14 ต.ค. 2020 เวลา 01:02 • ข่าว
ศาลไต่สวน 'สายสีส้ม' วันนี้ BTS-รฟม. สู้ไม่ถอย
โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)
เอกชนผู้ชนะจะได้รับสิทธิ์ในการก่อสร้างงานโยธา ฝั่งบางขุนนนท์ – ศูนย์วัฒนธรรมฯ หรือที่เรียกว่าฝั่งตะวันตก ยิ่งไปกว่านั้นจะได้รับสิทธิ์ในการบริหารงานเดินรถ ตลอดเส้นทางบางขุนนนท์ – ศูนย์วัฒนธรรมฯ ระยะทาง 35.9 กิโลเมตร ระยะเวลา 30 ปี รวมมูลค่าโครงการสูงถึง 1.2 แสนล้านบาท
ศาลไต่สวน 'สายสีส้ม' วันนี้ BTS-รฟม. สู้ไม่ถอย
นับเป็นการประมูลโครงการรถไฟฟ้าอีกหนึ่งเส้นทางที่ต้องจับตามองมากที่สุดในขณะนี้ เพราะไม่เพียงมูลค่าโครงการที่สูง แต่หมายถึงการเปิดศึกของเอกชนเพื่อชิงสัมปทานเดินรถไฟฟ้า เชื่อมต่อยุทธศาสตร์ขนส่งทางรางในจุดสำคัญของกรุงเทพมหานคร สามารถขนผู้โดยสารจากฝั่งตะวันออก และฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ เข้ามายังพื้นที่ชั้นในได้
แต่แล้วศึกโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม วันนี้เรียกได้ว่าวันนี้เกิดขึ้นก่อนกำหนดเปิดรับซองประมูลเสียอีก เมื่อ รฟม.เจ้าของโครงการ ประกาศเปลี่ยนหลักเกณฑ์คัดเลือกเอกชน กลางคัน !! ภายหลังปิดขายซองข้อเสนอโครงการ หรือ RFP เมื่อวันที่ 24 ก.ค.2563 ผลปรากฏว่ามีเอกชนซื้อซองเอกสารรวม 10 ราย
โดยหลังจากนั้น 21 ส.ค. 2563 คณะกรรมการตามมาตรา 36 แห่ง พ.ร.บ.การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน 2562 ของโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี มีมติอนุมัติให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การพิจารณาให้นำคะแนนข้อเสนอด้านเทคนิคมาเป็นเกณฑ์ประเมินรวมกับการเงินด้วยในสัดส่วน 30% ปรับจากเดิมที่กำหนดหลักเกณฑ์ประเมินด้านการเงิน 100%
ด้วยเหตุของการเปลี่ยนหลักเกณฑ์กลางคันเช่นนี้ นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส หนึ่งในเอกชนผู้ซื้อเอกสาร RFP ได้ออกมาเปิดเผยว่า บีทีเอสเห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวสร้างความไม่เป็นธรรมและตั้งข้อสังเกต 2 เรื่อง คือ
1.ไม่แน่ใจว่าการดำเนินการของคณะกรรมการตาม ม.36 ที่เปลี่ยนเกณฑ์ตัดสิน ในทางกฎหมายสามารถทำได้หรือไม่ เนื่องจากโครงการนี้ผ่านการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว
2.การเปลี่ยนหลักเกณฑ์พิจารณาคัดเลือกเอกชนภายหลังขายซองแล้ว เมื่อเอกชนทุกรายทราบว่ามีคู่แข่งรายใดเข้าซื้อซองก็เกิดเป็นข้อได้เปรียบเสียเปรียบ และขณะนี้จะหาพันธมิตรเพิ่มเพื่อแข่งขันก็ลำบาก
1
นอกจากนี้ ใน RFP ยังมีการกำหนดส่วนสำคัญ คือผู้ยื่นข้อเสนอจะต้องมีคุณสมบัติมีประสบการณ์ขุดเจาะอุโมงค์รถไฟฟ้ารัศมีไม่ต่ำกว่า 5 เมตร รวมทั้งยังมีหมายเหตุระบุด้วยว่า ผลงานและประสบการณ์ในไทย จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ ซึ่งหาก รฟม.ใช้หลักเกณฑ์เดิม คือผ่านและไม่ผ่าน ก็จะไม่เกิดข้อได้เปรียบเสียเปรียบ แต่หากมีการกำหนดคะแนน บีทีเอสก็เกรงว่าจะเกิดข้อได้เปรียบเสียเปรียบ เพราะในไทยมีเอกชนที่มีประสบการณ์ตรงขุดเจาะอุโมงค์รถไฟฟ้า โดยเฉพาะอุโมงค์ลอดแม่น้ำเจ้าพระยาไม่กี่ราย
โดยบีทีเอสได้ยื่นหนังสือต่อศาลปกครองเพื่อขอคุ้มครองฉุกเฉิน เมื่อวันที่ 17 ก.ย.ที่ผ่านมา ในกรณีที่ รฟม.เปลี่ยนเงื่อนไขหลักเกณฑ์และขอให้กลับมาใช้หลักเกณฑ์เดิม เพื่อความโปร่งใสและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
โฆษณา