19 ต.ค. 2020 เวลา 16:24 • บันเทิง
[Face off ไขคดีฆาตกรรมปริศนาศพไร้หน้า]
- บทที่ 8 - [ ปริม ]
ผมนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของตัวเอง อยู่ในสภาวะเหม่อลอย ขณะนี้เป็นเวลาพักเที่ยง แต่ผมกลับไม่รู้สึกหิวข้าว เลยไม่ได้ลงไปทานข้าวกับเพื่อนๆ ผมรู้สึกง่วง และสมองเบลอไปหมด แต่กลับรู้สึกตาค้าง พลางนึกถึงความฝันเมื่อคืน
ผมน่าจะรู้ตัวตั้งแต่ตอนที่ได้ยินข่าวของริน
ที่แท้ผมหนีมาจากตรงที่รินตาย แล้วก็ถูกรถชน นั่นหมายความว่าวันนั้นผมก็อยู่ตอนที่ฆาตกรกำลังฆ่ารินด้วย แต่ผมไม่รู้ว่ามันเป็นใคร ผมเห็นแค่ขาของมันจากที่มืดๆเท่านั้น
“คุณนุคะ” ผมสะดุ้งรีบหันไปมองทันที
“โธ่ ปริมนี่เอง”
“เดี๋ยวนี้ขี้ตกใจจังนะคะ” เธอพูดยิ้มๆ
“อ๋อ พอดีกำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่น่ะครับ”  ผมรู้สึกเขิน
“คุณนุเป็นอะไรรึเปล่าคะ ดูหน้าซีดๆนะคะ ” เธอพูดพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าห่วงใย ให้ตายเหอะ เธอดูสวยเกินไปแล้ว ผมเขินจัด รีบหลบสายตาเธอ
“เอ่อ คือ สงสัยนอนน้อยไปหน่อยน่ะครับ”
“คุณนุฝันร้ายอีกแล้วเหรอคะ”
“นิดหน่อยน่ะครับ”
เธอมองผมด้วยสายตาเป็นห่วง “ปริมว่า ช่วงนี้เรามีแต่เรื่องเครียดนะคะ ไหนจะเรื่องงาน ไหนจะเรื่องคดี ซ้ำร้ายรินยังพลอยเคราะห์ร้ายไปด้วย”
“ครับ นึกแล้วก็สงสารเจ้าเอกมัน ” ผมพูดพลางนึกไปถึงความรู้สึกของเอก เขาคงเสียใจไม่น้อยเลยทีเดียว
“คนร้ายก็ยังจับตัวไม่ได้ ปริมรู้สึกว่ามันใกล้ตัวเรามาก”
“อย่าห่วงเลยครับ ผมจะคอยดูแลความปลอดภัยให้คุณเอง” ผมกุมมือเธอบีบเบาๆ
เธอพยักหน้ายิ้มออกมาเล็กน้อย “ขอบคุณนะคะ”
สักพักเธอทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกได้ “คุณนุ หรือว่าเราจะผ่อนคลายด้วยการไปหาที่พักผ่อนสบายๆกัน ดีไหมคะ?”
“ที่ไหนเหรอครับ” ผมถามด้วยความสนใจ
“เดี๋ยวก็รู้คะ” เธอยิ้มเจ้าเล่ห์นิดๆ เล่นเอาผมเกือบหยุดหายใจ
……………………………………………………………………………………………………..
สีหน้าไร้ความรู้สึก กับสายตาที่เย็นชาบ่งบอกให้รู้ว่า มันไม่ได้สะทกสะท้านกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงเบื้องหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว หญิงสาวผู้โชคร้ายผมเผ้ายุ่งเหยิง สีหน้าซีดเผือด เธอพยายามแผดเสียงร้องออกมา แต่ทว่ามีเพียงเสียงอู้อี้เท่านั้น ปากเธอถูกปิดไว้ด้วยเทปกาวอย่างแน่นหนา ทั้งมือและเท้าของเธอถูกมัดด้วยเชือกผูกติดกับเก้าอี้ เธอร้องไห้ออกมา ใบหน้าเปียกปอนไปด้วยน้ำตา แต่ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงสะอื้นไห้ เธอรู้สึกหวาดกลัวจับใจไม่กล้ามองไปยังคนที่อยู่เบื้องหน้า
มันใช้มือที่สวมถุงมือสีขาว ค่อยๆบรรจงลูบไล้ใบหน้าของเธออย่างแผ่วเบาไล่จากหน้าผากผ่านแก้มลงมาที่คาง จากนั้นจึงเชยคางของเธอขึ้นมาช้าๆ เธอมองหน้ามันด้วยสีหน้าหวาดหวั่น มันนิ่งไปครู่หนึ่งจากนั้นก็ตบหน้าเธออย่างแรง
หน้าของเธอเซไปตามแรงตบ มีเลือดไหลออกมาจากมุมปากเล็กน้อย เธอหายใจหอบไม่ทันไร อุ้งมือจากคนบาปก็ฟาดลงมาที่ใบหน้าเธออีกครั้ง น้ำตาของเธอไหลออกมาด้วยความเจ็บปวด หวังเพียงขอความเห็นใจจากมัน ทว่าสีหน้าของมันยังคงเรียบเฉย นัยน์ตานิ่งไร้วิญญาณ มันใช้มือบีบคางเธอให้เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง เธอหน้าถอดสีด้วยความหวาดกลัว เมื่อเห็นบุคคลเบื้องหน้าค่อยๆใช้มืออีกข้างเอื้อมไปหยิบค้อนความยาวประมาณศอกจากกล่องเครื่องมืออย่างช้าๆ มันยิ้มด้วยความพึงพอใจเมื่อเห็นปฏิกิริยาของเธอ มันปล่อยมือออกจากหน้าของเธอ แล้วค่อยๆเงื้อมือขึ้นสูง สีหน้าและแววตาของเธอแสดงอาการตื่นกลัวถึงขีดสุด เธอกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง แต่ยังคงไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา มันหัวเราะออกมาแสดงอาการพึงพอใจยิ่งขึ้นเมื่อเห็นเธอมีท่าทีแบบนั้น มันไม่รอช้าออกแรงสุดกำลังเหวี่ยงค้อนทุบไปที่ขมับของเธออย่างจัง
ตัวเธอกระเด็นไปตามแรงเหวี่ยงทันทีทันใด แล้วเซล้มไปพร้อมกับเก้าอี้ที่มือและเท้าของเธอยังคงผูกติดอยู่ ชั่วพริบตามันได้ยินเสียงกะโหลกศีรษะของเธอแตก เลือดไหลซึมออกมาจากศีรษะของเธอ เธอนอนนิ่งไม่ไหวติง เหมือนสติของเธอจะขาดหาย บันดาลโทสะให้บุคคลที่อยู่เบื้องหน้า ยัง…มันยังสัมผัสไม่พอ…,มันยังลิ้มรสความเจ็บปวดทรมานของเธอไม่พอเลย ตายได้ไงกัน มันคุกเข่าลง ช้อนใบหน้าของเธอขึ้นมา มันทำหน้าบูดเบี้ยวด้วยความโกรธ พลันมันใช้ค้อนที่อยู่ในมือเหวี่ยงทุบไปที่ใบหน้าของเธออย่างแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่า นับครั้งไม่ถ้วน ร่างนั้นยังคงนอนแน่นิ่งใบหน้าแหลกเละ กระดูกโหนกแก้มยุบ หน้าผากแตกยับเยิน ฟันหักร่วงหลุดจากปาก เลือดพุ่งกระฉูดไหลนองท่วมพื้น บัดนี้สภาพของเธอไม่มีใครสามารถจำได้แน่นอน
คนบาปหยุดมือ มันหายใจหอบด้วยความเหนื่อย เมื่อเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า มันค่อยๆลุกขึ้นยืนก้าวถอยออกมาช้าๆ…,มันยืนนิ่งอยู่สักพัก พลันน้ำตาไหลอาบแก้ม มันสะอื้นไห้ออกมาซ้ำๆท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ครู่เดียวมันก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าเหี้ยมเกรียม มันเดินกลับไปที่กล่องเครื่องมือ หยิบผ้าที่เตรียมไว้เช็ดเลือดที่ติดอยู่ที่ค้อนออกจนหมดจด แล้วมันก็โยนค้อนลงในกล่องเครื่องมือปิดฝาล็อคอย่างดี มันหยิบกล่องเครื่องมือหันไปมองเธออีกครั้ง มันเดินเข้าไปหาเธอจากนั้นจึงค่อยๆอุ้มเธอขึ้นมา เลือดไหลนองเลอะตัวมันมากมาย แต่สีหน้ายังคงเรียบเฉย มันพาตัวเองออกมาจากที่แห่งนั้น และนำเธอขึ้นท้ายรถยนต์ มันขับรถออกมาในที่เปลี่ยวในยามวิกาลแล้วจอดรถ มันเปิดประตูลงจากรถแล้วเปิดท้ายรถออกอุ้มเธอออกมาแล้วโยนไปที่พุ่มไม้ข้างถนนนั้นเอง…
“ผู้กองครับ!”
ภูวไนยสะดุ้ง เขาหันไปมองที่ต้นเสียง พบว่าเป็นจ่านพกำลังมองมาที่เขาสีหน้างุนงง
“มีอะไรรึจ่านพ เรียกเบาๆก็ได้” ภูวไนยพูดออกมาหลังจากที่ตั้งสติได้
“โธ่ ผมน่ะ เรียกผู้กองแบบเบาๆตั้งหลายครั้งแล้ว แต่ผู้กองก็ไม่ได้ยิน ผมเลยลองตะโกนเรียกดูน่ะครับ”
“โทษที ผมคิดอะไรเพลินๆอยู่น่ะ”
“ดูจากสีหน้าผู้กอง เรื่องที่คิดคงไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะครับ” จ่านพจับสังเกต
“อืม พอดีผมอ่านแฟ้มบันทึกการชันสูตรศพของคุณสาวิตรีอยู่น่ะ ฆาตกรมันเหี้ยมโหดมาก เท่าที่ดูมีรอยถลอกที่ข้อมือข้อเท้า เหมือนเธอจะถูกจับอยู่ที่ใดสักแห่งก่อน แล้วฆาตกรคงฆ่าเธอที่นั่น จากนั้นค่อยนำศพไปทิ้งเพื่ออำพรางคดี”
“เห็นว่า ใบหน้าถูกทุบ หรือโดนกระแทกจากอะไรสักอย่างเละจนจำไม่ได้เลยใช่มั้ยครับ” จ่านพทำหน้าสยอง
“ใช่ แพทย์ชันสูตรศพบอกว่า รอยแผลเกิดจากอาวุธไม่มีคม หนัก และพื้นที่หน้าตัดค่อนข้างเล็ก กระแทกไปที่ใบหน้าซ้ำๆจนกะโหลกใบหน้าไม่สามารถต้านทานได้ แตกละเอียด ยุบทั่วหน้า รวมไปถึงฟันก็หัก แตกเกือบทุกซี่ เขาเลยสันนิษฐานว่าฆาตกรน่าจะใช้ค้อนหรือประแจมือ”
จ่านพทำท่าจะเป็นลม “นี่มันโหดเหี้ยมขนาดนั้น มันใช่คนแน่รึครับ”
“ดังนั้น เราถึงต้องรีบจับตัวมันให้ได้โดยเร็วที่สุด ก่อนที่จะมีผู้เคราะห์ร้ายรายต่อไป” ภูวไนยพูดเสียงเครียด
…………………………………………………………………………………………………….
ตกเย็น ปริมขับรถพาผมไปที่แห่งหนึ่ง เธอให้ผมผูกผ้าปิดตาไว้ โดยไม่ยอมบอกว่าจะพาไปที่ไหน เมื่อมาถึง เธอพาผมลงจากรถ ทั้งๆที่ปิดตาอยู่อย่างนั้น เมื่อเดินมาสักพัก ผมรู้สึกได้ถึงอากาศที่เย็นสบาย มีลมเย็นๆพัดมา ทำให้ผมรู้สึกสดชื่น เธอยืนอยู่ข้างหลังผม แล้วจับผมให้ยืนนิ่งๆ
“เปิดตาได้แล้วค่ะ” เธอกระซิบบอก
ผมเปิดผ้าผูกตาออก ภาพที่เห็นเบื้องหน้าคือ ทะเลสีฟ้าครามกับพระอาทิตย์ยามเย็นบนท้องฟ้าตัดกันที่ขอบฟ้า มันช่างเป็นภาพสวยงามราวกับหลุดออกมาจากภาพวาด ผมมองไปรอบๆ พบว่านี่เป็นร้านอาหารที่ตั้งอยู่ริมทะเล
“ร้านนี้ เป็นร้านที่เรามานั่งทานด้วยกันบ่อยๆค่ะ”
ผมยืนนิ่ง รู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ปริมพูดถูก ผมน่าจะเคยมาที่นี่แล้วหลายครั้ง มันเป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่ผมเข้าบ้านครั้งแรก หลังจากตอนที่ผมประสบอุบัติเหตุครั้งนั้น ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้น ปริมพาผมไปที่โต๊ะอาหาร เราสองคนนั่งลง
“สั่งอาหารกันเถอะค่ะ” เธอพูดอย่างยิ้มแย้ม
ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ รู้แต่เพียงว่า หากผมสามารถบังคับเวลาให้หยุดตอนนี้ได้คงจะทำไปแล้ว ผมอยากจดจำช่วงเวลานี้ไว้ให้นานที่สุด ช่วงเวลาที่ผมกำลังมีความสุขกับผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า ที่ถึงแม้ผมจะยังจำเธอไม่ได้ในตอนนี้ แต่ผมรู้สึกเหมือนกับกำลังตกหลุมรักเธอใหม่ ผมไม่รู้ว่าหลังจากนี้ความสัมพันธ์ของเราสองคนจะเป็นอย่างไร แต่ที่แน่ๆช่วงเวลาที่แสนวิเศษนี้จะไม่มีเลือนหายไปจากใจผมเลย
หลังทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อย เราสองคนก็กลับบ้าน ผมวิ่งนำไปเปิดประตูรถให้เธอนั่งที่ข้างคนขับ
“เชิญครับ”
ปริมยิ้มไม่พูดอะไร แล้วก็เดินขึ้นรถ ผมปิดประตู แล้วเดินอ้อมกลับไปนั่งฝั่งคนขับ
“ขาคุณหายดีแล้วเหรอคะ”
“แค่อยู่กับคุณ ผมก็หายดีแล้วล่ะครับ”
ดูปริมจะขำมากกว่าเขินที่ผมพูดแบบนั้น แต่ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ผมสตาร์ทรถขับออกมา ระหว่างทางเราคุยกันเรื่องสัพเพเหระ ทั้งเรื่องตอนสมัยเรียน ตอนได้รู้ว่าอยู่ข้างบ้านกัน และตอนเข้าที่ทำงานใหม่ๆ ผมเพิ่งรู้ว่าที่เราสองคนคบกันได้ เพราะด้วยความที่ผมเป็นคนเรียบร้อย เงียบๆ เลยโดนเพื่อนแกล้งอยู่บ่อยๆ ส่วนปริมก็มักจะเป็นคนเข้ามาปลอบใจผมอยู่เสมอ ไปๆมาๆเราสองคนก็ได้คบกันตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เราหัวเราะกันอย่างมีความสุข บ่อยครั้งที่ผมทำท่าจะจำได้แต่ภาพก็ยังไม่ชัดเจน
ผมรู้สึกว่าอดีตจะยังไงก็ช่างเถอะ เพราะปัจจุบันผมมีความสุขมากๆที่ได้อยู่ข้างผู้หญิงคนนี้ แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว
“ปริมรู้สึกว่าคุณเปลี่ยนไปนะคะ”
“ดีขึ้น หรือแย่ลงครับ” ผมถาม
“คือ ไม่ใช่ว่าดีขึ้นหรือแย่ลงน่ะค่ะ แค่รู้สึกว่าคุณพูดเยอะขึ้น ดูร่าเริงและยิ้มง่ายกว่าแต่ก่อน”
“แต่ก่อนนี่หมายถึงช่วงก่อนผมถูกรถชนเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ อย่างที่บอก ปกติคุณเป็นคนขี้อาย ไม่กล้าแสดงออก คิดอะไรก็ไม่พูด ดูเข้าถึงยาก” เธออธิบาย
“ผมรู้สึกว่าแต่ก่อนผมคงไม่ได้ดีกับคุณนัก”
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ เพราะถึงคุณจะเป็นแบบนั้น แต่ปริมก็ยังเห็นความดีในตัวคุณ”
ผมหันไปมองหน้าเธอ “แล้วคุณว่าผมตอนนี้ดีกว่าตอนนั้นหรือเปล่า”
“ค่ะ..” เธอพยักหน้าน้อยๆ
“ยิ่งก่อนหน้าที่คุณจะถูกรถชน ปริมก็ไม่ค่อยได้คุยกับคุณมากนัก เหมือนเราสองคนจะห่างๆกัน อาจเป็นเพราะเราต่างคนต่างก็ยุ่ง…”
ผมเอื้อมมือไปกุมมือของเธอ “แต่ตอนนี้ผมอยู่ข้างคุณแล้ว”
เธอยิ้มอ่อนๆ ผมสังเกตเห็นนัยน์ตาเธอดูเศร้า และกังวล ผมไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือเปล่า ไม่ทันที่ผมจะได้คิดอะไรต่อ ก็ถึงบ้านพอดี
“วันนี้ ขอบคุณมากนะครับ”
เธอมองหน้าผมนิ่ง พร้อมกับเอื้อมมือมาจับมือผม “ไม่เป็นไรค่ะ คุณนุคือคนสำคัญที่สุดของปริมเสมอนะคะ”
“คุณก็เป็นคนสำคัญที่สุดของผมเช่นกันครับ” ผมมองหน้าเธอแล้วค่อยๆเคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ แต่แล้วเธอกลับหอมแก้มผมอย่างรวดเร็ว
“กู๊ดไนท์นะคะ ” เธอรีบลงจากรถ ทิ้งให้ผมนิ่งอึ้ง ยังคงมองที่นั่งข้างคนขับที่ว่างเปล่าราวกับว่าเธอยังอยู่ตรงนั้นไม่วางตา
ผมใจลอยค่อยๆเดินเข้าบ้าน นี่ถ้าผมวางข้าวของเกะกะไว้หน้าประตูคาดว่าผมคงจะสะดุดล้มอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะตอนนี้ผมรู้สึกว่า แม้ตาของผมจะมองทาง แต่ใจของผมเหมือนจะไม่อยู่ที่ตัวซะแล้ว ผมเดินผ่านห้องรับแขกพลางนึกจินตนาการว่า….ในอนาคตผมกับปริมได้แต่งงานกันในโบสถ์ที่งดงาม เธอสวมชุดแต่งงานสีขาวบริสุทธิ์ ถือช่อดอกไม้ค่อยๆเดินจากประตูโบสถ์ผ่านทางเดินตรงกลางห้องท่ามกลางสายตาปีติยินดีของแขกเหรื่อมากมาย เธอเดินมาหยุดอยู่ข้างๆผมที่กำลังมองเธออยู่ไม่ละสายตา เราสองคนยืนอยู่ตรงหน้าบาทหลวงแล้วให้เราสาบานต่อพระผู้เป็นเจ้าว่าจะเป็นสามีภรรยาที่ดีต่อกัน ผมสวมแหวนให้เธอแทนความซื่อสัตย์ของผมที่มีต่อเธอ เราสองคนเดินออกมาที่หน้าประตูโบสถ์ ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความสุข ดอกไม้ถูกโปรยปรายออกมามากมาย
แล้วเราสองคนก็ได้ย้ายเข้ามาอยู่บ้านเดียวกัน เวลาผ่านไปไม่นานเราก็มีลูกด้วยกัน คนโตเป็นผู้ชาย คนเล็กเป็นผู้หญิง ทุกๆเช้าเธอจะเข้าครัวทำกับข้าวกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วบ้าน ผมเดินออกมาจากห้องเข้ามาโอบเอวเธอจากด้านหลัง เธอหันมายิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน ไม่ทันไรลูกสาวคนเล็กก็วิ่งเข้ามาร้องกระจองอแงเกาะขาผมให้อุ้มเธอ เธอคงจะอิจฉาที่ผมกอดแต่แม่ของเขา ผมเลยอุ้มเขาขึ้นมาพาไปนั่งรอที่โต๊ะอาหาร ไม่นานนักลูกชายคนโตที่ไม่โตเท่าไรนักก็วิ่งปรี่เข้ามาร่วมวง เราสี่คนพ่อแม่ลูกทานข้าวด้วยกันอย่างมีความสุข แล้วผมก็ขับรถออกไป ก่อนไปทำงานผมไปส่งลูกทั้งสองคนเข้าโรงเรียน พอตกเย็นผมกลับมาบ้านเห็นเธอกำลังนั่งยิ้มรอผมอยู่… มันช่างมีความสุขมากมายจริงๆ
ผมยิ้มเหม่อได้สักพักก็สะบัดหัวไล่ความคิด เรียกสติกลับคืนมาที่ปัจจุบัน นี่วันนี้ก็ดึกมากแล้วรีบพักผ่อนดีกว่า ผมเลยคว้าผ้าเช็ดตัวไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า ขึ้นเตียง ผมนั่งเอาหลังพิงกับหมอน แล้วหยิบมือถือขึ้นมาดู ผมเข้าไลน์ เลื่อนไปที่ชื่อปริม
“ฝันดีนะครับ”
แค่ไม่กี่วินาทีก็มีข้อความตอบกลับมา
“ฝันดีค่ะ”
ผมยิ้มกว้างอยู่อย่างนั้น สักพักจึงเลื่อนหมอน เอนตัวลงนอนนึกจินตนาการถึงอนาคตของเราสองคนอีกครั้ง แล้วหลับตาลงอย่างสุขใจ…
แต่ผมไม่นึกเลยว่าจินตนาการนั่นจะกลายเป็นแค่ฝัน
และจะไม่มีวันเป็นจริงตลอดไป…
โฆษณา