16 ต.ค. 2020 เวลา 14:59 • ปรัชญา
Truth, Goodness, Beauty
1
ศิลปะไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆอย่างไร้เหตุผล
แนวคิดนี้ถูกตั้งคำถามมาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ สมัยก่อนพุทธกาล ที่อินเดีย ที่จีน สมัยเล่าจื๊อ ขงจื๊อ ล้วนมีคำถามคล้ายกัน
คือ ชีวิตมนุษย์หลักๆแล้วต้องการอะไรบ้าง นอกจากการทำมาหากิน เฉกเช่น นกกา และสรพพสัตว์ทั้งหลาย
ขงจื๊อ จีน: 孔子; อังกฤษ: Confucius
ขงจื้อ (Confucius) บอกว่า คนเรานั้นต้องการอย่างน้อย 3 สิ่ง พวกกรีก พวกอินเดีย ก็คิดในทำนองเดียวกัน รวมถึงพระพุทธเจ้าก็เชื่อว่ามีความคิดอย่างนี้เช่นกัน
เราต้องการอย่างน้อย สามอย่างเพื่อให้ชีวิตเรานั้นสมบูรณ์ เพราะการเกิดมาเป็นคนโดยไม่มีอะไรขัดเกลา เราก็เป็นคนธรรมดาๆ เป็นคนดิบๆ เพราะงี้เพื่อทำให้ชีวิตเราสมบูรณ์ หรือจากดิบมาเป็นสุก
ซึ่งคำว่าดิบคำว่าสุกในทัศนะของคนอินเดีย เขาจะเทียบกับผลไม้ ไม่ได้เทียบกับการย่างเป็ดย่างไก่ ผลไม้ดิบนั้นรสฝาดไม่อร่อย แต่ถ้าสุกแล้วรสชาติจะดี นึกถึงทุเรียนดิบ เราก็จะกินไม่ได้
เครดิตภาพ : https://sites.google.com
สิ่งแรกที่คนเราต้องการในทัศนะขงจื้อก็คือ “ความจริง”
เราต้องการรู้ว่าอะไรจริงในโลกอะไรคือความจริงที่เกี่ยวกับโลกนี้ รวมทั้งความจริงที่เกี่ยวกับชีวิตเรา นอกจากความจริงแล้ว เราต้องการ “ความดี”
คือเราต้องรู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว เสร็จแล้วก็นำเอาแนวคิดเรื่องความดีความชั่วมาประยุกต์ใช้กับชีวิตเรา ท้ายที่สุด ขงจื๊อ ก็พูดถึงเรื่อง"ความงาม"
1
'สวย' ต่างจาก 'งาม' สวยคือคำที่ระบุถึงคุณสมบัติบางอย่างโน้มน้าวใจ ให้หลงไหล รัก ชอบ คลั่งไคล้ ลุ่มหลง เป็นคุณสมบัติชั่วคราวที่ศัพท์ทางพุทธเรียกว่า "อนิจจัง"
คำว่า สวย ในภาษาบาลี = สุภะ แปลงอุ เป็น โอ = โสภา
คำว่า คำว่า งาม มาจากคำว่า สุนทร หรือสุนทีรยะ เราจึงไม่มีวิชาโสภาศาสตร์ มีแต่สุนทรียศาสตร์ไงครับ
1
ซึ่งรวมเอางานศิลปะหลายแขนงเข้าด้วยกัน ทั้ง วรรณกรรม ปฏิมากรรม จิตรกรรม คีตกวี หรืออะไรก็แล้วแต่ที่รับรู้ผ่านทางประสาทสัมผัสกระทบต่ออารมณ์ความรู้สึกของคน
เครดิตภาพ : https://board.postjung.com
ในปรัชญาอินเดีย ให้ความสำคัญ เรื่อง "รส" เรียกเป็นทางการว่า "ราสาลีลา” (the rasa-lila)" ปรากฎเด่นชัดมากใน "นาฎยศาสตร์" คือคัมภีร์ที่5 ( the Fifth Veda) ของพระเวท เพราะถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์
เพราะมีคอนเซปต์ว่ามาจากเทพเจ้า เช่น “การละคร” เป็นสิ่งที่เหมาะสมสำหรับยุคเสื่อมของมนุษย์ อยู่ในฐานะที่เป็นรูปแบบสื่อการสอนที่ดีสุดของการสั่งสอนทางศาสนา ว่ากันอย่างนั้น
"รสอร่อยของประสบการณ์"
ใช้อธิบายความหมายของความชอบใจที่มนุษย์รู้สึกได้ในการดู ชม ศิลปวัตถุ ซึ่งงานพวกนี้ถุกถ่ายทอดซ้ำไปซ้ำมาในวัฒนธรรมอินเดีย จนนำไปสู่ ตำรากามสูตร อันเลื่องลือ โดยมาจากตำนานความรักของพระกฤษณะและนางราธา(Krishna และ Radha)
ของแท้ มี64 ภาพ เป็นลีลาท่วงท่า เพื่อให้คู่รัก หรือชายหนุ่มหญิงสาว ไม่สาวก็ตาม นักเที่ยวนักล่าแต้มได้ บริหารสะโพกอย่างเดียวไม่พอต้องถูกท่า เพื่อสัมผัสความสุขสมทางโลกียะเบิกทางเขาสู่จุดสูงสุดทางอารมณ์จนถึงขั้นอันติมะสัจจะ (Ultimate Knowledge)ได้ผ่านทางท่วงท่าแห่งกาม
เครดิตภาพ: http://hugospy00.blogspot.com
ทำดีๆ ถึงขั้นหลุดพ้นได้ หมดกิเลสได้เขาว่างั้น นักเที่ยวตัวยงควรศึกษาไว้ครับจะได้ไม่เสียเที่ยว
กลับมาที่เรื่องความสวย สวยเป็น "อนิจจัง" คือเสื่อมได้ไม่คงทน
ความจริง(Truth), ความดี (Goodness), ความงาม (Beauty) จะไม่เป็น “อนิจจัง” จำเป็นต้องเป็น “นิจจัง”เท่านั้น คือเป็นอย่างไรจะต้องเป็นอย่างนั้นตลอดไป กลับกลอกสับไปสับมาไม่ได้
นางงาม ดารานางแบบที่สาวๆสวยๆทั้งหลาย ที่ถ่ายภาพแซบๆ พร้อมแคปชั่นยอดนิยมว่า "เวลาทำอะไรพวกเธอไม่ได้จริงๆ" อะไรทำนองนี้ก็แค่วาทะกรรม เอาจริงๆ พอถึงจุดหนึ่งเช่น อายุ70 แล้ว คงจะเหี่ยวดูไม่ได้ทุกคนนั่นแหละ
เบอร์นาร์ด ชอว์ (George Bernard Shaw) นักเขียนอังกฤษ ให้สัมภาษณ์ในงานแต่งของหลานสาว ว่า จะดูผู้ชายว่าเป็นปราชญ์มั้ยดูที่การเลือกเมีย ทำไม?? ถ้าเลือกเมียสวยอย่างเดียว แสดงว่าไม่ค่อยฉลาด แต่ถ้าได้เมียหน้าตาบ้านๆธรรมดา ไปวัดไปวาได้ ยังโอเค เพราะอะไร?
จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์ (George Bernard Shaw)
"สวยไม่ยั่งยืน" "ไม่สวยนั้นยั่งยืน"
สวยแก่แล้วก็เหี่ยว ไม่สวยมันขี้เหร่ตั้งแต่แรก ไม่ต้องกลุ้มใจทีหลัง
ถึงเวลาเหมาะสมเส้นกราฟมาบรรจบ หน้าตารูปร่างก็จะพอๆกัน เผลอๆดูดีกว่าซะอีก
เจ้าบ่าวของหลานสาวผมนี่ก็ถือว่าใช้ได้ ถือว่ามีวิสัยทัศน์มองการณ์ไกล เบอร์นาร์ด ชอว์ เขาว่างั้น สงสัยหลานเฮียแกได้ยินแกพูดคงลมออกหูของขึ้นกันบ้างล่ะ
เครดิตภาพ : https://www.pinterest.com
ส่วน ความงาม รับรู้และสัมผัสผ่านทางอายตนะ ทำให้เกิดความซาบซึ้ง ตรึงจิต ยกใจ ให้ชื่นฉ่ำชุ่มเย็น ลุ่มลึก เศร้าสลด หรือ ปลงตก จนนำไปสู่ความหลุดพ้นได้
ภาพของแม่หรือพ่อคนหนึ่ง ตรากตรำ เพื่อหาเลี้ยงครอบครัว ภาพของชายกลางคนป้อนข้าวผู้สูงอายุผู้เป็นบุพการี รอยยิ้มและมิตรภาพใสๆของวัยเด็ก นักการเมืองหญิงให้นมทารก ขณะต้องประชุมในรัฐสภา ซึ่งต่อให้ผู้เป็นแม่หน้าตาสวย หรือ จะขี้เหร่เพียงใด ก็รับรู้ได้ ว่านี่คือ สิ่งที่เรียกว่า 'ความงาม'
เครดิตภาพ : https://www.catdumb.com
เวลาพูดถึงความจริงที่เรียกว่า Truth เมื่อเราคิดว่า เราต้องการทำอะไร ซึ่งจะมีวิทยาการที่สร้างขึ้นเพื่อที่จะทำให้ เราได้พบ “ความจริง”
การมีความสุข เข้าใจง่าย เมื่อเราคิดว่าการมีสามอย่างนี้ทำให้ชีวิตเป็นชีวิตที่ดีงาม วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ปรัชญา เป็นต้น จัดอยู่ในกลุ่ม Human Activity ที่ทำให้เราคิดว่าความจริงอะไร จึงมีการสอนวิชา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สอนปรัชญา
เนื่อจากวิชาเหล่านี้สอนที่จะขุดคุ้ยหาความจริง แต่อาจจะมีที่อื่น เพราะหน้าที่ของการหาความดี ก็คือ จริยศาสตร์และศาสนา
ตามนิยามของนักปราชญ์ในยุคกลาง เช่น อไควน์นัส (Thoman Aquinas) และ ออกัสติน (St. Augustine) จริยศาสตร์และศาสนามีหน้าที่หาความดีเป็นหลัก ส่วนว่าอาจจะมีผลพลอยได้เรื่องความจริงเป็นของแถม แต่สาระของจริยศาสตร์คือ อะไรคือความดี อะไรคือการทำให้คนธรรมดาๆนั้นเป็นคนดีได้อย่างไร ซึ่งเป็นหน้าที่ของจริยศาสตร์และศาสนา
นักบุญออกัสติน (St. Augustine) เครดิตภาพ : http://freewill14.blogspot.com
เรื่องความงาม จะเป็นหน้าที่ของ สุนทรียศาสตร์และศิลปะ เพราะสุนทรียศาสตร์ (Aesthetics) ออกแบบและสร้างมาเพื่อใช้เป็นอุปกรณ์หรือเครื่องมือค้นหาสิ่งมีค่า 1 ใน3 ที่สำคัญ Truth, Goodness, Beauty
เมื่อรู้ว่าอะไรความ"จริง" รู้ว่าอะไรคือความ"ดี" แต่หากไม่รู้ว่า อะไรคือความ"งาม" องค์ประกอบที่สำคัญของชีวิตที่สมบูรณ์ ก็แหว่งถึงหนึ่งในสาม
นี่รึป่าวเป็นที่มาของเครื่องหมายการค้าสัญลักษณ์ รูปแอปเปิ้ลแหว่งไอเดียของ เสด็จพ่อ สตีป จอบส์ อันนี้ไม่แน่ใจแค่เดาครับ
เครดิตภาพ : https://www.pinterest.co.uk
ในทางพุทธศาสนา(เถรวาท) พูดเรื่องความงามเอาได้อย่างน้อยสองมิติ คือ มิติทางโลกกับทางธรรม ซึ่งก็มีนักธรรมะสายเคร่ง บอกว่า ศาสนาพุทธท้ายที่สุดแล้วคำว่างามนั้นไม่มี สุภะไม่มีจริง มีแต่อสุภะ ในเมื่อไม่มีตั้งแต่ต้น ก็ไม่มีประโยชน์อะไร
แต่ฝ่ายที่เห็นว่า ศิลปะ และความงามทางสุนทรียะมีส่วนช่วยในการขัดเกลา ก็ให้เหตุผล เช่น เคยสงสัยมั้ยว่าทำไม ในพุทธประวัติ พระอินทร์ทำไมต้องดีพิณสามสาย ให้นักบวชสิทธัตถะฟัง เพื่อเตือนสติ (ดีดทีละสาย ครั้งเดียว แล้วเหาะกลับเลย) ทำไมไม่บอกตรงๆหากพระพุทธเจ้าไม่ใช่ศิลปินมาก่อน อย่าลืมว่า พระองค์เป็นลูกกษัตริย์ ต้องเรียนอย่างน้อยสองหลักสูตร คือวิชาทางการรบ และ ศิลปศาสตร์ ซึ่งก็จะอยู่ใน ศิลปศาสตร์18ประการที่เรียนตอนเด็กๆนั่นแหละ
เครดิตภาพ : https://palungjit.org
วรรณคดีไทยอย่างพระอภัยมณีก็น่าสงสัยว่าทำไมถึงเรียนวิชาเป่าปี่ เจอใครก็เป่า ทั้งที่มีศาสตร์อื่นๆให้เรียนเยอะแยะ อาจเพราะอิทธิพลของพุทธศาสนาหรือไม่ก็ลองพิจาณณาดูนะครับ
เรื่องภิกษุ30รูป บรรลุธรรมจากการฟังเพลงของเด็กหญิงเลี้ยงวัว ในมังคลัตถทีปนี หรือในสิปปสูตรที่พระพุทธเจ้าแสดงคีตกวีให้พรามหณ์ฟังก่อนจะใส่บาตร ซาบซึ้งจนน้ำหูน้ำตาไหล!
มงคลชีวิต เครดิตภาพ: https://web.facebook.com/ibstkn
ในมงคลสูตร มงคลที่8 ว่าด้วย ผู้มีศิลปะ คือมงคล คงจะพอสะท้อนให้เห็นว่า ศาสนาพุทธเองก็ไม่ได้ปฏิเสธความงามทางสุนทรียศาสตร์ (Aesthetics) แม้แต่ในนวังคสัตถุสาสน์ คือการจัดหมวดหมู่คำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ ก็พูดถึงร้องแก้วร้อยกรอง วรรณกรรมเรื่องเล่าสารพัด ลองไปหาอ่านดูหากสนใจ
ในเรื่องของการรบการสงคราม ซุนวู (Sun Tzu) ก็กล่าวไว้ ว่าการรบที่ดีคือการไม่ต้องรบ หมายความว่า เจรจาตกลงกันให้รู้เรื่องกันก่อนดีกว่าเสียเลือดเสียเนื้อ เสียงบประมาณ ตายฟรีปล่าวๆถ้าไม่จำเป็น นี่คือ ศิลปะแห่งการรบขั้นเทพ The Art of war
เครดิตภาพ : https://audiobookstore.com
สรุปว่า...
วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ปรัชญา เป็นศาสตร์ที่มีภาระในการค้นหาความจริง ส่วนความดี เป็นพันธกิจหน้าที่ของจริยศาสตร์และศาสนา สุนทรียศาสตร์และศิลปะเกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึกเป็นศาสตร์สำคัญในการเติมเต็มความเป็นคนและจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์
-วิรุฬหก-
โฆษณา