11 ต.ค. 2020 เวลา 00:01 • ธุรกิจ
BrewDog แบรนด์คราฟเบียร์จากเมืองเล็กๆใน Scotland ที่ดังไปไกลทั่วโลก
Brewdog.com
ความดังของแบรนด์คราฟเบียร์นี้ เริ่มต้นจากที่สหราชอาณาจักร จนข้ามไปถึงอเมริกาเลยละ ก่อนที่จะเข้าจะมาเข้าสู่วงการคราฟเบียร์ของเอเชีย รวมถึงประเทศไทยด้วย
ด้วยรสชาติที่ขมแต่กลมกล่อมแบบลงตัวของ IPA ในสไตล์ของ BrewDog ทำให้หลายๆคนเริ่มเทใจจาก Lager beer หันมาดื่มแนว IPA หรือ Ale กันมากขึ้น
ตอนที่เราอยู่ที่อังกฤษ ส่วนใหญ่คนอังกฤษเองนิยมดื่ม Ale กันอยู่แล้วละ และการที่เราจะไปหา Lager beer (คล้ายๆกับสิงห์ ช้าง จากบ้านเราเนี่ย) ต้องบอกเลยว่าหายากมาก และส่วนใหญ่จะเป็นแบรนด์จากต่างประเทศเช่น Foster (ออสเตรเลีย), 1664 (ฝรั่งเศส), Budweiser (อเมริกา)
เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกใจที่ คราฟเบียร์ IPA อย่าง BrewDog จะมีกระแสตอบรับที่ดีจากอังกฤษและสก็อตแลนด์
BrewDog ตามชื่อเลย
ถูกก่อตั้งมาจาก 2 หนุ่ม scottish กับน้องสุนัข 1 ตัว ในปี 2007
ซึ่งไม่ได้ถือว่าเป็นแบรนด์เก่าแก่อะไรนะเพื่อนๆ
ด้วยการเติบโตที่รวดเร็ว ทำให้ในปี 2015, BrewDog มีจำนวนพนักงานเพิ่มถึง 450 คน
และในปี 2018 ขยายสาขาไปมากถึง 78 สาขาทั่วโลก หรือถ้าเทียบกับปี 2015 ถือว่าโตมามากถึง 77% เลยละ !
จุดเด่นอื่นๆของ BrewDog (นอกจากเรื่องของรสชาติที่สุดแปลกแต่อร่อย)
- ประเภทของ Beer/Ale ที่หลากหลาย เช่น IPA, Juice beer, Pale Ale, Lager, Vegan beer, Low alc beer
- ประเภทของบรรจุภัณฑ์ที่มีทั้งขวด หรือกระป๋อง และในส่วนของเบียร์ทำสด
- ความหลากหลายในการส่งเบียร์ด้วยวิธี "next day delivery"
- การลงทุนการโฆษณาเชิงสื่อ และ การตลาดออนไลน์ ที่มากกว่าแบรนด์คราฟเบียร์อื่นๆ
เรียกได้ว่า หัวหอกของแบรนด์นี้ คือ 2 ผู้ก่อตั้งร่วม James Watt และ Martin Dickie
ได้ออกมาแชร์ว่า
"ลูกค้าของเราคือ คนสมัยใหม่ที่เปิดใจกับสิ่งใหม่ๆ และยอมรับความกล้าที่จะแตกต่าง และเป๋นตัวของตัวเอง"
"เราพยายามจะนำเสนอรูปแบบของแบรนด์คราฟเบียร์นี้ให้ชัดเจนที่สุด"
Brewdog กับการลงทุนกับการตลาดด้าน PR ด้วยรูปแบบที่แตกต่างและชัดเจน
อย่างที่ได้กล่าวไป ด้วยการที่ ผู้ก่อตั่งแบรนด์ต้องการนำเสนอจุดยืนของ BrewDog กับคนรุ่นใหม่ พวกเค้าก็ได้ผุดแคมเปญมากมาย เช่น
- "No label" หรือการโปรโมทภายใต้แรงบันดาลใจของกลุ่ม LGBT+ และรายได้บางส่วนที่ได้จากการขายภายใต้แคมเปญนี้ยังได้ถูกบริจาคให้กับ LGBT+ community ที่สหราชอาณาจักร
Brewdog.com
- "Transphobic ad" ก้าวที่ผิดพลาดร้ายแรงของ BrewDog
โดยการทำโฆษณาล้อเลียนด้วยการที่ 2 ผู้ก่อตั้งแต่ง Drag ใส่กระโปรง และเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในตู้โชว์ขายบริการในย่าน Red light ของเมืองอัมสเตอร์ดัม
- งานนี้ BrewDog โดนชาว LGBT+ เกือบ 8,000 คนทั่วโลก ลงชื่อฟ้องร้องเลยละ
- แต่ว่าในที่สุดพวกเค้าก็ได้ลบวีดีโอโฆษณานี้ออกไป พร้อมกับกล่าวขออภัย
- ถึงแม้ว่าจะสร้างความไม่พอใจบ้าง แต่เหมือนพวกเค้าจะได้โปรโมทชื่อของแบรนด์ภายใต้ "#Don'tmakeusdothis" ไปทั่วโลกเรียบร้อย
www.prweek.com/
- "Not for gays" กับ "Hello My name is Valdimir" แคมเปญที่มีการนำภาพของ Vladimir Putin จากกรณีที่รัสเซียมีการแบนกลุ่มคน Homosexual ในปี 2014 ระหว่างการแข่งขันโอลิมปิคฤดูหนาวที่เมืองโซชิ
โดย BrewDog ยังคงต้องการออกมาสนับสนุนกลุ่ม LGBT+ เช่นเคย
https://www.thedrum.com
- "The End Of History ale" หรือ Shock Marketing ที่มีการนำซากศพของสัตว์ป่าที่ตายแล้ว มาเป็นที่ใส่บรรจุภัณฑ์ !!
- เข้าใจว่าฟังดูประหลาดและผิดศีลธรรมมากๆ แต่ว่า BrewDog เค้าออกมาแสดงจุดยืนว่า ซากศพของสัตว์ที่พวกเค้าใช้มาใส่เป็นบรรจุภัณฑ์นี้ มาจากการที่สัตว์ป่าเหล่านั้น ตายตามท้องถนนจากการถูกรถชน หรือแม้กระทั้งถูกล่าเพื่อความสนุกของมนุษย์
www.insidehook.com
สิ่งที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากแบรนด์ BrewDog
- การที่พวกเค้ามีจุดยืนที่ชัดเจนในการเจาะตลาดกลุ่มลูกค้า
- การที่ลงมาเล่นในตลาด Niche Market อย่าง คราฟเบียร์ และการเข้ามาเป็นผู้ริเริ่มการทำคราฟเบียร์รายแรกๆของยุโรป (First move advantage)
- พวกเค้ามีเป้าหมาย (company mission) ที่ชี้เฉพาะที่ทำให้แบรนด์เติบโตอย่างมีทิศทาง
- เอกลักษณ์ของแบรนด์ถูกถ่ายทอดได้อย่างตรงไปตรงมา (Brand identity)
- พวกเค้าเรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาด และพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ด้วยการใช้การตลาดแบบโหนกระแส
เรียกได้ว่า การตลาดนั้นค่อนข้างมีอิทธิพลต่อการขยายและเติบโตของ BrewDog ได้เยอะมากๆ โดยเฉพาะการโฆษณา
มองอีกมุมนึงก็เหมือนเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงพอสมควร แต่อย่างไรก็ตามเหมือนว่าความเสี่ยงนี้จะถูกวางแผนมาอย่างดี จนทำให้สร้างโอกาสการโปรโมทแบรนด์ที่ดีอย่างเหลือเชื่อ
2 วันที่ผ่านมานี้ฝนตกทุกวันเลย ดูแลตัวเองกันด้วยนะเพื่อนๆ (เพราะเราเริ่มจะป่วยแล้วเหมือนกันแห่ะ) ^^
โฆษณา