเดินทางจากอังกฤษมาถึงที่นี่ก็ใช้เวลาเป็นเดือน ๆ น่าจะมีคนคิดวิธีที่ทำให้คนเราที่อยู่ห่างไกลกันคนละซีกโลกติดต่อกันได้ในชั่วพริบตาบ้างนะ
“ข้าเข้าใจว่าเอ็งรู้สึกอย่างไร” พ่อเลี้ยงก้อมบอกจากใจจริง
สายตาคนทั้งสองมองกัน มันเป็นแววตาของเด็กชายข้าวกับเด็กชายก้อม ไม่ใช่ในฐานะกำนันข้าวกับพ่อเลี้ยงก้อม กำนันข้าวเอ่ยต่อ
“ข้าทบทวนมาหลายวันแล้ว ชีวิตคนเรามันหาความแน่นอนใด ๆ ไม่ได้ และข้าเองก็ไม่อยากเก็บมันไว้หรือให้มันตายไปกับข้า”
พ่อเลี้ยงก้อมรู้สึกฉงน “เอ็งกำลังจะพูดอะไรกันแน่วะ?”
“ไอ้ก้อม...เอ็งจำวันที่ประกวดร้องเพลงได้ไหม ที่นายแม่ไปเป็นกรรมการตัดสิน และก็มีมายไปด้วย”
พ่อเลี้ยงก้อมหน้าเสีย ความรู้สึกมากมายประดังเข้ามา ภาพเก่า ๆ กลับมาอีกครั้ง
คืนวันนั้น ที่โรงงานมีการจัดงานเลี้ยงใหญ่ประจำปี มีทั้งประกวดนางงามขวัญใจโรงงาน และการประกวดร้องเพลง นายแม่เป็นประธานในพิธีและกรรมการตัดสิน โดยมีมายที่พาลูกสาวคนเล็กไปด้วย
พ่อเลี้ยงก้อมคิดถึงตรงนี้ก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดใจ เนื่องจากนายแม่เริ่มระแคะระคายแล้วว่า สินค้าในโรงงานสูญหายไปบ่อย ๆ ซึ่งมันก็ถูกนำกลับมาขายใหม่ด้วยฝีมือไอ้เต้ เบียร์วุ้นที่ก้อมชุบเลี้ยงไว้
เต้ เบียร์วุ้นกับไอ้ศักดิ์ หยักศก แอบเข้าไปเผาโรงงานเพื่อจะทำลายหลักฐาน แต่ระหว่างนั้นมียามมาเจอเข้า ไอ้เต้เลยลงมือฆ่ายามคนนั้น และเผาโรงงานเป็นการกลบเกลื่อน
และก็วันนั้นพอดีกับที่ ไอ้ข้าวกับคุณหนูฉัตรแวะมาหานายแม่ หลังจากที่นายแม่ตัดขาดจากคุณหนูฉัตรไปหลายปี แต่ก็เพราะนายแม่เริ่มพบว่า ตัวการสำคัญที่ยักยอกสินค้าไม่ใช่ไอ้ข้าว เธอจึงใช้คนไม่ตามคุณหนูฉัตรและสามีก็คือไอ้ข้าวมาหาที่ห้องทำงาน
ในห้องทำงานมีนายแม่ มายที่กำลังอุ้มลูกสาวคนที่สอง คุณหนูฉัตร และไอ้ข้าว
นายแม่มองดูลูกสาวคนโตกับลูกเขย เธอรู้สึกเสียใจที่เคยทำผิดพลาดด้วยความหูเบา จนทำให้ลูกสาวต้องไปลำบากอยู่ที่ต่างจังหวัด
“ฉัตร..ลูกกับข้าวเป็นอย่างไรบ้าง ลำบากมากไหมไปอยู่ไกลขนาดนั้น แทบจะติดชายแดนแล้ว”
นายแม่
“ก็อยู่ได้ตามอัตภาพนะคะแม่ มันเป็นชีวิตที่สงบดี” ฉัตรเอ่ยขึ้น เธอยิ้มให้แม่เหมือนที่เคยเป็น
“แม่ขอโทษนะลูก...” นายแม่เอ่ย
“อย่าพูดแบบนั้นค่ะ” ฉัตรรีบห้ามปราม “นายแม่อย่าโทษตัวเองเลยค่ะ ฉัตรกับพี่ข้าวสุขสบายดี”
“แต่...” นายแม่เอ่ย
ข้าวรีบปรามอีกคน “นายแม่มีบุญคุณกับผมมากครับ ผมไม่เคยลืมพระคุณเลย ทุกอย่างมันย่อมมีเหตุให้เป็นไปครับ”
“แต่...เธอต้องมาติดคุกในสิ่งที่เธอไม่ได้ทำนะข้าว คนดี ๆ แบบเธอต้องมาหมดอนาคตเพราะความหูเบาของฉัน...”
ฉัตร กับ ข้าว
“มันเป็นกรรมเก่ามั้งครับนายแม่ แต่ผมก็โชคดีอย่างมากครับ ในหลวงท่านทรงโปรดเกล้าพระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ต้องขังจำนวนไม่น้อย ผมก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระองค์ ถึงได้ออกมาก่อนกำหนด ก็ตั้งใจว่าจะอุทิศตนทำประโยชน์ต่อส่วนรวม ให้สมกับที่ท่านทรงพระราชทานอิสรภาพให้กับผมครับ”
ข้าวพูดพลางหันไปมองพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงและพระราชินีที่แขวนอยู่ในห้องทำงานของนายแม่ พลางพนมมือยกมือขึ้นทูลเหนือศีรษะของตนเอง ใบหน้าฉายแววแห่งความรัก ศรัทธา และเทิดทูนต่อในหลวงอย่างสุดหัวใจ
“น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ผมจะไม่มีวันเนรคุณต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์เด็ดขาดครับ”
ในหลวง และ พระราชินี
นายแม่มองข้าวอย่างชื่นชม พร้อมกับเอ่ยว่า
“ตอนนี้ฉัน...เอ่อ...แม่เริ่มพบพิรุธบางอย่างในการสูญหายของสินค้าในโรงงานของเรา แม่อยากให้ฉัตรกับข้าวกลับมาทำงานที่นี่ และช่วยแม่อีกแรง เพราะตอนนี้แม่ไม่ไว้ใจ...”
“แม่ไม่ไว้ใจพี่ก้อม” มายโพล่งขึ้นระหว่างที่อุ้มลูกไปนอนในเปล
“อันที่จริงมายก็สงสัยมาพักหนึ่งแล้ว และที่สำคัญ...พี่ก้อมเคยหลุดปากตอนเมาว่า เขาวางแผนให้พี่ฉัตรกับพี่ภาพต้องเลิกกัน โดยมีมายเป็นคนที่ทำให้แผนของเขาสำเร็จ”
มาย กับ ยายหนู
มายไกวเปลไปเบา ๆ พร้อมกับเล่าต่อ
“เขาทำให้พี่ภาพหายไปจากชีวิตของทุกคน ซึ่งตอนแรกมายก็คิดว่าถ้าพี่ภาพกับพี่ฉัตรเลิกกัน มายคงสมหวังกับพี่ภาพ แต่...แต่ก็อย่างที่รู้กัน มายต้องท้องก่อนแต่ง และก็จำใจต้องแต่งงานกับพี่ก้อม จนตอนนี้มียายหนูคนเล็กนี่อีกคน”
ข้าวกับฉัตรมีสีหน้ากระอักกระอ่วนขึ้นมา สำหรับฉัตรเมื่อเธอทราบความจริงยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก เธอปฏิเสธไม่ได้ว่า การที่เธอสนิทสนมกับข้าวมากเกินไปจนกลายเป็นความรักนั้น มันมีส่วนทำร้าย และผลักไสให้ภาพต้องไปจากทุก ๆ คนด้วยความเจ็บช้ำ
ฉัตรมองเด็กสาวที่นอนหลับตาพริ้มอยู่ในเปล รู้สึกเอ็นดูอย่างบอกไม่ถูก เธอยิ้มให้เด็กสาวคนนั้น
“ยายหนูของป้า..คนโตชื่อพิม แล้วคนนี้ล่ะชื่ออะไร?” ฉัตรเอ่ยถาม
“ยังไม่ได้ตั้งเลยพี่ฉัตร นายแม่อยากให้พระท่านตั้งให้ เพื่อจะได้เป็นมงคล เลยเรียกยัยหนูไปก่อนน่ะ แต่ก็เริ่มจะติดปากกับชื่อยัยหนูแล้วสิ” มายพูดไปหัวเราะไป
“มายโตขึ้นมากเลยนะ พี่ดีใจที่เห็นมายเติบโตแบบนี้” ฉัตรยิ้มให้มาย
“แหม...พี่ฉัตรก็...ลูกสองแล้วนะ...ว่าแต่พี่เถอะ ตามไม่ทันแล้วนะ ป่านนี้ยังไม่มีเหรอ?”
แม่ฉัตรหน้าแดงก่ำ ในขณะที่ข้าวเอ่ยขึ้น
“ใครบอกล่ะครับ เดี๋ยวก็ตามทัน ตอนนี้ฉัตรก็กำลังมีน้องครับ”
“หา...จริงเหรอ?” นายแม่กับมายอุทานด้วยความดีใจ “กี่เดือนแล้ว?”
“สามเดือนแล้วค่ะ” ฉัตรตอบอย่างเขิน ๆ
เสียงกริ่งสัญญาณไฟไหม้ดังขึ้น มีคนวิ่งเข้ามา หน้าตาตื่นตกใจ
“นายแม่ครับ ไฟไหม้ที่โกดังท้ายโรงงานครับ”
“หา...” นายแม่อุทาน แล้วรีบผลุนผลันออกไป โดยมีมายรีบวิ่งตามไปด้วย โดยหันมาสั่ง
“พี่ฉัตรฝากยายหนูไว้ก่อนนะ เดี๋ยวมายรีบไปเป็นเพื่อนแม่ก่อน”
“งั้นผมไปด้วยคนครับ” ข้าวรีบอาสา และรีบวิ่งตามออกไปอีกคน
ฉัตรเองก็อยากจะตามไปด้วย แต่จนใจที่ต้องอยู่ดูแลหลานสาวแบเบาะคนนี้
ข้าวยังจำได้ว่านายแม่กับมายรีบเข้าไปในออฟฟิศที่ใกล้กับโกดังที่ไฟไหม้เพื่อจะเข้าไปเอาหลักฐานบางอย่าง แต่สุดท้ายคานโรงงานถล่มลงมานายแม่ติดอยู่ในห้องทำงานนั้น ส่วนมายแม้ออกมาได้แต่เธอก็เจ็บสาหัส
มายจับมือของข้าวไว้ เธอรู้ดีว่านี่คือเฮือกสุดท้ายของเธอ
“พี่ข้าว... ที่ไฟไห้มวันนี้ก็คงเป็นฝีมือพี่ก้อมที่ต้องการทำลายหลักฐานแน่ ๆ “ มายพูดติด ๆ ขัด ๆ เธอเหนื่อยจนแทบจะไม่ไหวแล้ว แต่ก็ฝืนพูดต่อ “นายแม่ก็ต้องมา... เพราะฝีมือมันคนเดียว... พี่ข้าวมายฝากยัยหนูกับพี่ด้วยนะ.. อย่าให้เธอไปอยู่กับพี่ก้อม เดี๋ยวเธอจะเสียคน...”
“แต่...” ข้าวลังเลใจ
“รับปากมายเถอะ มายไม่ไหวแล้ว...”
ข้าวมองหน้ามาย เห็นแววตาสุดท้ายของเธอ เขาผงกศรีษะ
มายยิ้มและมือของเธอที่จับมือของข้าวไว้ร่วงหล่นลง ลมหายใจสุดท้ายสิ้นสุดลง ดวงตาหลับพริ้ม
ข้าวจำได้ดีว่า เขารีบกลับมาและพาฉัตรที่อุ้มยัยหนูออกไปจากโรงงาน ตอนนั้นเขาแกล้งบอกแม่ฉัตรว่านายแม่กับมายให้พาหลานออกไปก่อน จนพ้นออกมาแล้วข้าวถึงบอกความจริง ฉัตรเสียใจมาก และโกรธข้าวไปหลายวัน
หลังจากข้าวกับฉัตรออกไปไม่นานนัก ก้อมก็ขับรถเข้ามาในโรงงาน
เขาหน้าเสียที่ทุกอย่างมันเตลิดไปไกลมากกว่าที่คิด และที่ทำให้ก้อมหัวใจสลายคือ มายและนายแม่ที่ต้องมาจบชีวิตไปด้วย และลูกสาวที่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร แต่เชื่อว่าคงถูกไฟครอกตายไปแล้ว
ก้อมถึงกับเข่าทรุด เขานั่งร้องไห้เหมือนคนบ้าอยู่ตรงนั้น ร้องไห้ไปตีอกชกหัวตัวเองไป จนหลายคนต้องเข้ามาปลอบ
ก้อมกลับมาบ้านและกอดพิมไว้แน่น เขาสัญญากับตัวเองว่า จะทำทุกอย่างเพื่อให้พิมมีความสุข
นายแม่ที่ยังไม่ทันแก้ไขพินัยกรรม ทรัพย์สินทุกอย่างตกเป็นของมายและหลานพิม ทำให้ก้อมได้มรดกทั้งหมดมาครอบครองเพียงคนเดียว โดยที่คุณหนูฉัตรไม่ได้อะไรสักอย่างเลย และนั่นทำให้ก้อมก้าวเข้าสู่โลกแห่งอิทธิพลอย่างเต็มตัว จนในที่สุดเขาก็กลายเป็น “พ่อเลี้ยงก้อม” ชายผู้มากบารมีและอิทธิพลแห่งบางบอกดิก
พ่อเลี้ยงก้อมหันมามองหน้ากำนันข้าวด้วยสายตาที่เจ็บปวดรวดร้าว
“เอ็งจะรื้อฟื้นเรื่องนี้ขึ้นมาทำไมวะ?”
“เพราะข้าไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบที่ข้าต้องเจอกับปามไง”
กำนันข้าวมองหน้าพ่อเลี้ยงก้อมด้วยสีหน้าจริงจัง
“ไอ้ก้อม...ยัยหนูลูกสาวคนเล็กของเอ็งยังไม่ตาย...เธอคือ ปิ๊ก!”
พ่อเลี้ยงก้อมตกใจ สีหน้าซีดเผือด หลาย ๆ ความรู้สึกประดังเข้าใส่ ที่แน่ ๆ เขาไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
พ่อเลี้ยงก้อม
....
“ภาพ...นั่นภาพจริง ๆ เหรอ?”
ผู้ชายตรงหน้าแม่ฉัตรยืนขมวดคิ้ว ความรู้สึกของเขาเมื่อเห็นหน้าหญิงสาวคนนี้รู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก มันมีความรู้สึกบางอย่างที่ตนเองก็บอกไม่ได้ มันเต็มตื้นในใจเป็นอย่างมาก อยู่ดี ๆ น้ำตาเขาก็ไหลออกมา
“ภาพ?” ปามทวนคำ เธอรู้สึกคุ้นชื่อนี้มาก แล้วเธอก็นึกขึ้นได้ “ภาพ...ภาพ เทวารักษ์เหรอคะ?”
“ใช่จ้ะ...” แม่ฉัตรหันมาเอ่ยกับปาม “พี่สามล้อของปามก็คือภาพ เทวารักษ์”
“จะใช่เหรอแม่?” ปามขมวดคิ้วไปอีกคน “ก็เขาตายไปแล้วนี่คะ แม่เคยเล่าว่าเรือที่เขาหนีจากคุกตะรุเตามันอัปปาง แล้วนี่พี่สามล้อเขาจะใช่คนเดียวกับภาพ เทวารักษ์เหรอ” ปามเหมือนไม่แน่ใจนัก
“ภาพ” ชายคนนั้นทวนคำ “ผมชื่อภาพเหรอ?”
ภาพ เทวารักษ์
แม่ฉัตรยิ่งงงหนักกว่าอีก ปามเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น
“ระหว่างช่วยปาม เขาเกิดอุบัติเหตุทำให้ความจำเสื่อมค่ะ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเป็นใครค่ะ”
“ตายจริง” แม่ฉัตรตกใจ
หลังจากนั่งคุยกันพักหนึ่ง แม่ฉัตรก็แน่แก่ใจว่าชายตรงหน้าคือ ภาพ เทวารักษ์ ที่ความจำเสื่อมจริง ๆ มันทำให้เธอไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่า ที่ผ่านมาหลังจากหายสาบสูญ ภาพไปอยู่ที่ไหน ทำอะไร และทำไมถึงกลายมาเป็นคนถีบสามล้ออยู่ที่ท่ารถบางบอกดิกได้ แต่มันก็ทำให้แม่ฉัตรรู้สึกดีใจที่ภาพยังมีชีวิตอยู่ และคือคนที่ช่วยชีวิตลูกสาวของเธอไว้
ส่วนปามกลับมีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้น เธอไม่ชอบอย่างมากที่แม่ดูสนิทสนมกับพี่สามล้อ และการที่พี่สามล้อกลายเป็นคนรักเก่าของแม่ ปามอดคิดไปถึงพ่อข้าวจะมีอาการอย่างไรเมื่อได้เจอกับสถานการณ์นี้ ไหนจะพี่ปิ๊กอีก เพราะพี่ปิ๊กไม่เคยล่วงรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย
ปาม
สำหรับพี่สามล้อ หรือ ภาพ เทวารักษ์ เขาได้นั่งงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็รู้สึกได้ถึงความสนิทสนมเป็นพิเศษกับแม่ฉัตร ในขณะเดียวกันเขาก็สัมผัสได้ถึงความกังวลของหญิงสาวที่อยู่กับเขา และร่วมเดินทางมาจากหมู่บ้านในลาวมาจนถึงที่นี่ แต่ที่มากไปกว่านั้นคือ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าจะทำอย่างไรต่อไป อนาคตช่างดูมืดมนเหลือเกิน
ชีวิตมักมีเรื่องยอกย้อนเกินคาดเดาเกิดขึ้นได้เสมอ
....
บ้านของกานต์ บัญชี
บ้านนายหัวกานต์ บัญชี
มันเป็นบ้านที่ดูเรียบง่าย ภายในบ้านแทบไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรมากไปกว่า มีโต๊ะทานข้าวกับเก้าอี้อีกสี่ตัว ชั้นบนมีห้องเปล่า ๆ สองห้อง และห้องที่ตนเองใช้นอน ในนั้นมีเตียงนอนที่ผ้าปูเตียงตึงเปรี๊ยะ ไม่ต่างจากที่นอนในโรงแรม เฟอร์นิเจอร์อีกชิ้นคือตู้เสื้อผ้าที่ภายในแขวนเสื้อผ้าเชิร์ตสีขาวแขนยาวไว้อย่างเป็นระเบียบประมาณสิบตัว และกางเกงที่พาดอยู่บนราวในตู้อีกห้าตัว
อ๊อด พากินที่นั่งอยู่ในห้องรับแขกของบ้าน ที่มีเพียงโซฟานวมตัวยาวหนึ่งตัว ตรงหน้ามีทีวีธานินทร์ขนาด14 นิ้ว 1 เครื่อง
“นี่นายหัวกานต์ไม่คิดจะมีเฟอร์นิเจอร์อะไรบ้างเลยเหรอ?” อ๊อดเอ่ยถาม
“มีไปทำไมล่ะพี่อ๊อด เท่านี้ก็พอแล้ว” กานต์ตอบ
“เรียบง่ายดีเนอะ” อ๊อดเปรย
“ผมเป็นคนไม่ชอบมีพันธะใด ๆ ถ้าพี่ยิ่งมีทรัพย์สินมาก พี่จะยิ่งเสียดายถ้าจะต้องทิ้งมันไป ผมถึงไม่ค่อยมีอะไรในบ้าน”
“แล้วถ้างั้น ทำไมนายหัวถึงอยากลงเล่นการเมืองล่ะครับ?”
“เพราะถ้าเราได้เป็นฝ่ายรัฐบาลเราก็จะอำนาจไงพี่ มันทำให้เราสามารถทำอะไรได้ง่ายขึ้น เหมือนมีใบเบิกทาง พี่ก็รู้ว่าบ้านเมืองเรา นักการเมืองมีอำนาจมากแค่ไหน มันเอื้อต่องานของเรามาก”
กานต์ บัญชี
กานต์หยุดจิบวิสกี้ก่อนจะเท้าความหลัง
“พี่อ๊อดรู้ไหม อากงผมหนีมาจากเมืองจีน เสื่อผืนหมอนใบ สร้างเนื้อสร้างตัวจนมีครอบครัวมีลูก ก็คือพ่อของผม จนวันหนึ่งพ่อก็แต่งงานมีครอบครัว เราสร้างเนื้อสร้างตัวมาจนเรียกได้ว่าเริ่มจะร่ำรวย แต่แล้ว...พ่อก็ถูกพวกนักการเมืองท้องถิ่นโกง ฮุบทุกอย่างไป พ่อเลยผูกคอตาย ส่วนแม่ก็ตรอมใจตาย ผมเลวต้องปากกัดตีนถีบส่งตัวเองมาถึงตรงนี้ได้...ผมถึงรู้ดีว่า ถ้าเรามีอำนาจเราจะกลายเป็นความถูกต้องชอบธรรม และทำให้ทุกคนต้องก้มหัวให้เรา”
อ๊อดพยักหน้าในใจแม้จะรู้สึกว่าชีวิตของกานต์น่าเศร้า แต่สิ่งที่กานต์ทำทุกวันนี้ก็ไม่ได้ดีไปกว่านักการเมืองที่เคยโกงพ่อแม่ของเขาเลย มิหนำซ้ำกานต์ก็ทำทุกอย่าง และทำยิ่งกว่าไม่ว่าจะเป็นการทำผิดกฎหมาย ค้าเฮโรอีน สมคบคิดต่างชาติเข้ามาหาผลประโยชน์ในประเทศที่ตนเองเกิด ประเทศที่ปู่ย่าเคยหนีมาพึ่งใบบุญ ที่แย่สุดคือการที่นายหัวกานต์ปรนเปรอทุกอย่างกับนายหัวเฉื่อยจนเจ้านายของอ๊อดไม่ต่างจากไอ้เฒ่าหัวงูไปแล้ว
“ว่าแต่ว่า...นายหัวเรียกผมมาทำไมเหรอ?”
“ผมจะแจ้งว่า มันจะมีสินค้าล็อตใหญ่ส่งมาทางเส้นทางเลียบชายแดน เราจะขนผ่านทางแม่น้ำน่ะ”
“อ้าว..งวดนี้ไม่ขนของทางรถผ่านป่าช่องแคบเหรอครับ?”
“ไม่ล่ะพี่...มันเสี่ยง เราอาจถูกซุ่มโจมตีจากพวกโจรป่าพยนต์ได้ แต่ผมส่งรถสินค้าหลอกให้วิ่งไปตามเส้นทางนั้นด้วย แต่ที่จริงเราจะขนสินค้าล็อตนี้ล่องไปตามแม่น้ำ” กานต์หยุดนิดหนึ่ง จ้องหน้าอ๊อดเขม็ง “ผมอยากให้พี่รอรับสินค้าทางน้ำได้ไหม?”
“ได้สิ...อะไรก็ได้ที่นายหัวกานต์เอ่ยมา ผมทำให้ได้ งานง่าย ๆ แค่นี้” อ๊อดรับคำ
กานต์ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อมีกระดาษแผ่นหนึ่งติดมือขึ้นมา วางบนโต๊ะแล้วยื่นส่งให้อ๊อด อ๊อดรับมาและเปิดออกดู มันเป็นพิกัดนัดรับส่งของ
อ๊อด พากิน
“ขอบคุณนะพี่อ๊อด ผมจะไม่ลืมสิ่งที่พี่ทำเลย” กานต์ยิ้มให้อ๊อด
เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น กานต์ทำท่าจะลุกขึ้น แต่อ๊อดโบกมือ และเป็นฝ่ายลุกเดินไปดูที่ประตูรั้ว สักครู่ก็เดินกลับมาพร้อมกับมีคนเดินตามมา พอเห็นคนที่เดินตามอ๊อดเข้ามา กานต์รู้สึกประหลาดใจมาก
แว่น เลี้ยงยาย ยกมือไหว้กานต์ กานต์รับไหว้ก่อนจะเอ่ยถาม
“เซอร์ไพร์สมากที่เห็นแว่นมาหาผมที่นี่ มีอะไรให้ผมรับใช้เหรอ” กานต์เอ่ยถาม
“อย่าพูดแบบนั้นเลยครับนายหัว” แว่นเอ่ย “ผมเองต่างหากที่อยากจะมาพึ่งใบบุญนายหัวครับ”
“พึ่งใบบุญผม?” กานต์ทวนคำพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างสงสัย แต่ก็ผายมือให้แว่นนั่ง
แว่นลากเก้าอี้มานั่งฝั่งตรงข้ามกับกานต์ ส่วนทางขวามือของแว่นคือตำแหน่งที่อ๊อดนั่งอยู่ แว่นมีท่าทางตื่น ๆ เกร็ง ๆ เขาก้มหน้านิ่งพักหนึ่ง ส่วนกานต์กับอ๊อดก็รอคอยว่าแว่นจะพูดอะไร จนกระทั่ง
“นายหัวคงทราบเรื่องที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของผมใช่ไหมครับ”
กานต์พยักหน้า เอื้อมมือไปจับไหล่ของแว่น “เสียใจด้วยนะครับ อยากให้ผมช่วยอะไรก็บอกมาตรง ๆ เถอะ”
“นายหัวครับ ผมขอเรียนตามตรงนะครับ ผมอยากล้างแค้น!”
แว่น เลี้ยงยาย
“ล้างแค้น!” ทั้งกานต์และอ๊อดโพล่งพร้อม ๆ กันอย่างตกใจ เพราะในสายตาของทั้งสอง แว่นก็คือเด็กหนุ่มหงิม ๆ ที่มีหน้าที่สัพเพเหระให้พ่อเลี้ยงก้อมเท่านั้น ไม่เคยวิวาทกับใคร ไม่นิยมความรุนแรง แต่พอได้ยินแบบนี้ก็อดตกใจและประหลาดใจไม่ได้
“อะไรถึงทำให้แว่นอยากล้างแค้นล่ะ แล้วจะไปล้างแค้นใคร?” กานต์ถาม
“ไอ้เสือมุบกับพวกโจรป่าพยนต์ครับ มันพรากเมียและลูกของผม ผมไม่ขออยู่ร่วมโลกเดียวกับมันแน่”
“แล้วทำไมแว่นถึงคิดว่าผมจะช่วยได้ล่ะ”
“เรียนตามตรงนะครับ ตอนนี้นายหัวกานต์มีบารมีมาก ไหนจะกำลังลงเล่นการเมือง มีนายทุนอย่างเถ้าแก่ส่งหนุนหลัง ผมเชื่อว่านายหัวกานต์ได้เป็นส.ส.แน่ครับ คนหนุ่มมีอนาคตใหม่ก้าวไกลแบบนายหัวต้องไปไกลแน่นครับ”
กานต์ฟังแล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้ ต้องยอมรับเลยว่าแว่นเป็นคนมีวาทะศิลป์คนหนึ่ง
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ” กานต์ทำทีบ่ายเบี่ยง
“ผมพูดจากใจจริงนะครับ ผมเห็นมวลชนเด็ก ๆ รุ่นน้องผมก็ชื่นชมนายหัวกานต์ หน้าตาดี การศึกษาดี พูดจามีหลักการ”
“แล้วผมจะช่วยได้ยังไง” กานต์ย้อนถาม
“ไอ้พวกโจรป่าพยนต์ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครเคยเห็นหน้าตา พวกมันจะสวมหมวก คาดหน้ากากไว้ ผมไม่เชื่อว่าตำรวจจะมีทางจับตัวมันมาได้ครับ แต่ผมเองก็พอรู้ว่า ขุมกำลังของนายหัวกานต์กับเถ้าแก่ส่งน่าจะทำได้ครับ”
กานต์มองแว่นตาเขม็ง เขาเพิ่งพบว่าภายใต้ท่าทางเจี๋ยมเจี้ยมนั้น แว่นไม่ใช่อย่างที่เราเข้าใจ แว่นเองก็รู้เรื่องลับ ๆ ในบางบอกดิกไม่น้อย ไม่แปลกใจที่แว่นจะเข้าถึงแหล่งข่าวได้ ในเมื่อเจ้าตัวไม่เคยทำตัวให้โดดเด่นอะไรเลย
อ๊อดเองก็มองที่แว่นเขม็ง ก่อนจะเอ่ยถาม
“แว่น..ทำไมเอ็งไม่ให้พ่อเลี้ยงก้อมช่วยล่ะ?”
“เอาตรง ๆ นะครับ พ่อเลี้ยงก้อมในวันนี้ก็ไม่มีบารมีเหลือแล้ว อิทธิพลที่จะไปสั่งใครได้ก็ไม่มีแล้ว ที่ผมยังรับใช้ก็เพราะสำนึกในบุญคุณของพ่อเลี้ยงที่ดูแลผม และยาย แต่ในเมื่อเวลานี้ผมต้องมาเสียเมียและลูก ผมคงอยู่นิ่งเฉยทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้แล้วครับ ผมต้องหาหนทางเอาเอง ผมอยากฆ่าพวกมันด้วยมือของผม”
“โห...” อ๊อดอุทาน “ใจเย็น ๆ ก่อน ปืนเอ็งยังไม่เคยจับเลยด้วยซ้ำไปนะไอ้แว่น”
“ฝึกผมสิครับ” แว่นมองด้วยสีหน้าจริงจัง “ผมอดทนได้ครับ ขอแค่ให้ได้ล้างแค้น ผมอยากเป็นคนยิงกบาลไอ้เสือมุบเองกับมือ”
กานต์กับอ๊อดถึงกับอึ้งที่แว่นกล้าพูดแบบนี้ ดวงตาที่เต็มไปด้วยไฟแค้นทำให้กานต์ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เช่นเดียวกับอ๊อดที่กำลังคิดอะไรอยู่เช่นกัน
....
โปรดติดตามตอนต่อไป
โปรดติดตามตอนต่อไป
....
คุยกันหลังกอง "บางบอกดิก 2"
ในตอนที่ 7 จะสั้นกว่าตอนก่อน ๆ ครับ
เพราะผมมีภารกิจส่วนตัว ต้องเก็บชั่วโมงออนไลน์เพื่อต่อใบอนุญาต เลยปลีกเวลามาเขียนได้ไม่มากครับ
และงานประจำช่วงนี้ก็หนักหนาสาหัสอยู่ครับ ยอมรับว่ามีความเครียดในงานที่ทำ
การเขียน, ร้องเพลงอาจช่วยผ่อนคลายได้บ้าง แต่ปัญหาก็ยังคงอยู่กับเราอยู่ดี
ก็ค่อย ๆ แก้ไขไปครับ
และสถานการณ์บ้านเมืองแบบนี้ก็ไม่มีแรงจะเขียนด้วยเหมือนกัน
ใครที่ติดตามของผมก็คงทราบดีว่าเพจผมเป็นเพจรักสถาบันพระมหากษัตริย์ครับ
เกิดมาจนป่านนี้ไม่เคยเห็นก็ได้เห็น บอกตามตรงหดหู่ใจมาก รับไม่ได้ครับ
บ้านผมสองรุ่นได้มีโอกาสถวายงานรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท
เราภูมิใจในสิ่งที่ทำครับ เพราะเราอยากแทนคุณในสิ่งที่ในหลวงทุกรัชกาล
ได้ทำให้กับเราครับ
วันนี้และวันข้างหน้าประเทศไทยก็จะไม่วันกลับไปเป็นเหมือนเดิม
ดังนั้นผมเองก็ขอทำสิ่งที่ทำควรต้องทำต่อไปครับ ตามจุดยืนของผมครับ
ใครไม่ชอบ เห็นต่างจากนี้ สามารถเลิกติดตาม เลิกติดต่อกันได้เลยนะครับ
ผมเคารพการตัดสินใจของทุกท่าน มันเป็นสิทธิส่วนบุคคลครับ
ผมไม่ก้าวล่วงและไม่ก้าวก่ายทุกความเห็นครับ
พระบรมราโชวาท
ด้วยความเคารพ และขอบพระคุณครับ
มูฟวี่
ขอบคุณที่มาภาพประกอบ: Google

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา