Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
สรุปให้
•
ติดตาม
20 ต.ค. 2020 เวลา 23:30 • หนังสือ
สรุปหนังสือ "Hyperfocus"
ทำน้อยให้ได้มากด้วยสมอง 2 โหมด
เขียนโดย Chris Bailey ผู้เชี่ยวชาญด้าน Productivity
สรุปโดย คุณ Kittiwin Moodang Kumlungmak
Attentional Space เป็นเหมือน RAM ของสมองที่ใช้ใน โฟกัส คิด วิเคราะห์ และ จดจำ กิจกรรมต่าง ๆ ที่เรากำลังทำอยู่ ณ ชั่วขณะหนึ่ง
1
ยกตัวอย่างเช่น ขณะที่เราทำงาน(วงกลมใหญ่)อยู่ เราก็กำลังทำกิจกรรมอื่น ๆ (วงกลมเล็ก) ไปด้วย อย่างการหายใจ ฟังเพลง หรือว่าเคี้ยวอาหาร
กิจกรรมเหล่านี้จะใช้พื้นทีใน Attentional Space ของเราตามความยากง่าย
สมองของเราทำงานได้ดีที่สุดเมื่อเข้าสู่ 2 โหมดการทำงานหลัก แบ่งตามการใช้งานของ Attentional Space
1 Hyperfocus -> การตั้งใจจดจ่ออยู่กับงานเพียงงานเดียว ทำให้มีประสิทธิผล(Productivity มากที่สุด)
2 Scatterfocus -> ตั้งใจ ไม่จดจ่ออยู่กับอะไรเลย แต่ปล่อยใจให้ลอยไปเรื่อย ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) ที่ดีขึ้น และยังช่วยฟื้นพลังขงสมองที่เหนื่อยล้าจากการทำงาน
1
ควรเลือกใช้แต่ละโหมดตามความต้องการของงาน และระดับพลังงานของสมอง
1. Hyperfocus คือการที่เราตั้งใจจดจ่ออยู่กับกิจกรรมเพียงหนึ่งเดียว ทำแทนที่จะ
ถูกสิ่งต่าง ๆ มารบกวน กิจกรรมนั้น ๆ จะเริ่มใช้พื้นที่ใน Attentional Space ที่มากขึ้น ทำให้ประสิทธิผลสูงขึ้น เนื่องจากเราดึงพลังงานสมองมาใช้กับกิจกรรมนั้น ได้มาก
ขึ้น เหมือนกับ computer ที่กำลังใช้งานแค่โปรแกรมเดียว โปรแกรมนั้นจะไม่กระตุกเลย
การที่เราทำกิจกรรมหลายอย่างพร้อมกัน มีหลายครั้งที่ Attentional Space ไม่เพียงพอ เหมือน RAM ที่น้อยเกินสำหรับเปิดหลายโปรแกรมพร้อมกัน ส่งผลให้การทำงานช้าลง และไม่ได้ประสิทธิผลเท่าที่ควร
ดังนั้น ยิ่งเราทำกิจกรรมพร้อมกันหลายอย่างขึ้น ประสิทธิผลของเราก็จะลดลง อย่างมีนัยสำคัญ
ผู้เขียนแนะนำ 4 ขั้นตอนที่จะช่วยให้เข้าสู่ Hyperfocus โหมดได้
1 จดจ่อกับเรื่องสำคัญเพียงเรื่องเดียว
2 กำจัดสิ่งรบกวนออกไป เช่น email โทรศัพท์ Line Facebook etc.
3 เริ่มทำอย่างตั้งใจ
4 กลับมาโฟกัสให้เร็วที่สุด เมื่อเกิดการหลุดโฟกัส ซึ่งเป็นเรื่องที่ปกติมากๆ
1
2. Scatterfocus คือการที่เราตั้งใจไม่จดจ่อกับอะไรเลย แต่ต้องปล่อยใจให้ว่าง และล่องลอย เพื่อให้ Attentional Space ของเราเลื่อนลอยไปตามมุมต่าง ๆ ภายสมอง เพื่อรวบรวมข้อมูล มาประติดประต่อกัน จะทำให้เราสามารถคิดหาไอเดีย หรือวิธีการแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างสร้างสรรค์ขึ้น
Scatterfocus มี 3 แบบคือ
1 Capture -> ปล่อยใจให้ลอยไปเรื่อย ๆ แล้วจดบันทึกไอเดียต่าง ๆ ที่ผุดขึ้นมาในหัว
2 Problem Solving -> เก็บปัญหาไว้ในใจแล้วปล่อยใจให้ล่องลอยอยู่รอบ ๆ ปัญหา เพื่อหาวิธีการแก้ปัญหานั้น
3 Habitual -> ทำเรื่องที่ง่ายและเคยชินอย่างการฟังเพลง วาดภาพ หรืออ่านหนังสือ ทำให้เราไม่ต้องจดจ่อกับเรื่องนั้นมาก แล้วก็ปล่อยใจให้ลอยไป เพื่อค้นหาไอเดียใหม่ๆ
จากงานวิจัยของผู้เขียน Habitual โหมดช่วยเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ได้มากที่สุด
ข้อดีของ Scatterfocus มี 2 อย่าง
1 ฟื้นฟูพลังสมอง
2 ทำให้เรามีความคิดสร้างสรรค์
Scatterfocus ทำได้ทุกที่ทุกเวลา แต่ถ้าอยากได้ประโยชน์สูงสุดให้ทำดังนี้
1 ลองเปลี่ยนที่นั่งทำงาน เพื่อพบเจอสิ่งใหม่ ๆ ซึ่งช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ได้
2 จดบันทึกปัญหาไว้ เพื่อให้เราไม่ลืมจุดมุ่งหมายของการ Scatterfocus
3 นอนหลับไปพร้อมปัญหา เนื่องจากขณะนอนหลับนั้นใจของเราจะลอย และฝัน ซึ่งถือเป็น Scatterfocus อย่างหนึ่งบ่อยครั้งที่เราคิดอะไรออกตอนที่เราหลับ
4 ตั้งใจไม่โฟกัสกับเรื่องอะไรเลย เพื่อให้ Attentional space มีพื้นที่สำหรับไอเดียใหม่ๆที่ผุดขึ้นมา
5 หยุดพักระหว่างที่งานยังไม่เสร็จ ทำให้งานยังคงค้างคาอยู่ในใจ ช่วยให้เรา Scatterfocus อย่างมีจุดมุ่งหมาย
6 ขยันหาความรู้ ทำให้สมองมีข้อมูลมากขึ้นเพื่อการประติดประต่อ และสร้างเป็นไอเดีย
เราสามารถให้ Hyperfocus และ Scatterfocus ร่วมกันได้
อาจจะเริ่มจากการที่เราเข้าโหมด Hyperfocus เพื่อทำงานที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งที่เราเจอปัญหาที่แก้ไม่ตก เราก็เปลี่ยนไปใช้ Scatterfocus โหมด เพื่อคิดหาไอเดียมาแก้ปัญหา
นอกจากนั้น เนื่องจากการ Hyperfocus ต้องใช้พลังงานสมองที่สูงมาก เมื่อเข้าโหมดนี้ไประยะเวลาหนึ่ง สมองเราจะเริ่มล้า การเปลี่ยนเข้าสู่ Scatterfocus โหมด จะช่วยฟื้นฟูพลังสมอง เพื่อให้พร้อมที่จะกลับมา Hyperfocus ได้อีกครั้ง
58 บันทึก
51
34
58
51
34
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย