17 ก.ค. 2020 เวลา 14:57 • บันเทิง
[Face off ไขคดีฆาตกรรมปริศนาศพไร้หน้า]
- บทที่ 7 เบาะแส -
ณ กรมตำรวจ
“นานๆจะได้อยู่กับที่นะครับผู้กอง” จ่านพแซว เมื่อเห็นภูวไนย กำลังตรวจเช็คทรัพย์สินของผู้เคราะห์ร้ายรายที่สาม อยู่บนโต๊ะทำงาน
“อืม ก็สองสามวันมานี่ เราก็ไปมาทุกบ้านแล้วนี่”
“นั่นสิครับ พูดก็พูดเถอะ ผมเองยังนึกแปลกใจว่าทำไมผู้พันเดชาถึงไม่ค่อยพอใจทุกครั้ง เวลาที่เราไปขอความร่วมมือในเรื่องคดีที่ฆ่าภรรยาของเขา”
“แต่เขาก็มอบสิ่งที่เราต้องการให้มา” ภูวไนยพูดพลางหยิบกล่องใส่ทรัพย์สินติดตัวก่อนตายของคุณนายเบญจพิศ ภรรยาของผู้พันเดชา ขึ้นมาวางบนโต๊ะ
“ถ้าไม่นับอาการหงุดหงิดนั่น เขาก็ดูโอเคอยู่นะครับ ”
ภูวไนยหยิบถุงขึ้นมาอีกถุง
จ่านพโน้มตัวเข้ามาดู “นั่นเป็นข้าวของคุณสาวิตรี เหยื่อคนแรกใช่ไหมครับ”
“ใช่”
“น่าเสียดายจังนะครับ ทั้งสาวและก็สวยไม่น่าเชื่อว่ามีลูกแล้ว” จ่านพพูดพลางหยิบรูปถ่ายของสาวิตรีขึ้นมาดู “ไม่รู้ว่าสวยๆแบบนี้ไปทำอะไรผิด ถึงได้โดนเจ้าฆาตกรโรคจิตมันฆ่าเอา”
ภูวไนย นึกตามที่จ่านพพูด มันก็ถูก ทั้งสามราย รวมถึงรายที่สี่ที่เพิ่งพบศพเมื่อสองวันก่อน ซึ่งได้รับการพิสูจน์แน่นอนแล้วว่าคือนางสาวมณีริน พวกเธอทำอะไรผิดหรือมีความแค้นส่วนตัวกับใคร ทำไมถึงได้ถูกฆ่า ภูวไนยลองเอารูปถ่ายปกติของทั้งสี่คนมาวางเรียงกัน และเอาภาพหลังจากเสียชีวิตแล้ว มาวางเรียงกันด้วย
จ่านพโน้มตัวดู สีหน้าหดหู่ “พอเรียงรูปดูแบบนี้อย่างกับนางงามเลยนะครับ ไม่น่าเชื่อว่าจะตายในสภาพโหดร้ายกันแบบนี้”
ภูวไนย มองที่รูปถ่ายอย่างพินิจ…จะว่าไปหญิงสาวทั้งสี่คน จัดอยู่ในกลุ่มหญิงสาวหน้าตาดีทุกคน แม้แต่คุณนายเบญจพิศที่อายุราวๆเกือบสี่สิบ แต่ก็ยังจัดเป็นหญิงงาม สวยสมวัย รูปร่างดี เพราะอย่างนี้ล่ะมั้ง ที่ต่อให้ทะเลาะกับผู้พันเดชาบ่อยแค่ไหน แกก็ไม่ยอมเลิก ภูวไนยมองภาพถ่ายทั้งหมดพลางนิ่งคิด พยายามมองหาจุดร่วมของทั้งสี่คน
สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุด คือเหยื่อทุกคนเป็นผู้หญิง และโดนทำลายใบหน้ายับเยิน ถึงจะด้วยวิธีการที่ต่างกันก็ตาม ภูวไนยลองเช็คอายุกับวันเวลาที่เสียชีวิตของทั้งสี่ จดใส่สมุด
รายแรก คุณสาวิตรี
อายุ 32 22/4 20:30
รายที่สอง คุณนายเบญจพิศ
อายุ 40 21/5 19:05
รายที่สาม คุณนิด
อายุ 22 24/6 21:15
รายที่สี่ คุณมณีริน
อายุ 27 2/7 19:00-21:00
จ่านพก้มลงมอง “ทำไมของคนล่าสุด ระบุเป็นช่วงเวลาล่ะครับ”
“เห็นว่า เนื่องจากศพเสียชีวิตมาหลายวันจนเน่าเปื่อย ทำให้ระบุเวลาตายที่แน่นอนไม่ได้”
“รายที่สาม คุณนิดเนี่ย เป็นคนเดียวที่ไม่มีญาติพี่น้องใช่ไหมครับ” จ่านพพูดพลางชี้ไปที่รูป
“ใช่ เท่าที่สืบประวัติเธอ พ่อแม่เธอแยกทางกันตั้งแต่เธอยังเล็กๆ แล้วพอเธอโตขึ้นก็เปลี่ยนทั้งชื่อและนามสกุล พอเราสืบไปที่ชื่อ นามสกุลเดิม เบอร์ติดต่อของพ่อแม่ก็ติดต่อไม่ได้ทั้งคู่ ดูเหมือนจะเป็นพวกต่างด้าว หรือพวกแรงงานที่เข้ามาหางานในไทยนะ เพราะเอกสารยืนยันตัวตนไม่ค่อยชัดเจน”
ภูวไนยยื่นเอกสารของเหยื่อรายที่สามให้จ่านพแล้วอธิบายต่อ
“แถมตัวเธอเอง ก็มีเพื่อนค่อนข้างน้อย เมื่อวานที่เราไปคุยกับเพื่อนสนิทของเธอที่ชื่อฟาง ที่เช่าห้องใกล้ๆกัน ทำให้เรารู้ว่าเธอเป็นโสด และนอกจากอยู่โรงงานย้อมผ้า เธอก็ยังทำงานเป็นสาวไซด์ไลน์อีกด้วย คงเพราะแบบนี้ เธอคงไม่ค่อยคบใคร หรือคงไม่ค่อยมีใครยอมรับที่เธอทำงานแบบนี้”
“แล้วคนเพื่อนน้อยแบบนี้ ผู้กองคิดว่าจะไปเรื่องบาดหมางกับใครที่ไหนเหรอครับ” จ่านพทำหน้าสงสัย
“มันก็เดาได้กว้าง อาจจะเป็นภรรยาของลูกค้าเธอ หรืออาจจะเป็นเจ้าหนี้ที่เธอติดหนี้มาตามเก็บก็ได้ ใครจะไปรู้”
“ถ้าแบบนั้น แล้วคนอื่นละครับ ต่อให้ฆาตกรมีความแค้นกับพวกเธอ มันก็น่าจะคนละคนกัน ก็ไม่น่าจะฆ่าคล้ายๆกันแบบนี้”
“ใช่ เราก็เลยต้องมาหาดูว่าอะไรเป็นจุดที่เรามองข้ามไป มันต้องมีสิ ที่ทั้งสี่คนมีเหมือนกันน่ะ”
ภูวไนยพูดพลางตั้งใจดูสมุดอีกครั้ง เอ… จะว่าเลือกฆ่าเฉพาะผู้หญิงสาวๆ ก็ไม่น่าใช่เพราะคุณนายเบญจพิศก็อายุตั้งสี่สิบ หรือจริงๆแล้วฆาตกรฆ่าด้วยความสะใจไม่สนใจว่าจะเป็นใครก็ได้ ภูวไนยสังเกตวันเวลาที่ฆ่า
22/4 20:30
21/5 19:05
24/6 21:15
2/7 19:00-21:00
ใช่ ทุกคนโดนฆ่าตอนเวลากลางคืนหมดเลย แต่เรื่องนี้ก็ไม่น่าแปลกใจนัก บางทีฆาตกรอาจจะเห็นว่าช่วงกลางคืนเป็นเวลาปลอดคนเท่านั้น… ภูวไนยมองวันที่แล้วเพิ่งสังเกตว่าระยะห่างของจำนวนวันของเหยื่อคนแรกกับคนที่สอง และคนที่สองกับคนที่สาม มันราวๆหนึ่งเดือน ยกเว้นรายที่สี่ ห่างจากรายที่สามแค่ราวๆอาทิตย์เดียวเอง
ทำไมกันนะ
เหมือนกับว่า เร่งมือฆ่าให้เร็วขึ้น
ภูวไนยลุกขึ้นพรวด จนจ่านพตกใจ “เป็นอะไรครับผู้กอง”
“ผมว่าเราต้องรีบตามจับฆาตกรให้เร็วที่สุด ไม่งั้นอาจมีผู้เคราะห์ร้ายเพิ่มอีก” ภูวไนยหันไปมองจ่านพ “อะไรที่เป็นเบาะแส แม้เพียงน้อยนิดเราก็มองข้ามไม่ได้ จ่านพ คุณนัดสอบปากคำคุณเอก แฟนคุณมณีรินเดี๋ยวนี้เลย”
ร้านกาแฟเล็กๆใจกลางเมืองหลวง ท่ามกลางคนพลุกพล่านมากมาย แต่ภายในร้านบรรยากาศกลับเงียบสงบ ภายในร้านตกแต่งด้วยไม้ประดับแขวนดูสบายตา ในขณะที่โต๊ะหนึ่งกำลังคุยกันอย่างเคร่งเครียด
“คุณพบคุณมณีรินครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ครับ” ภูวไนยถาม
“ที่บ้านเธอครับ” เอกตอบ
“แล้วคุณไปทำอะไรที่บ้านเธอครับ”
“วันนั้นเป็นวันหยุด ปกติผมก็ไปหาเธอที่บ้าน ไปพูดคุย แล้วก็ไปเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่ของเธอด้วยครับ”
“แล้วคุณอยู่บ้านเธอทั้งวันเลยหรือเปล่าครับ”
“เปล่าครับ จู่ๆเธอก็บอกว่าช่วงบ่ายเธอมีธุระ แล้วก็บอกว่าจะโทรหาผมอีกทีน่ะครับ”
ภูวไนยพยายามมองตา “เธอได้บอกไหมครับว่า เธอไปทำธุระอะไร”
“ไม่ได้บอกน่ะครับ”
“แล้วทำไมคุณไม่ถามเธอล่ะครับ”
“ปกติ ผมกับรินเรามีพื้นที่ส่วนตัวกันน่ะครับ ลองเธอบอกว่าไปทำธุระ นั่นหมายถึงเป็นธุระส่วนตัว ผมก็จะไม่ก้ายก่าว แต่ไม่นึกว่าเธอจะกลายเป็นแบบนี้” เอกก้มหน้าลงทำหน้าเศร้า
“หลังจากนั้นคุณก็ติดต่อเธอไปหลายครั้ง แต่ก็ไม่รับสาย จนกระทั่งโทรไม่ติด คุณก็เลยแจ้งตำรวจไว้”
“ใข่ครับ ช่วงนั้นผมแย่มาก วันต่อมาก็มาทราบเรื่องว่าเพื่อนถูกรถชนอีก ”
“เพื่อนคุณถูกรถชน? แล้วตอนนี้เค้าเป็นยังไงบ้าง”
“หายดีแล้วล่ะครับ โชคยังดี”
ผมเปิดประตูเข้ามาในร้านกาแฟเล็กๆ มีเสียงกระดิ่งเล็กๆห้อยไว้ ให้รู้ว่ามีลูกค้าเข้าร้าน ผมมองซ้ายมองขวา หาเพื่อน
“อ้าวพูดถึงก็มาพอดี เฮ้ยนุทางนี้” เอกกวักมือเรียกผม มีผู้ชายสองคนนั่งอยู่ด้วย ใครกันนะ ผมเดินเข้าไปหา ตอนนี้ขาผมใส่เฝือกอ่อน เลยเดินได้คล่องขึ้น
“คุณตำรวจครับนี่เพื่อนผม ชื่อนุที่เล่าให้ฟังเมื่อสักครู่ นุ นี่ผู้กองภูวไนย กับจ่านพ ที่รับผิดชอบคดีของรินอยู่” เอกแนะนำให้รู้จัก
“สวัสดีครับคุณนุ ยินดีที่ได้รู้จัก”
“สวัสดีครับ” ผมทักทายตอบ
“พอดีผมนัดนุมาคุยด้วยน่ะครับ กะว่าคุยกับคุณตำรวจเสร็จแล้วจะคุยธุระกับเขาต่อ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมก็เสร็จธุระพอดี ถ้าผมอยากรู้อะไรเพิ่มเติมไว้จะติดต่อคุณมานะครับ ขอบคุณสำหรับความร่วมมือ” ภูวไนยพูดจบ ก็หันไปพยักหน้ากับจ่านพ แล้วลุกขึ้นยืน เดินออกจากร้านไป
ผมไปนั่งแทนที่ตำรวจที่นั่งอยู่จนถึงเมื่อกี๊
“เป็นไงบ้างวะ ตำรวจถามอะไรแกบ้าง” ผมเริ่มเปลี่ยนสรรพนาม เพราะเริ่มสนิทกับเขามากขึ้น ถึงแม้จะยังจำเขาไม่ได้ก็ตาม
“ก็สอบปากคำทั่วๆไปแหละ”
“นี่ตำรวจเขาสงสัยแกเหรอวะ”
“ไม่รู้ดิ ก็คงถามไปเพราะเป็นคดีนั่นแหละ”
“อืม ถึงเขาจะดูนิ่งๆ แต่ดูท่าทางน่าจะพึ่งพาได้นะ แกก็ใจเย็นๆละกัน เดี๋ยวก็คงจับฆาตกรได้ แต่ข้าเสียใจกับแกจริงๆว่ะ เรื่องริน”
เอกนิ่งไม่พูดอะไร แล้วเงยหน้ามามองผม “ว่าแต่แกเหอะ เป็นไงบ้าง ความจำกลับมาหมดรึยัง”
“ยังเลยว่ะ แต่ข้าก็สบายดีนะ ช่วงนี้ก็ไม่ค่อยปวดหัว แล้วก็ไม่ฝันประหลาดๆแล้ว”
“แกฝันอะไรของแกวะ”
ผมนึกได้ว่าไม่น่าพูด “ไม่มีอะไรหรอก ช่างมันเถอะ”
ผมเองก็ยังแปลกใจว่าทำไมถึงฝันแบบนั้น ซ้ำร้ายยังเห็นศพของรินในฝันอีก ผมไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง เพราะก็ยังไม่แน่ใจว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ คิดไปเอง หรือว่ามันเกี่ยวข้องกับคดีจริงๆหรือเปล่า
ตกเย็นผมกลับมาบ้าน เดินขึ้นห้องนอน มองไปที่โน้ตบุ๊คแล้วถอดใจ ผมคิดว่าถ้าความจำผมไม่กลับมาก็คงไม่เป็นไร เพราะทุกวันนี้ก็สบายดี คนรอบตัวก็ดีกับผม อยู่อย่างนี้ก็มีความสุขดี ถ้าวันนึงความจำกลับมา ผมอาจจะไม่ได้รู้สึกดีไปกว่าตอนนี้ก็ได้
………………………………………………………………………
ผมตะลึงงันกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า ผมพยายามควบคุมสติ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล ผมตัดสินใจหันหลังวิ่งลงบันไดอย่างเร็ว จนแทบจะกระโดดลงไป ผมวิ่งย่ำทั้งรอยเลือดและกองเลือดเมื่อครู่ จนเลือดกระเซ็นเต็มไปหมด ผมแทบไม่เห็นว่ารอบๆตัวมีอะไรบ้าง รู้อย่างเดียวว่าผมต้องรีบไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ผมวิ่งไม่คิดชีวิต ผ่านประตูเหล็ก ออกมาด้านนอกพบว่าท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ผมก็ยังวิ่งต่อไป ด้านนอกไร้วี่แววของผู้คน ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่ารอบๆเป็นป่าแต่ไม่ทึบมากนัก ผมไม่รู้ว่าผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง
ผมพยายามมองไปรอบๆตัว พบว่ามีทางหนึ่งที่หญ้าไม่งอกเป็นทางยาว คล้ายกับรอยล้อรถมอเตอร์ไซค์ ไม่แน่ว่าถ้าเราวิ่งไปตามทางนี้ อาจเจอกับถนนก็ได้ ผมคิดได้ดังนั้น รู้สึกใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อย รีบเลาะไปตามทางนั้นทันที
ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่ง เพราะมีต้นไม้ และพุ่มไม้ขวางตลอดข้างทาง ผมรู้สึกเหมือนโดนหญ้าหนามเกี่ยวขาเยอะมาก แต่ทว่ากลับไม่รู้สึกเจ็บปวด อาจเป็นเพราะความกลัวกำลังครอบงำผมอยู่ ผมไม่รู้ว่าวิ่งมาไกลเท่าไหร่ แต่รู้สึกระยะทางเหมือนไกลเหลือเกิน ทันใดนั้นสวรรค์ก็เข้าข้าง ผมเห็นถนนใหญ่ และบ้านคนอยู่ไกลๆ ผมน่าจะไปขอความช่วยเหลือได้
ผมคิดดังนั้น วิ่งเร็วขึ้นกว่าเดิม จนไม่ทันระวังสะดุดขอบถนนอย่างแรง จนตัวผมกลิ้งไปกับพื้นถนน ผมรู้สึกเจ็บไปหมดทั้งตัว ท่ามกลางสติที่เลือนราง จู่ๆผมก็เห็นแสงไฟ คล้ายกับไฟรถยนต์พุ่งมาที่ผมอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นทุกอย่างก็ขาวโพลนไปหมด
โฆษณา